ตอนที่ 811 การคาดคะเนยอดจำหน่ายตั๋ว
ไม่พูดถึงพวกที่สร้างตัวเลขปลอมๆ ขึ้นมา ผลงานการจำหน่ายตั๋วในประเทศของภาพยนตร์ในประเทศนั้นค่อนข้างคาดเดาไม่ได้จริงๆ ผู้กำกับหรือดาราดังไม่เคยกล้าพูดว่าพวกเขาสามารถมัดใจผู้ชมได้อย่างเต็มปากเต็มคำ และปัจจัยที่ส่งผลต่อการจำหน่ายตั๋วภาพยนตร์ก็ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ตัวภาพยนตร์เท่านั้น
ในปี 2015 มีภาพยนตร์ในประเทศเรื่องหนึ่งลงทุนไป 350 ล้าน เป็นการรวมตัวกันของผู้กำกับชื่อดังและดาราชื่อดัง กล่าวได้ว่าแย่งซีนมาทางนี้หมดแล้ว การโปรโมตในระยะแรกร้อนแรงมาก และฝั่งของนักลงทุนเองก็มีเครือโรงภาพยนตร์ระดับแนวหน้าอยู่ด้วย ทั้งในวงการและนอกวงการก็ให้การตอบรับอย่างดีกับภาพยนตร์เรื่องนี้ สื่อต่างๆ ก็คิดว่านี่ต้องเป็นการทุบสถิติอย่างแน่นอน
แต่หลังจากออกฉายแล้ว สามวันแรกการจำหน่ายตั๋วก็น่าพอใจ ได้ไปหลายร้อยล้าน แต่กระแสตอบรับจากผู้ชมแย่มาก ไม่นานก็ดิ่งลงเหว สุดท้ายเมื่อภาพยนตร์ออกจากโรงการจำหน่ายตั๋วทำรายได้ได้เพียงห้าร้อยกว่าล้าน กล่าวได้เลยว่าขาดทุนย่อยยับ
ตรงกันข้าม บางเรื่องที่ไม่ได้โปรโมตอะไรมาก และก็ไม่ได้มีนักแสดงระดับแนวหน้ามาร่วมเท่าไร กลับดังเป็นพลุแตก ทำเงินได้ไม่หวาดไม่ไหว
ดังนั้นเมื่อมีตัวอย่างให้เห็น เมื่อทุกคนพูดถึงการคาดคะเนยอดจำหน่ายตั๋วก็จะระวังเป็นอย่างมาก นอกจากว่าต้องทำการสร้างกระแส ไม่อย่างนั้นถ้าถ่อมตัวได้ก็ถ่อมตัวเถอะ
ผู้ชมตอนนี้ โดยเฉพาะผู้ชมที่เป็นวัยรุ่นมักมีใจต่อต้าน ถ้าคุณโม้ไว้มาก เขาก็จะรู้สึกว่าไร้รสนิยม และไม่จ่ายเงินซื้อตั๋วไปดูเสียอย่างนั้น
ด้วยเหตุนี้ เมื่อนักข่าวท่านนี้ถามคำถามนี้กับลู่เฉิน จึงตอบยากมากจริงๆ หากลู่เฉินบอกสูงเกินไป อย่างนั้นก็น่าสงสัยว่ามั่นใจเกินไปไหม หากถ่อมตัวเกินไปก็จะมีคนพูดอีกว่า ไม่มั่นใจอย่างนี้ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า
สำหรับเรื่องนี้ ลู่เฉินตอบอย่างจริงจังว่า “เกี่ยวกับคำถามนี้ ก่อนหน้าที่คุณจะถามผม ผมยังไม่เคยคิดอย่างจริงจัง ทัศนคติของผมที่มีต่อหนังเรื่องนี้ก็คือ ทำให้สุดความสามารถของตนเอง แล้วให้ผู้ชมเป็นผู้ตัดสิน”
“หากความเห็นของผู้ชมดี อย่างนั้นยอดจำหน่ายตั๋วก็จะดี ไม่งั้นก็ตรงกันข้าม”
ขณะที่ทุกคนกำลังคิดว่าลู่เฉินใช้วิธีไทเก๊กในการหลบเลี่ยงคำถามนี้นั้น ลู่เฉินก็พูดต่อว่า “แต่ในเมื่อคุณถามมาแล้ว ผมคิดว่าความคาดหวังของผมสำหรับเรื่อง ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ คือหนึ่งพันถึงหนึ่งพันห้าร้อยล้านครับ”
หนึ่งพันถึงหนึ่งพันห้าร้อยล้าน!
