ตอนที่ 652 เลือกนักแสดง (2)
“เรื่อง ‘ยัยตัวร้ายจากนายต่างดาว’ เหรอครับ”
เมื่อเห็นความประหลาดใจที่อธิบายไม่ได้ของเจียงหยางซวี่ รุ่นพี่กลับหัวเราะเยาะทันที เขานั่งลงที่ขอบเตียงหยิบบุหรี่ออกจากกระเป๋าของเขา แล้วยื่นให้เจียงหยางซวี่ก่อน
เจียงหยางซวี่โบกมือเพื่อบอกว่าตนนั้นไม่ต้องการ เขาเอาแต่จ้องไปที่อีกฝ่าย
รุ่นพี่ไม่ได้สนใจ เขาจุดบุหรี่ให้ตัวเองหนึ่งมวน ก่อนจะสูบเข้าไปเฮือกใหญ่แล้วพ่นออกมาเป็นวงกลม
หลังจากสูบจนพอใจแล้ว เขาจึงได้เอ่ยปากพูดว่า “ฉันเดาว่านายต้องไม่รู้ข่าว ไม่อย่างนั้นคงไม่หลับอุตุอยู่ในหออย่างนี้หรอก ได้ยินว่าเมื่อวานในวิทยาลัยก็มีประกาศแล้ว แต่ฉันเพิ่งเห็นวันนี้ตอนเช้านี่เอง”
เขาเงยหน้าขึ้น ใช้แววตาขี้เล่นมองไปที่เจียงหยางซวี่ “นายไม่รู้จริงๆ เหรอ”
สีหน้าของเจียงหยางซวี่ย่ำแย่นัก
มีสิทธิ์มาเลือกนักแสดงในวิทยาลัยภาพยนตร์ปักกิ่ง หากไม่ใช่เพราะเส้นสายก็คงเพราะความสามารถจริงๆ วิทยาลัยภาพยนตร์ปักกิ่งมีศักดิ์ศรีของตัวเอง เป็นไปไม่ได้ที่จะให้กองละครกิ๊กก๊อกเข้ามาไกวเปลเร่หาเด็กแน่นอน
เมื่อเจอเรื่องอย่างนี้ โดยปกติแล้วทางวิทยาลัยจะมีประกาศให้นักศึกษาที่สนใจไปลองสอบสัมภาษณ์ดู และประกาศอย่างละเอียดโดยปกติแล้วก็จะทำโดยอาจารย์ที่ปรึกษา และก็มีบ้างที่อาจารย์ที่ปรึกษาจะให้หัวหน้าหอพักมาประกาศแก่นักศึกษา
ว่ากันตามหลักการแล้ว เจียงหยางซวี่น่าจะได้รับทราบประกาศนี้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
แต่ปรากฏว่าไม่
เมื่อวานนี้โทรศัพท์ของเจียงหยางซวี่ต้องมีแบตอยู่แล้ว เขายังจำได้แม่นว่าเมื่อคืนยังโทรศัพท์อยู่เลย แต่เช้าวันนี้กลับปิดเครื่องเสียอย่างนั้น
เกิดอะไรขึ้นกันแน่
และโทรศัพท์ยังไม่ได้รับข้อความด้วยหรือ หรือว่าโทรไม่ติด
เจียงหยางซี่ไม่กล้าไปคิดอย่างละเอียด คิดมากไปเขากลัวว่าตัวเองจะควบคุมความโกรธเอาไว้ไม่ได้
วิทยาลัยภาพยนตร์แตกต่างจากมหาวิทยาลัยอื่นๆ มหาวิทยาลัยอื่นๆ ก็เหมือนหอคอยงาช้าง แต่วิทยาลัยภาพยนตร์นั้นคือตัวสำรองของวงการบันเทิง เต็มไปด้วยเรื่องราวทุกรูปแบบ ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและกลอุบายนั้นอยู่ห่างไกลจากความเรียบง่ายและสวยงามอย่างที่เห็นเมื่อมองจากภายนอกมากนัก
