Perfect Superstar – ตอนที่ 808 ร่วมมือกัน

Perfect Superstar

ตอนที่ 808 ร่วมมือกัน

สองพี่น้องลู่เฉินและลู่ซีไม่ได้อยู่ทานอาหารกลางวันที่บ้านคุณตาคุณยาย พวกเขาอ้างว่างานยุ่งมาก หลังจากทิ้งถุงของขวัญน้อยใหญ่ไว้ให้มากมาย ก็พาเฉินเฟยเอ๋อร์กลับไปพร้อมกัน

ไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ ในบ้านมีคนอยู่มากเกินไป ทำเอาลู่เฉินต้องรับมือจนเหงื่อออกเต็มตัวไปหมด ในที่สุดแม้แต่คุณตาก็ยังทนมองไม่ได้อีกต่อไป เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนนี้ ดังนั้นการออกไปจากที่นี่ตั้งแต่เนิ่นๆ จึงเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุด

ถึงอย่างไรช่วงนี้เขาก็จะอยู่ที่หนิงซานอยู่แล้ว หากต้องการจะมาพบคุณตาคุณยายก็สามารถกลับมาได้อีกทุกเมื่อ

นี่คือความน่าเอือมระอาของสังคมมนุษย์นั่นเอง ดังคำกล่าวที่ว่า ครอบครัวที่ยากจนอยู่ในเมืองที่พลุกพล่านก็ยังไม่มีใครมาสนใจ แต่คนที่ร่ำรวยนั้นแม้จะอยู่ในภูเขาที่ห่างไกลก็จะมีญาติห่างๆ มาเยี่ยมเยือนอยู่เสมอ ในปีที่ตระกูลลู่เจริญรุ่งเรือง ญาติที่อยู่ห่างไกลถึงหนิงซานก็มักจะมาหาถึงปินไห่อยู่บ่อยๆ แต่เมื่อถึงคราวที่ล้มละลายครอบครัวกลับถูกทอดทิ้งอย่างเย็นชา แต่โลกก็เป็นเช่นนี้แหละมีทั้งร้อนและหนาว

ลู่เฉินในตอนนี้นั้นรุ่งโรจน์ยิ่งกว่าตอนที่ธุรกิจของลู่ชิ่งเซิ่งรุ่งเรืองที่สุดเป็นสิบเท่า เป็นเรื่องปกติที่ญาติๆ มากมายที่เคยหายตัวไปจะกลับมาหาเขาอีกครั้ง ก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการเอารัดเอาเปรียบเขา

สำหรับญาติพี่น้องเหล่านี้ ลู่เฉินและลู่ซีไม่มีความรู้สึกที่ดีต่อพวกเขาเลยแม้แต่น้อย ก็แค่รับมืออย่างสุภาพแบบผิวเผินให้ผ่านพ้นไปเท่านั้น มีเพียงแค่ผู้อาวุโสที่ใจดีแบบฟางซิ่นโฮ่วเท่านั้นที่สมควรจะลงแรงช่วยเหลือจริงๆ

“คนพวกนี้นี่ ทำตัวเหมือนแมลงวันจริงๆ…”

เมื่อกลับมาที่รถ ลู่ซีก็พูดขึ้นมาอย่างโมโหสุดๆ “ในปีนั้นที่ครอบครัวเราเกิดเรื่อง ไม่เห็นจะมีใครโทรมาถามสักคน ทีตอนนี้ล่ะไม่รู้โผล่มาจากไหนกันนักหนา ทุกคนพูดราวกับว่าพวกเราเป็นหนี้บุญคุณพวกเขาอย่างนั้นแหละ!”

ญาติบางคนต้องการขอให้ลู่เฉินใช้เส้นสายในการทำธุระต่างๆ บางคนต้องการให้ลู่เฉินลงทุนกับเขา ยังมีบางคนที่ต้องการตำแหน่งงานในเฉินเฟยมีเดีย มีแม้กระทั่งได้รับการไหว้วานจากคนอื่นเพื่อแนะนำใครคนนั้นเข้าสู่ทีมนักแสดง

และต้องเป็นบทบาทที่มีซีนที่เยอะมากพอตัวด้วยนะ!

