ตอนที่ 665 ขอบคุณ
เทศกาลดนตรีเทียนฝู่เป็นหนึ่งในสามเทศกาลดนตรีใหญ่ของวงการเพลงป็อบในประเทศ ขนาดของงานไม่ได้ด้อยไปกว่างานเทศกาลดนตรีในทุ่งหญ้า 72H ทั้งยังจัดขึ้นสองปีครั้ง
เทศกาลดนตรีเทียนฝู่ปีนี่จัดขึ้นในวันที่ 8 สิงหาคม ที่สวนสาธารณะสู่ซานอันเลื่องชื่อ งานมีทั้งหมด 7 วัน
ในฐานะนักร้องเพลงป็อปที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดในช่วงไม่กี่ปีนี้ ลู่เฉินได้รับคำเชิญจากผู้จัดงานเทศกาลดนตรีเทียนฝู่ตั้งแต่หนึ่งเดือนที่แล้ว หวังว่าเขาจะพาวงของเขามาร่วมงานด้วย
เวลานั้นไม่ประจวบเหมาะ เพราะละคร ‘ยัยตัวร้ายกับนายต่างดาว’ เพิ่งเริ่มถ่ายทำ แต่ลู่เฉินไม่จำเป็นต้องอยู่ที่กองละครทุกวัน ถ้านั่งเครื่องบินไปมาพอจะแบ่งเวลาวันสองวันได้ไม่มีปัญหา
ดังนั้นหลังจากไตร่ตรองดีแล้ว ลู่เฉินตัดสินใจว่าจะพาวงนิพพานไปร่วมงานเทศกาลดนตรีเทียนฝู่ด้วย จึงได้แจ้งทางผู้จัดล่วงหน้า ส่วนการแสดงของเขาถูกจัดให้อยู่ในวันที่ 8 สิงหาคม
วันที่ 7 สิงหาคม ลู่เฉินและสมาชิกวงนิพพานอีกห้าชีวิตเดินทางโดยเครื่องบินไปที่เมืองเทียนฝู่
ทางบริษัทจองตั๋วเครื่องบินชั้นหนึ่งให้ คนที่นั่งถัดจากลู่เฉินคือหวังจิ้ง
ตอนที่เครื่องบินเริ่มออกวิ่งบนรันเวย์ เธอเริ่มตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด เธอกัดริมฝีปากใบหน้าซีดขาว
ลู่เฉินสังเกตเห็น จึงถามเบาๆ ว่า “เธอไม่ค่อยได้นั่งเครื่องบินใช่ไหม”
ใบหน้าของหวังจิ้งไร้สีเลือด พยักหน้าตอบ “เมื่อก่อนฉันเคยนั่งครั้งหนึ่ง แล้วกลัวมาก”
ลู่เฉินคิดไม่ถึงว่าหวังจิ้งที่มีนิสัยแข็งกร้าวจะกลัวเครื่องบิน ถ้ารู้ก่อนเขาจะให้ทางบริษัทจองตั๋วรถไฟความเร็วสูงแทน แต่ตอนนี้เครื่องใกล้จะออกแล้ว มาเสียใจภายหลังไม่มีประโยชน์
คิดอยู่ครู่หนึ่ง ลู่เฉินบอกเธอว่า “ไม่ต้องกังวล ชินแล้วก็จะดีเอง เครื่องขึ้นแล้วก็ไม่เป็นไรแล้ว”
หวังจิ้งพยักหน้า หลับตาลง
แต่มองออกว่าเธอยังตึงเครียดเหมือนเดิม และไม่ได้ผ่อนคลายลงด้วยการปลอบประโลมของลู่เฉิน
เมื่อเครื่องบินทะยานสู่ท้องฟ้า ความโหวงทำให้หวังจิ้งร้องออกมาเบาๆ ด้วยความตกใจ และคว้ามือลู่เฉินที่อยู่ข้างๆ โดยไม่รู้ตัว
ลู่เฉินปล่อยให้เธอจับเอาไว้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ตอนนี้เองแอร์โฮสเตสจับเก้าอี้พยุงตัวเดินเข้ามา ก้มโค้งถามลู่เฉินว่า “คุณผู้ชายคะ มีอะไรให้ดิฉันช่วยไหมคะ”
เครื่องบินกำลังไต่ระดับความสูง แอร์โฮสเตสต้องนั่งประจำที่เหมือนผู้โดยสารคนอื่น แต่แอร์สาวคนนี้ได้ยินเสียงร้องของหวังจิ้ง จึงตั้งใจเข้ามาถามอย่างเป็นห่วง
ลู่เฉินอธิบาย “ไม่เป็นไรครับ เพื่อนของผมเครียดนิดหน่อยเท่านั้น เดี๋ยวก็หายครับ”
แอร์โฮสเตสพยักหน้าแล้วเธอก็ตาลุกวาวขึ้นมา “คุณคือคุณลู่เฉิน?”