เกิดเสียงพูดคุยแผ่วเบาดังขึ้นท่ามกลางเหล่านักข่าว ทั้งยังเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นเบาๆ
หากว่ากันตามตลาดของภาพยนตร์ในปัจจุบัน การคาดคะเนของลู่เฉินที่มีต่อภาพยนตร์เรื่อง ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ค่อนข้างสูงมาก ต้องทราบว่างบลงทุนของภาค ‘กระบี่จากเทือกเขาฮว่าซาน’ ที่ประกาศต่อภายนอกเพียงหนึ่งร้อยห้าสิบล้านเท่านั้น
ต้นทุนหนึ่งร้อยห้าสิบล้านหยวนกับยอดจำหน่ายตั๋วหนึ่งพันห้าร้อยล้านหยวน นั่นกำไรมหาศาลเลย ลู่เฉินไม่กลัวหน้าแตกเลยหรือ
แต่ลู่เฉินยังพูดไม่จบ “ยอดจำหน่ายตั๋วหนึ่งพันถึงหนึ่งพันห้าร้อยล้านหยวน อีกอย่างผมยังหวังว่าเรื่อง ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ จะมียอดจำหน่ายของที่ระลึกไม่น้อยไปกว่าเรื่อง ‘โปเยโปโลเย’”
โปเยโปโลเย!
ตอนนี้เองทุกคนถึงได้นึกออก ความมั่นใจของลู่เฉินไม่ใช่ไม่มีเหตุผล เขาไม่ได้ถ่ายภาพยนตร์เป็นครั้งแรก ผลงานเรื่องแรก ‘โปเยโปโลเย’ มียอดจำหน่ายตั๋วมากกว่า 1,000 ล้านหยวน และมียอดจำหน่ายของที่ระลึกกว่า 150 ล้านหยวน ไม่เพียงแต่สร้างสถิติสูงสุดสำหรับการจำหน่ายของที่ระลึกของภาพยนตร์ในประเทศเท่านั้น มันถึงขนาดแซงหน้าภาพยนตร์ฮอลลีวูดส่วนใหญ่ไปไกลเลย
ตอนแรกมีนักข่าวหลายคนที่แทบจะรอไม่ไหวอยากจะถามคำถามลู่เฉินเกี่ยวกับยอดจำหน่ายตั๋ว เพราะอยากจะหาหัวข้อมาสร้างกระแสเสียหน่อย แต่ตอนนี้พวกเขากลับเงียบกันหมด
ยอดจำหน่ายตั๋วของภาพยนตร์เรื่อง ‘โปเยโปโลเย’ นั้นจริงแท้แน่นอน ไม่ได้มีการใส่ไข่เลย โดยเฉพาะยอดจำหน่ายของที่ระลึก ตอนนั้นหลายคนไม่เชื่อ ทั้งยังมีสื่อทำการตรวจสอบโดยเฉพาะ สุดท้ายกลับพบว่าไม่มีการตกแต่งตัวเลขใดๆ เลย
ตอนนั้นในวงการภาพยนตร์ลู่เฉินเป็นเพียงแค่คนหน้าใหม่ ความสามารถและพื้นฐานที่แท้จริงของลู่เฉินแข็งแกร่งไม่เท่ากับตอนนี้เลยด้วยซ้ำ อย่างนั้นใครจะกล้าพูดล่ะว่า ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ จะสู้ ‘โปเยโปโลเย’ ไม่ได้
เมื่อเป็นอย่างนี้ การที่เขาประมาณการยอดจำหน่ายตั๋วเรื่อง ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ไว้ที่หนึ่งพันถึงหนึ่งพันห้าร้อยล้านหยวนยังไม่นับว่ามั่นใจเกินไปนะ หากจะบอกว่าเป็นการถ่อมตัวก็ไม่ผิดอะไร
ควรทราบว่าทัพนักแสดงของภาพยนตร์เรื่อง ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ นั้นเป็นสิ่งที่ ‘โปเยโปโลเย‘ ไม่อาจเทียบเคียงได้เลย และในด้านการประชาสัมพันธ์ ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ก็ทิ้งห่างเรื่อง ‘โปเยโปโลเย’ ไปแบบไม่เห็นฝุ่น
นักข่าวต่างก็อึ้งไปพักใหญ่ ยังดีที่มีคนกอบกู้สถานการณ์ไว้ได้ทัน เขาลุกขึ้นก่อนจะถามผู้กำกับเฉินว่า “ผู้กำกับเฉินครับ ขอถามว่าเพราะอะไรคุณถึงตัดสินใจกำกับเรื่อง ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ภาพยนตร์กำลังภายในเรื่องนี้หรือครับ”
ที่จริงแล้วนักข่าวคนนี้อยากรู้มากกว่าว่า เฉินเฟยมีเดียจ่ายไปเท่าไรถึงเชิญเทพอย่างนี้มาได้ ต้องทราบก่อนว่าเฉินกั๋วจื้อหลังจากเบนเข็มไปถ่ายหนังเชิงพาณิชย์แล้ว หน้าบ้านของเขาก็ไม่เคยขาดนักลงทุนที่หิ้วกระเช้าที่เต็มไปด้วยธนบัตรเลย