เรียกร้องต้องการมากมายแบบนี้จะให้ลู่ซีไม่รู้สึกโกรธได้อย่างไร มันไม่ง่ายเลยกว่าที่เธอจะอดทนมาถึงตอนนี้ได้

ลู่เฉินยิ้มและพูดว่า “พวกเราก็ไม่ได้ไปรับปากสัญญาอะไรกับพวกเขานี่ อย่าโกรธไปเลยครับ”

ลู่ซีรู้สึกเป็นกังวล “ถ้าไม่ทำตามความต้องการของพวกเขา แบบนั้นพวกเขาจะต้องนินทาลับหลังแน่ๆ ฉันน่ะไม่กลัวหรอก แต่กลัวว่ามันจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของนายน่ะสิ”

ตอนนี้เป็นยุคอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่ส่งเสียงป่าวประกาศออกมาบนอินเทอร์เน็ต ผู้คนทั่วโลกก็สามารถได้ยินมันทั้งหมด หากมีญาติบางคนที่นี่พูดเรื่องไร้สาระออกมาบนอินเทอร์เน็ต ก็จะทำให้ลู่เฉินตกเป็นฝ่ายถูกกระทำได้อย่างง่ายดาย

เรื่องแบบนี้ใช่ว่าจะไม่มีแบบอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในวงการบันเทิง

ลู่เฉินส่ายหัว “อย่างนั้นที่จริงก็ไม่เป็นอะไรหรอกครับ ถึงยังไงพวกเราก็จะไปคาดหวังให้ทุกคนพูดแต่สิ่งดีๆ ไม่ได้อยู่แล้ว”

เฉินเฟยเอ๋อร์เห็นด้วย “พี่ลู่ซี พี่ไม่ต้องกังวลนะคะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ ละก็ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของบริษัทเราก็ไม่ใช่พวกที่ไม่สู้คน อีกอย่างความนิยมและภาพลักษณ์ของลู่เฉินก็ไม่ใช่สิ่งที่จะสั่นคลอนกันได้ง่ายๆ ตามใจชอบหรอกค่ะ”

ตอนที่เธอกำลังกลายเป็นที่นิยมก็เคยเป็นทุกข์จากข่าวลือในอินเทอร์เน็ตเช่นกัน แต่ตอนนี้จิตใจของเธอสงบลงมากแล้ว ตราบใดที่ตั้งใจทำสิ่งต่างๆ อย่างจริงจังแล้วก็ไม่จำเป็นต้องละอายใจอีก เมื่อประพฤติตนอย่างถูกต้องย่อมไม่ต้องกลัวคำพูดดูถูกใส่ร้ายจากผู้อื่น

ลู่ซีโบกมือไปมาแล้วพูดว่า “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว พวกเราไปกินข้าวกันเถอะ ตอนนี้ฉันโมโหจนจะอิ่มอยู่แล้ว!”

ลู่เฉินและเฉินเฟยเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

หลังจากรับประทานอาหารกลางวันที่โรงแรมเสร็จแล้ว ลู่เฉินก็ได้พบกับทีมงานที่โรงถ่ายหนิงซานในตอนบ่าย

โรงถ่ายหนิงซานนั้นครอบคลุมพื้นที่กว่า 833 ไร่ ถึงแม้ว่าขนาดจะเทียบไม่ได้กับโรงถ่ายขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงภายในประเทศหลายแห่ง แต่ที่นี่ก็มีความโดดเด่นเป็นของตัวเองเช่นเดียวกัน นั่นก็คือมีที่ตั้งอยู่ร่วมกันกับจุดชมวิวภูเขาชิงหนิงซึ่งมีสภาพแวดล้อมที่มั่งคั่งสมบูรณ์แบบ และพื้นที่จริงก็กว้างขวางมากพอที่จะใช้สำหรับการถ่ายทำได้

ปัจจุบันจุดถ่ายทำในโรงถ่ายหนังที่ได้สร้างอย่างเสร็จสมบูรณ์แล้วมีทั้งสระน้ำเมืองโบราณ พระราชวังหมิงชิง ถนนโบราณหมิงชิง ถนนหลักเมือง สนามรบโบราณในถิ่นทุรกันดาร และอีกมากมาย ทั้งยังมีสตูดิโอถ่ายทำขนาดใหญ่ที่ทันสมัย ถึงแม้จะไม่ครอบคลุมทั้งหมดแต่ก็มีหนังหลายประเภทที่สามารถถ่ายทำได้