เธอจำลู่เฉินได้
ลู่เฉินยิ้มเล็กน้อย “สวัสดีครับ”
แอร์สาวหน้าแดง เห็นได้ชัดว่าตื่นเต้นดีใจ “สวัสดีค่ะ มีอะไรบอกได้เลยนะคะ”
ลู่เฉินตอบ “ขอบคุณครับ”
ด้วยจรรณยาบรรณและกฎความปลอดภัย แอร์โฮสเตสสาวคนนี้ไม่ได้ขอลายเซ็นจากลู่เฉิน แต่หลังจากกลับไปที่ที่นั่งแล้ว เธออดบอกเล่าสิ่งที่เธอพบเห็นมาให้เพื่อนร่วมงานฟังไม่ได้
ตอนนี้ หวังจิ้งเริ่มผ่อนคลายลงบ้าง
เธอลืมตาขึ้นอีกครั้ง มองเห็นว่ามือของตัวเองกำลังจับมือลู่เฉินแน่นจึงรีบปล่อยพร้อมกับหน้าแดง
“ขอโทษ…”
ลู่เฉินยิ้ม “ไม่เป็นไร อีกไม่นานก็ถึงเมืองเทียนฝู่แล้ว ขากลับนั่งรถไฟความเร็วสูงแล้วกัน”
เมืองหลวงอยู่ห่างจากเมืองเทียนฝู่ 1,700 กิโลเมตร ใช้เวลาบินสองชั่วโมงครึ่ง ไม่เร็วแต่ก็ไม่นานเกินไป
หลังจากคุ้นชินกับการบินแล้ว หวังจิ้งดีขึ้นมาก
เมื่อถึงที่หมาย ลู่เฉินนำวงนิพพานเดินผ่านช่องทางวีไอพี ผู้รับผิดชอบจัดงานเทศกาลดนตรีเทียนฝู่ได้ขับรถมารอรับตรงหน้าประตูทางออกแล้ว
หลังจากขึ้นรถ ก็เดินทางมุ่งสู่โรงแรม
โรงแรมได้จองไว้แล้ว เป็นโรงแรมห้าดาวแชงกรีลา
ในฐานะเครือโรงแรมระดับไฮเอนด์ที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ แชงกรีลามีสาขาอยู่ในทุกเมืองใหญ่ เมืองเทียนฝู่เป็นหัวเมืองระดับมณฑลของมณฑลชวนสู่ จึงไม่มีข้อยกเว้น
กว่าจะได้เข้าพักที่โรงแรม ฟ้าก็มืดแล้ว
อาหารค่ำรับประทานในโรงแรม รับประทานเสร็จลู่เฉินกลับมาถึงห้องพัก
แต่เขาไม่ได้พักผ่อน กลับเรียกพวกหวังจิ้งเข้ามารวมตัวเพื่อประชุมเล็กๆ น้อยๆ
“สองเพลง พวกนายเตรียมพร้อมแล้วหรือยัง”
หลังจากการเดินทางอันยาวนาน หวังจิ้งดูอ่อนล้าเล็กน้อย แต่เมื่อลู่เฉินถาม เธอก็ตอบอย่างมั่นใจ “พวกเราเตรียมตัวพร้อมแล้ว!”
หากกล่าวอย่างจริงจัง เทศกาลดนตรีครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่วงนิพพานได้ออกมาประกาศตนในวงการเพลงป็อป!
พูดแบบนี้ดูจะเกินจริงไปหน่อย เพราะวงนิพพานเคยแสดงบนเวทีใหญ่มาหลายครั้งแล้ว แต่สิ่งที่ต้องบอกให้ชัดเจนก็คือ เมื่อก่อนวงนิพพานมีไว้เพื่อเป็นวงดนตรีของลู่เฉินโดยเฉพาะ
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน วงนิพพานกำลังจะกลายเป็นวงที่เอกเทศแสดงเดี่ยวบนเวทีได้อย่างแท้จริง
นี่ไม่ได้หมายความว่าวงนิพพานจะปีกกล้าขาแข็งเริ่มบินเดี่ยวด้วยตัวเอง แต่ตอนที่ลู่เฉินเริ่มตั้งวงนิพพานขึ้นมาใหม่นั้น ได้วางแผนอนาคตระยะยาวให้กับวงไว้แล้ว
ลู่เฉินไม่เคยคิดจะให้วงนิพพานยืนอยู่เบื้องหลังเขาตลอดไป เพราะงานของเขาจะต้องพัฒนาในรอบด้าน นอกจากด้านดนตรี ยังมีละคร ภาพยนตร์ รวมถึงงานอื่นที่เกี่ยวข้อง
สิ่งสำคัญที่สุดคือ ลู่เฉินไม่ค่อยรับงานอีเวนต์ ตอนนี้คอนเสิร์ตส่วนตัวก็ยังไม่เคยจัด ถ้าวงนิพพานเป็นวงของเขาคนเดียว อย่างนั้นคงจะเป็นการเสียเวลาเปล่า
ดังนั้นตั้งแต่เริ่มต้น ลู่เฉินได้บอกพวกหวังจิ้งเอาไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า เส้นทางเดินต่อไปพวกเขาต้องเดินด้วยตัวเอง
หลังจากตั้งวงมาหนึ่งปีกว่า วงนิพพานนอกจากการฝึกซ้อมประจำวันและงานตามปกติ ยังออกไปรับงานเล่นในบาร์และมิวสิคซาลอนขนาดเล็ก เริ่มร้องคัฟเวอร์เพลงของคนอื่นก่อน แล้วค่อยๆ ฝึกฝนจนชำนาญ
สำหรับวงนิพพานแล้ว เทศกาลดนตรีเทียนฝู่ครั้งนี้เป็นโอกาสดีที่จะได้พิสูจน์ความพยายามและความสามารถของพวกเขา
ลู่เฉินหัวเราะ “ดีมาก ทุกคนรีบพักผ่อน พรุ่งนี้จะต้องขึ้นเวทีแล้ว!”
ทุกคนออกไปหมด เหลือหวังจิ้งที่ยังอยู่
เธอพูดกับลู่เฉินว่า “ขอบใจนะ”
หวังจิ้งรู้สึกขอบคุณลู่เฉินมากมาย ที่ผ่านมาเธอไม่เคยกล่าวคำขอบคุณแก่ลู่เฉินดีๆ อย่างจริงจังเลยสักครั้ง
ตอนแรกถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือของลู่เฉิน สตูดิโอเนี่ยผานคงจะล้มไปแล้ว ลู่เฉินซื้อสตูดิโอเอาไว้ ทำให้พ่อของเธอได้เงินที่มาจากหยาดเหงื่อแรงกายกลับคืนมา
วงเนี่ยผานตั้งใหม่โดยเปลี่ยนมาใช้ชื่อวงนิพพาน และยังรักษาความฝันทางด้านดนตรีของหวังจิ้งเอาไว้ได้ ทำให้เธอไม่ต้องสูญเสียเพื่อนและคู่หูนักดนตรีไป สามารถทำอาชีพที่ตัวเองรักต่อไปได้
เพียงแต่ที่ผ่านมา เธอไม่รู้จะขอบคุณลู่เฉินอย่างไรดี
เพราะลู่เฉินไม่ขาดอะไรสักอย่าง
เขาช่างสูงส่งขนาดนี้ เธอไม่กล้าอาจเอื้อม แต่เธอก็ยังบอกกับเขาว่า…
ขอบคุณ!
………………………………………………