หากในนั้นมีนัยยะอะไรแอบแฝงละก็ เชื่อว่ากลุ่มคนที่คอยกอสซิปต้องชอบฟังมากแน่ๆ
คนอย่างเฉินกั๋วจื้อที่เป็นเหมือนคนเก่าแก่ที่เด็ดดวง แน่นอนว่าไม่มีทางจนมุมกับคำถามอย่างนี้แน่ เขายิ้มก่อนจะตอบว่า “ที่ผมรับกำกับเรื่อง ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ด้านหนึ่งก็เพราะว่าเฉินเฟยมีเดียมีความจริงใจมาก และยังสามารถร่วมงานกับลู่เฉินและเฉินเฟยเอ๋อร์คนหนุ่มสาวที่มีความสามารถอย่างนี้อีก ผมเองก็ดีใจมากครับ”
หลังจากที่อวยลู่เฉินและคนอื่นๆ ไปสองสามคำ เฉินกั๋วจื้อก็พูดต่อว่า “อีกอย่าง ผมชื่นชอบเรื่อง ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ มากเลย ผมคิดว่านิยายเรื่องนี้เขียนได้ดีมาก เขาได้สร้างกระแสกำลังภายในขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ได้มีโอกาสกำกับ ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ฉบับภาพยนตร์ สำหรับผมแล้วมันเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายเลยครับ”
“ผมเต็มใจมากที่จะเผชิญกับความท้าทายเช่นนี้!”
ทันทีที่เขาพูดจบก็ได้รับเสียงปรบมืออย่างอบอุ่นทันที ภาพนี้หาได้ยากมากในการให้สัมภาษณ์กับนักข่าวของสื่อ แต่เฉินกั๋วจื้อไม่ใช่ผู้กำกับธรรมดา
การสัมภาษณ์ดำเนินต่อไป คำถามของนักข่าวมุ่งเน้นไปที่เฉินกั๋วจื้อ ลู่เฉิน และเฉินเฟยเอ๋อร์ แต่มู่เสี่ยวชูและถงซินเหยาในฐานะนักแสดงสมทบก็ถูกถามอยู่สองสามคำถามเช่นกัน
คำตอบของทั้งสองคนค่อนข้างน่าพอใจ และพวกเธอไม่กล้าที่จะเล่นมากในงานเช่นนี้
เมื่อใกล้จะจบ มีนักข่าวคนหนึ่งถามกับลู่เฉินว่า “คุณลู่เฉิน ได้ยินว่าหลังจากถ่ายทำ ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ทั้งสามภาคเสร็จสิ้นแล้ว คุณจะแต่งงานกับคุณเฉินเฟยเอ๋อร์ ขอถามว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าครับ”
หืม?
คำถามนี้น่าสนใจมาก สายตาของทุกคนจดจ้องไปที่ลู่เฉินอีกครั้ง รวมถึงเฉินเฟยเอ๋อร์ด้วย
ลู่เฉินไม่รู้จะพูดอะไรเลย นี่ใครไปสร้างข่าวอีก? แล้วยังสร้างข่าวถูกอีกนะ!
ไม่รู้จะพูดอะไรก็เรื่องหนึ่ง แต่คำถามของนักข่าวอย่างไรก็ต้องตอบ เขาคิดก่อนจะพูดว่า “ขอบคุณทุกคนมากที่ให้ความสนใจกับเรื่องความรักของผม ผมกับเฉินเฟยเอ๋อร์จะให้คำตอบทุกคนเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม แต่ตอนนี้งานของพวกเราก็คือถ่ายทำเรื่องนี้ให้ดี ไม่ทำให้แฟนคลับที่ตั้งตารอผิดหวัง”
นักข่าวต่างก็ผิดหวังที่ไม่ได้อะไรออกมาจากปากของลู่เฉิน จึงอดที่จะเสียดายไม่ได้
คู่รักที่ดีที่สุดของวงการบันเทิงนี้เมื่อไหร่จะตกล่องปล่องชิ้น มันต้องเป็นคำถามที่คนไม่น้อยให้ความสนใจอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
น่าเสียดายที่ข้อมูลไม่ได้หาง่ายอย่างนั้น
หลังจากจบการสัมภาษณ์จากนักข่าว พิธีเปิดกล้องหนังเรื่อง ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ก็ถือว่าจบสิ้นสมบูรณ์ แต่ต่อมาลู่เฉินยังเข้าร่วมงานเซ็นสัญญากับลู่ซีอีกงานหนึ่ง
เฉินเฟยมีเดียทุ่มเงินลงทุน 375 ล้านเพื่อซื้อหุ้น 35% ของโรงถ่ายหนิงซานที่เทศบาลอำเภอหนิงซานขายให้!
…………………………………………………………………………