ตามสื่อบันเทิง มักจะเห็นว่าบัณฑิตจากวิทยาลัยภาพยนตร์บางคน บางรุ่น นักศึกษาสาขาการแสดงบางคน มักจะรวมตัวเพื่อพูดคุยพบปะสังสรรค์พูดถึงความหลังกัน ดูเหมือนกับว่าทุกคนนั้นเป็นมิตรที่ดีต่อกันเหลือเกิน แต่หากจะให้สาวไส้ละก็…
เจียงหยางซวี่รู้ฐานะของตัวเองดี อย่างแรกเลยความสัมพันธ์ของเขากับหัวหน้าหอพักก็ไม่เท่าไร อีกอย่างคนที่มาเลือกนักแสดงครั้งนี้คือเฉินเฟยมีเดีย และละครที่ถ่ายก็คือ ‘ยัยตัวร้ายกับนายต่างดาว’ เชียวนะ
เรื่อง ‘ยัยตัวร้ายกับนายต่างดาว’ ยังไม่ทันได้ถ่ายก็ดังมากแล้ว ข้อมูลข่าวสารทุกอย่างโพสต์อยู่บนอินเทอร์เน็ตเต็มไปหมด ถูกมองว่าเป็นละครที่ทุกรอคอยมากที่สุดในปีนี้ ในวิทยาลัยภาพยนตร์ปักกิ่งเองก็ไม่มีใครไม่ทราบเรื่องนี้เลย
ละครเรื่องก่อนอย่าง ‘ฟูลเฮ้าส์’ ลู่เฉินและผู้กำกับฟางฮุ่ยก็ได้มาเลือกตัวละครที่วิทยาลัยภาพยนตร์ปักกิ่ง และก็ได้เลือกฟั่นอิ๋งนักศึกษาสาขาวิชาการแสดงรุ่น 14 ไป สุดท้ายก็ดังเปรี้ยงปร้างเพราะหนังเรื่องนี้ กลายเป็นนักแสดงหน้าใหม่ที่คนในวงการต่างจับตามอง จวบจนวันนี้ได้ถ่ายละครไปสองเรื่องกับภาพยนตร์ไปอีกหนึ่งเรื่องติดๆ กัน ทั้งยังเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณาหลายตัวอีกด้วย
เจียงหยางซวี่รู้จักฟั่นอิ๋ง รู้ดีว่าฟั่นอิ๋งนั้นเฉิดฉายมากแค่ไหน
ตอนนี้เมื่อโอกาสมาถึงวิทยาลัยภาพยนตร์ปักกิ่ง เขากลับไม่รู้เรื่องเลย นี่มันเรื่องบังเอิญจริงหรือ
เกิดรอยยิ้มเหยียดบนริมฝีปากของเจียงหยางซวี่ แต่เขาไม่มีแก่ใจไปสนใจเรื่องนี้ “อย่างนั้น…”
รุ่นพี่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นายรีบไปเถอะ ที่หอประชุมเล็กนะ ไปตอนนี้ยังทัน!”
เจียงหยางซวี่รู้สึกขอบคุณอย่างท่วมท้น หากไม่ได้อีกฝ่ายวิ่งมาบอก โอกาสล้ำค่าอย่างนี้เขาต้องพลาดไปแน่ๆ มันแทบจะไม่มีทางเอาคืนมาเลย
“รุ่นพี่ ขอบคุณมากครับ”
รุ่นพี่ตบไหล่เขาก่อนจะพูดว่า “ขอบคุณอะไรกัน ฉันรู้สึกว่านายไม่เลว ควรค่าที่จะคบเป็นเพื่อนได้ ต่อไปถ้ารวยแล้วอย่างลืมฉันล่ะ”
ทำอาชีพอย่างเขา ทำอะไรก็ต้องรอบรู้ทุกด้านคบหาสมาคมคนไว้เป็นดี วันนี้คนที่ดูยาจก พรุ่งนี้อาจจะพุ่งเป็นดาวเด่นก็ได้ ใครจะรู้ล่ะ
ดังนั้นเงินที่ต้องหามาก็ต้องหาอยู่ คนที่ควรช่วยก็ต้องช่วยในขอบเขตที่ตนช่วยได้ มันไม่ได้เดือดร้อนอะไร
“รีบไปเถอะ ฉันจะรอข่าวดีของนาย!”
“ครับ!”