ปัญหาหลักของโรงถ่ายหนังที่เพิ่งสร้างเสร็จแห่งนี้ก็คือ ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักและตั้งอยู่ในสถานที่ที่ห่างไกลเกินไป หากตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของเจ้อเจียงตะวันออกสถานการณ์ก็คงจะดีกว่านี้มาก

นอกจากนี้ยังขาดงบประมาณในการลงทุนอีกมากพอสมควร

โรงถ่ายหนังใหญ่ๆ ในประเทศที่สำคัญหลายแห่งนั้นล้วนมีมูลค่าการลงทุนหลายพันล้านกระทั่งหลายหมื่นล้าน เทียบกันแล้วโรงถ่ายหนิงซานนั้นเป็นรุ่นน้องที่เพิ่งเปิดใหม่อย่างแท้จริง การจะดึงดูดความสนใจจากทีมงานใหญ่ๆ ให้เข้ามาถ่ายทำที่นี่นั้นจึงยากมากเป็นเรื่องธรรมดา

แต่ข้อบกพร่องเหล่านี้ โดยพื้นฐานแล้วส่งผลกระทบต่อเรื่อง ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ เพียงเล็กน้อยเท่านั้น กระทั่งพูดได้ว่ายังมีข้อได้เปรียบอยู่บ้างอีกด้วย

หากเป็นโรงถ่ายจินหลิงละก็ จะรวบรวมกำลังทั้งหมดรวมถึงกำลังของภาครัฐเพื่อบริการกองถ่ายกองเดียวได้อย่างไร

เท่ากับว่าโรงถ่ายหนิงซานในตอนนี้นั้นได้ให้ทีมงานของ ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ทำการ ‘เหมา’ เอาไว้แล้วเรียบร้อย อยากจะถ่ายทำอย่างไรก็ถ่ายทำได้ตามต้องการโดยไม่มีข้อจำกัดใดๆ อยากจะถ่ายทำนานเท่าไรก็ล้วนทำได้ตามต้องการเลย!

ดังนั้นการที่ลู่เฉินเลือกที่จะถ่ายทำ ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ในหนิงซานนั้น ไม่ใช่แค่เพราะจะสนับสนุนบ้านเกิดครึ่งหนึ่งของเขาเพียงเท่านั้น และก็ไม่ใช่เป็นเพราะต้องการจะดูแลญาติพี่น้องของตัวเองด้วย

ภายในกองถ่าย ทีมงานกำลังยุ่งอยู่กับการจัดฉากพื้นหลัง รถลากหลายคันจอดอยู่ตรงหัวมุมถนน มีสิงโตหินแกะสลักเสมือนจริงสองตัวคอยอารักขาบ้านหลังใหญ่ บนแผ่นโลหะที่ห้อยอยู่ใต้ชายคาของระเบียงนั้นมีตัวอักษร ‘สำนักคุ้มภัยฝูเวย’ แสนสะดุดตา ที่หน้าประตูมีธงประจำสำนักผืนหนึ่งกำลังโบกสะบัดไปตามสายลมจนเกิดเสียงขึ้นมา

การมาที่นี่ก็เหมือนกับการเดินเข้าไปในอุโมงค์เวลา ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจกับความมหัศจรรย์ของภาพยนตร์

“คุณลู่!” “อาจารย์ลู่!” “พี่เฟยเอ๋อร์…”

เมื่อเห็นลู่เฉิน เฉินเฟยเอ๋อร์ และลู่ซีเข้ามา นักแสดงในกองถ่ายและเจ้าหน้าที่ที่อยู่ตรงนั้นต่างก็ส่งเสียงทักทายอย่างอบอุ่น

“ในที่สุดเจ้าเด็กนี่ก็มาสักที…”

ผู้กำกับเฉินกั๋วจื้อก็อยู่ในกองถ่ายเช่นกัน เขาก็ยังไม่ไว้หน้าลู่เฉินอยู่เสมอ “มีหลายคนกำลังรอนายอยู่คนเดียว อย่าบอกนะว่านี่เป็นหนังของนายเลยคิดอยากจะถ่ายยังไงก็ได้ ฉันไม่ชอบการเปลี่ยนแผนตามใจตัวเองหรอกนะ”