เจียงหยางซวี่รับปาก ก่อนจะเปลี่ยนกางเกงขายาวด้วยความเร็วสูงสุด แล้วส่องกระจกจัดทรงผมอย่างง่ายๆ หลังจากนั้นก็พุ่งออกไปด้วยความรวดเร็ว มุ่งหน้าไปทางหอประชุมเล็ก
และมุ่งหน้าไปหาอนาคตของตนเอง
ในเวลาเดียวกัน ลู่เฉินและฟางฮุ่ยได้นั่งอยู่ตรงแถวแรกของที่นั่งผู้ชมในหอประชุมเล็กแล้ว เพื่อเตรียมสัมภาษณ์นักศึกษาคนแรก
เป็นครั้งที่สองแล้วที่ทั้งสองมาเลือกนักแสดงที่นี่
ครั้งก่อนตอนถ่ายเรื่อง ‘ฟูลเฮ้าส์’ ก็เป็นลู่เฉินที่มากับฟางฮุ่ย เลือกนักศึกษาจากวิทยาลัยภาพยนตร์ปักกิ่งไปสองคน
ตั้งแต่ลู่เฉินเข้าวงการมา นอกจากมิวสิควิดีโอกับโฆษณาแล้ว ความสำเร็จหลักๆ ในด้านภาพยนตร์และโทรทัศน์ของเขาก็คือละครสองเรื่องและภาพยนตร์อีกหนึ่งเรื่อง
แม้ว่าหัวข้อที่นำมาทำผลงานภาพยนตร์และละครจะไม่เหมือนกัน แต่ก็มีส่วนที่คล้ายกันอยู่
ลู่เฉินเขียนบทเอง และเขาก็เป็นนักแสดงนำ ทั้งยังเรียบเรียงและแต่งเพลงประกอบเองอีกด้วย
อีกอย่างหนึ่ง ลู่เฉินชอบเลือกนักแสดงหน้าใหม่ หรือไม่ก็นักแสดงที่คุ้มค่าแก่การลงทุน ไม่พูดถึงเฉินเฟยเอ๋อร์ เขาไม่เคยเชิญนักแสดงระดับท็อปในวงการภาพยนตร์หรือละครเลย แม้แต่ผู้กำกับยังใช้คนในระดับรองๆ
แน่นอนว่า ฟางฮุ่ยในตอนนี้ถือเป็นผู้กำกับละครชั้นแนวหน้าในประเทศจีนแล้ว
และจุดที่เหมือนกันหลายๆ จุดนี้ เมื่อวิเคราะห์รวมกัน ประการแรกคือการผลิตภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ของลู่เฉินมีค่าใช้จ่ายต่ำมาก ในด้านค่าตัวนักแสดงเขาใช้จ่ายน้อยกว่าคู่แข่งมาก
การผลิตภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ในปัจจุบัน ค่าตอบแทนของนักแสดงคือต้นทุนส่วนใหญ่ สำหรับภาพยนตร์หรือละครโทรทัศน์บางเรื่อง ค่าตอบแทนของนักแสดงเพียงอย่างเดียวอาจคิดเป็น 70% ของงบประมาณทั้งหมดเลย!
สถานการณ์เช่นนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นปรากฏการณ์บิดๆ เบี้ยว ที่เกิดจากการพัฒนาอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมบันเทิง มูลค่าตลาดของดาราดังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และไม่ยอมลดค่าตัวง่ายๆ นักลงทุนจึงต้องประหยัดเงินในการถ่ายทำและการผลิตเท่านั้น
เป็นผลให้มีภาพยนตร์คุณภาพแย่ๆ มากขึ้นเรื่อยๆ มีโฆษณาแฝงในภาพยนตร์และละครโทรทัศน์มากขึ้นเรื่อยๆ และผู้ชมก็ด่าทอมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
แต่ละครแย่ๆ ของดาราดังก็ยังมีคนติดตาม ขอเพียงสร้างกระแสเสียหน่อย ก็มีความเป็นไปได้ที่จะทำกำไร ดังนั้นสถานการณ์นี้จึงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
แต่คิดในทางกลับกัน หากค่าตอบแทนนักแสดงสูง ก็สามารถดึงดูดให้นักแสดงนับไม่ถ้วนทุ่มเทให้กับมัน
แต่ภาพยนตร์และละครที่ลู่เฉินลงทุนไปไม่ใช่อย่างนั้น เขาชอบที่จะใช้คนหน้าใหม่ในภาพยนตร์และละคร แล้วคนหน้าใหม่ที่ไม่โด่งดังอะไรก็โด่งดังเปรี้ยงปร้างขึ้นมาได้ จะว่าเขาขี้เหนียวหรือประหยัดก็ดี แต่ความสามารถตรงนี้ก็ทำให้คนนับถือไม่น้อย
ดังนั้นสำหรับนักศึกษาของวิทยาลัยภาพยนตร์ปักกิ่งแล้ว ลู่เฉินมาเลือกนักแสดงสำหรับละครเรื่องใหม่ในวิทยาลัย จึงเป็นโอกาสที่ดีที่สุดของพวกเขาและพวกเธอ เมื่อถูกเลือกแล้ว จะเทียบเท่ากับการก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงโดยตรง และเป็นจุดเริ่มต้นที่สูงมาก
ก่อนหน้านี้ก็มีตัวอย่างที่ดีที่สุดให้เห็นแล้ว!
อย่างนั้นใครจะไม่อยากคว้าโอกาสไว้ล่ะ
แต่หลายครั้ง ยิ่งรอคอยอย่างใจจดใจจ่อยิ่งเกิดปัญหา ก็เหมือนกับนักศึกษาสาขาวิชาการแสดงที่เพิ่งขึ้นเวทีเมื่อครู่นี้ ถือได้ว่าเป็นนักเรียนรุ่นเดอะที่มีประสบการณ์แล้ว ไม่เพียงแต่แสดงโอเวอร์เกินจริง กระทั่งบทพูดหนึ่งประโยคที่ง่ายๆ ยังผิดไปสองคำเลย
เขาตื่นเต้นเกินไป
ลู่เฉินหันไปส่ายหน้าให้ฟางฮุ่ย ฝ่ายหลังจึงยกยิ้มก่อนจะพูดว่า “คนต่อไปเถอะ”
……………………………………