ในที่นี้ เกรงว่าจะมีเพียงแค่ผู้กำกับชื่อดังคนนี้เท่านั้นที่กล้าแสดงสีหน้าแบบนี้ให้ลู่เฉินเห็น

“ผู้กำกับเฉิน ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆ ครับ…”

ลู่เฉินพนมมือและโน้มตัวลงให้เฉินกั๋วจื้ออย่างต้องการจะขอโทษ “ทั้งหมดเป็นเพราะผมไม่ได้จัดการงานให้ดี ผู้กำกับได้โปรดวางใจ ก่อนที่การถ่ายทำนี้จะเสร็จสิ้นลง คุณอยากให้ผมไปทางซ้าย ผมก็จะไปทางซ้าย และจะไม่กล้าไปทางขวาอย่างแน่นอน!”

เฉินกั๋วจื้ออดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “เอาละๆ นายไม่ต้องมาช่างพูดช่างจากับฉัน พิธีเปิดถูกเลื่อนไปเป็นพรุ่งนี้แล้ว คาดว่าวันหยุดฤดูร้อนปีนี้น่าจะไม่ทันแล้วละ จะสายไปอีกสักสองวันหรือเร็วไปหลายวันก็ไม่เป็นอะไรหรอก”

เดิมทีตามแผนการถ่ายทำ ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ จะเริ่มถ่ายทำตั้งแต่ต้นปี แต่น่าเสียดายเนื่องจากมีการเตรียมการที่ไม่เพียงพอในหลายๆ ด้าน บวกกับตารางเวลาของผู้กำกับและนักแสดงที่ไม่ตรงกัน เลยทำให้ล่าช้ามาจนถึงปัจจุบัน

เฉินกั๋วจื้อเองก็ไม่ได้โกรธจริงๆ เพียงแค่พยายามจะสร้างอำนาจของตัวเองขึ้นมาเท่านั้น

ในกองถ่าย ผู้กำกับควรจะมีอำนาจสูงที่สุด เขาแค่ต้องการดูว่าลู่เฉินจะให้ความร่วมมือหรือไม่

เพราะถึงอย่างไรบทบาทของลู่เฉินในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นเพียงแค่พระเอกเท่านั้น

ผู้ช่วยผู้กำกับควบผู้กำกับแอกชัน ผู้เขียนบท เพลงประกอบ…และยังเป็นนักลงทุนรายใหญ่อีกด้วย!

สิ่งที่ทำให้เฉินกั๋วจื้อพอใจก็คือการที่ลู่เฉินเคารพเขามาก และยังให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี…ถ้าหากทุกคนร่วมมือร่วมใจกันทำงาน ก็จะสามารถทำให้ภาพยนตร์กำลังภายในเรื่องนี้ถ่ายทำออกมาได้ดีและโดดเด่น!

…………………………………………………………………………

Perfect Superstar

Perfect Superstar

Status: Ongoing
ชีวิตของลู่เฉินดั่งมรสุมรุมเร้า ทว่าสวรรค์ยังคงเมตตาคนสู้ชีวิต ความทรงจำและความสามารถจากในความฝัน จะช่วยปูทางให้เขากลายเป็น Perfect Superstar เอง!ลู่เฉิน ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาวัย 22 ปีจำต้องหยุดเรียนออกมาทำงานหาเงินในเมืองหลวง เพื่อช่วยครอบครัวปลดหนี้จำนวนมหาศาลวันหนึ่งเขาฝัน…เป็นความฝันที่ยาวนานมากโลกแห่งความฝันทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้าตัวละครแสดงต่างก็มีสีสันที่ไม่เหมือนกันนักร้อง นักแสดง นักเขียนอิสระเขามีประสบการณ์กับช่วงชีวิตที่ต่างกันทั้งสามนี้ในโลกความฝันเมื่อตื่นขึ้น ลู่เฉินมุ่งหน้าสู่ความฝันของตัวเองพร้อมกับทักษะที่ได้รับมาเป้าหมายคือกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ที่สมบูรณ์แบบ!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท