ตอนที่ 817 ไม่ง่ายเลย
ณ ผาพิภพเทือกเขาฮว่าซาน
เทือกเขาฮว่าซานเป็นหนึ่งในห้าเทือกเขาที่ตั้งอยู่ทางใต้ของเมืองหวาอิน รัฐฉินตะวันตก ความสูง 2,200 เมตรเหนือน้ำทะเล ทางเหนือมองลงมาจะเห็นแม่น้ำเหลือง ทางใต้ติดกับกับเทือกเขาฉินหลิ่ง ‘สุ่ยจิงจู้’[1] กล่าวว่ามัน ‘มองไกลๆ ราวกับดอกไม้’ จึงเป็นที่มาของชื่อเทือกเขาฮว่าซาน เรียกอีกอย่างว่าเขาไท่ฮว่า เพราะอยู่ติดกับเขาฮว่าซานน้อยตะวันตก
มีจุดชมวิวและสถานที่ทางประวัติศาสตร์มากมายบนเขาฮว่าซาน ตั้งแต่เชิงเขาไปจนถึงด้านบนสุด มีวัดวาอาราม โบราณสถาน และสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่สามารถพบเห็นได้ทุกที่ บทกวีและบันทึกของนักปราชญ์ในสมัยราชวงศ์ในอดีต ตลอดจนเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และนิทานพื้นบ้านถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวาง
‘กระบี่จากเทือกเขาฮว่าซาน’ ภาคแรกของภาพยนตร์เรื่อง ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ เนื่องจากชื่อตอนมีคำว่า ‘ฮว่าซาน’ หราอยู่ จึงจำเป็นต้องถ่ายทำที่เขาฮว่าซานไม่เช่นนั้นจะเป็นกลายเรื่องน่าขบขัน
ทีมงานภาพยนตร์ที่นำโดยเฉินกั๋วจื้อและลู่เฉิน นับว่าเป็นเวลาครึ่งเดือนแล้วที่ได้มาถึงจุดชมวิวเขาฮว่าซาน หลังจากถ่ายทำไปแล้วครึ่งเดือน ในตอนนี้ความคืบหน้าของการถ่ายทำเสร็จไปไม่ถึงหนึ่งในสามของกำหนดการ
นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เช่นกัน ประการแรกคือเขาฮว่าซานนั้นสูงชันมาก การถ่ายทำปกตินั้นเป็นไปอย่างยากลำบาก เพื่อความปลอดภัยของนักแสดงและทีมงาน ไม่สามารถเร่งเวลาตามกำหนดการได้
ประการที่สอง เขาฮว่าซานเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง มักจะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ดังนั้นแม้จะได้รับความร่วมมือจากฝ่ายบริหาร เวลาเคลียร์พื้นที่ถ่ายทำก็ไม่ควรนานจนเกินไป ทำให้ความคืบหน้าของการถ่ายทำล่าช้าอย่างไม่ต้องสงสัย
การถ่ายทำในวันนี้ เริ่มถ่ายทำบนเส้นทางสันเขามังกรดำ
ปีนขึ้นไปบนยอดเขาทางเหนือของเขาฮว่าซาน แล้วเลี้ยวไปทางใต้เพื่อไปยังหน้าผาชาเอ่อร์ หลังจากขึ้นบันไดแล้วจะเห็นสันเขาทอดยาวอยู่ข้างหน้า มันพุ่งตรงยาวสุดลูกหูลูกตาราวกับมังกรทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า เพราะเหตุนี้จึงเรียกว่า ‘เส้นทางสันเขามังกรดำ’
ขั้นบันไดบนสันเขามังกรดำมีความกว้างไม่ถึงหนึ่งเมตร สองข้างทางเป็นหุบเขาลึก เนินเขาลาดชันราวกับมีดและขวาน มองเห็นต้นสนสีเขียวและเมฆสีขาวได้ในระยะไกล ได้ยินเสียงสายลมพัดโหมกระหน่ำ ทำให้ผู้คนรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน
โดรนถ่ายภาพมืออาชีพบินอยู่เหนือเส้นทางสันเขามังกรดำ เลนส์กล้องตามติดลู่เฉินและมู่เสี่ยวชูที่เดินอยู่บนทางเดินของสันเขาอย่างใกล้ชิด โฉบขึ้นโฉบลง สลับมุมเป็นครั้งคราวทำให้ได้ภาพระยะใกล้ที่ยอดเยี่ยม
“ว้าย!”
ทันใดนั้นลมภูเขาพัดมาอย่างรุนแรง ทำให้ร่างของมู่เสี่ยวชูที่อยู่ในชุดสีชมพูเสียการทรงตัวจวนจะล้มลงพื้นอยู่รอมร่อ จนต้องร้องอุทานออกมาอย่างช่วยไม่ได้
โชคดีลู่เฉินที่เดินตามหลังเธอมีสายตาและมือที่ว่องไว ก้าวไปข้างหน้าอย่างห้าวหาญ คว้าตัวเธอเอาไว้
แต่ถึงอย่างนั้นมู่เสี่ยวชูก็ตกใจกลัวจนหน้าซีดน้ำตาเกือบจะร่วงลงมา
เดิมทีเธอก็เป็นโรคกลัวความสูงอยู่แล้ว ครั้งนี้ต้องขึ้นมาถ่ายทำยังสถานที่จริงบนเขาฮว่าซานอีก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการทดสอบครั้งใหญ่สำหรับเธอ
แต่นิสัยของมู่เสี่ยวชูนั้นมีความดื้อรั้นอยู่เล็กน้อย ยืนกรานว่าจะไม่ใช้นักแสดงแทนในการถ่ายทำที่สันเขามังกรดำอย่างเด็ดขาด
ลู่เฉินถามด้วยความเป็นห่วง “เสี่ยวชู โอเคไหม”
มู่เสี่ยวชูพยักหน้า เมื่อสักครู่เธอเกือบทิ้งวิญญาณของตัวเองลงไปข้างล่างแล้ว แต่ถูกลู่เฉินคว้าประคองเอาไว้ได้เสียก่อน เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยของลู่เฉินในหู หัวใจของเธอก็พลันสงบลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ และแทบจะไม่หลงเหลือความหวาดกลัวอีกต่อไป
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ เราถ่ายกันต่อเลยไหม”
ลู่เฉินหัวเราะเอ่ย “ถ่ายเสร็จแล้วละ ผู้กำกับเฉินเพิ่งบอกผมว่าเรียบร้อยดี เรากลับกันเถอะ”
เขาสวมหูฟังไร้สายแบบอินเอียร์ สามารถฟังคำแนะนำจากผู้กำกับได้ตลอดเวลา
ลู่เฉินเอื้อมมือไปหามู่เสี่ยวชูอย่างใจดี พลางยิ้มเอ่ยว่า “มา ศิษย์น้องหญิง จับมือข้าไว้”
“ขอบคุณท่านพี่!”
ใบหน้าของมู่เสี่ยวชูพลันแดงระเรื่อ ตอบกลับไปแบบซุกซน จากนั้นสอดมือเล็กๆ ของตัวเองเข้ากับมือของลู่เฉิน และปล่อยให้เขานำทางกลับไป
แม้ว่าการจูงมือเช่นนี้จะดูใกล้ชิดสนิทสนมเป็นพิเศษ แต่ลู่เฉินนั้นกลับไม่ได้คิดอะไร เพราะภายในใจของเขา มู่เสี่ยวชูก็เหมือนกับน้องสาวคนหนึ่งของเขาที่ต้องการการดูแลและปกป้อง ไม่เกี่ยวเนื่องกับความรักระหว่างชายและหญิง
แต่ทว่ามู่เสี่ยวชูถูกลู่เฉินจูงมือแบบนี้ รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นในฝ่ามือของเขา ราวกับว่าหัวใจโบยบินไปกับสายลมและเดิมทีเส้นทางสันเขาที่สูงชัน จู่ๆ ก็ราบเรียบขึ้นมา แทบจะไม่อยากเดินต่อ ไม่อยากให้ไปถึงจุดสิ้นสุดตลอดไป
อันที่จริงมู่เสี่ยวชูรู้ดีว่าลู่เฉินไม่อาจกักเก็บใครไว้ในใจได้อีก และเธอก็ไม่มีความคิดที่จะเข้าไปแทนที่เฉินเฟยเอ๋อร์ดังนั้นจึงฝังความปรารถนาและการโหยหาความรักของหญิงสาวไว้ก้นบึ้งของหัวใจ แล้วปล่อยให้เวลามลายมันไป
แค่ความรู้สึกที่ถูกจูงมือไว้แบบนี้ ก็ดีมากพอแล้ว
เมื่อกลับมาถึงจุดทีมงานกองถ่ายอยู่ ลู่เฉินปล่อยมือมู่เสี่ยวชูออกแล้ววิ่งไปข้างๆ เฉินกั๋วจื้อเพื่อดูวิดีโอ หากยังใช้ไม่ได้ละก็ ค่อยถ่ายกันอีกรอบหนึ่ง
“ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว…”
เฉินกั๋วจื้อพอใจมาก ชี้ไปที่หน้าจอมอนิเตอร์พลางเอ่ยว่า “เดี๋ยวนี้ใช้โดรนถ่ายภาพทางอากาศมีประสิทธิภาพมาก หากเป็นเมื่อเจ็ดแปดปีก่อนประสิทธิภาพที่ถ่ายออกมาแทบจะใช้ไม่ได้เลย”
ระหว่างที่พูดอยู่ โดรนที่เพิ่งสร้างผลงานอันยิ่งใหญ่นั้นถูกนักบินโดรนควบคุมให้ลงจอดอย่างปลอดภัย
โดรน ‘ไร้ขอบเขต’ นี้เป็นกล้องทางอากาศที่ล้ำสมัยที่สุดในวงการอุตสาหกรรมกล้องถ่ายภาพทางอากาศ สามารถถ่ายภาพที่มีความละเอียดสูงถึง 8K ไม่ว่าจะเป็นความเสถียรหรือเอฟเฟกต์การถ่ายภาพสามารถตอบสนองความต้องการของการถ่ายทำภาพยนตร์ได้ทั้งสิ้น
แน่นอนว่าราคาของมันไม่เบาเลย ตัวหนึ่งราคาหลายล้านหยวนทีเดียว ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญสามคนในการควบคุมการถ่ายภาพ และต้นทุนในการใช้งานก็ค่อนข้างสูงเช่นกัน
เพื่อการถ่ายทำ ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ เฉินเฟยมีเดียได้สั่งซื้อล่วงหน้าเป็นพิเศษสองตัว พร้อมกับจ่ายเงินเพื่อฝึกนักบินโดรนของตัวเอง แค่ค่าใช้จ่ายส่วนนี้เพียงอย่างเดียวก็เกินห้าล้านแล้ว
แต่การลงทุนนั้นคุ้มค่าอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่เฉินกั๋วจื้อเท่านั้นที่พอใจ ลู่เฉินก็ไม่พบปัญหาใดๆ หลังจากดูวิดีโอที่เล่นซ้ำ
เฉินกั๋วจื้อลุกขึ้นและพูดว่า “งั้นวันนี้ก็เลิกกองได้…”
เส้นทางสันเขามังกรดำเป็นจุดชมวิวที่มีชื่อเสียงในเขาฮว่าซาน เป็นที่ที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากต้องแวะชม ไม่แค่เฉพาะตอนกลางวันเท่านั้น ตอนกลางคืนยังมีนักปีนเขาอีกมากมายเหมือนกัน เมื่อมองลงมาจากทางสันเขามังกรดำในระยะไกลจะเห็นดาวเป็นดวงๆ นับไม่ถ้วนเรียงแถวเป็นเส้นตรงค่อยๆ เคลื่อนขึ้นไปบนฟ้าอย่างช้าๆ นั่นคือนักท่องเที่ยวที่ใช้ไฟฉายหรือไฟคาดหัวส่องทางขณะปีนเขานั่นเอง ภาพนั้นช่างงดงามจับใจมาก
ดังนั้นเวลาในการถ่ายทำของทีมงานที่นี่ค่อนข้างจำกัด แน่นอนว่าหลังจากถ่ายทำเสร็จก็ต้องรีบเก็บของโดยเร็ว เพื่อไม่ให้กระทบกับเวลาเปิดทำการตามปกติของจุดชมวิว และไม่ให้ขัดขวางการเดินทางของนักท่องเที่ยว
ลู่เฉินคืนกระบี่ให้กับเจ้าหน้าที่ดูแลอุปกรณ์ประกอบฉาก แล้วหันไปเห็นเฉินเฟยเอ๋อร์และมู่สี่ยวชูที่อยู่ด้วยกัน ทั้งสองก้มศีรษะและพึมพำจนไม่รู้ว่ากำลังคุยอะไรกัน
ฉากที่เขาฮว่าซานนั้น ไม่มีบทนักแสดงนำหญิงของเฉินเฟยเอ๋อร์ แต่ว่าเธอไม่เคยมาที่เขาฮว่าซานมาก่อน ดังนั้นครั้งนี้เลยตั้งใจมาร่วมสนุก โดยที่คิดว่าตัวเองมาในฐานะนักท่องเที่ยว
ลู่เฉินเดินเข้าไปหาและถามด้วยรอยยิ้มว่า “พวกคุณกำลังคุยอะไรกันอยู่น่ะ”
มู่เสี่ยวชูเงยหน้าขึ้นพูดอย่างโกรธเคือง “พี่ลู่เฉิน มีคนกำลังป่วนพวกเราอยู่ค่ะ!”
“ใครเหรอ”
ลู่เฉินหัวเราะเอ่ย “น่าเบื่อขนาดนั้นเลยสินะ”
เฉินเฟยเอ๋อร์กลอกตาใส่เขาแล้วพูดว่า “พี่ลู่ซีเพิ่งส่งข้อความมาบอกฉันว่า ภาพยนตร์แนวกำลังภายในของคนอื่นจะเข้าฉายก่อน การโฆษณาประชาสัมพันธ์ก็ค่อนข้างน่าดึงดูดและดูคึกคักมาก!”
หืม?
ลู่เฉินรู้ดีว่าในช่วงเวลาดียวกันกับ ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ยังมีภาพยนตร์แนวเดียวกันอีก และถึงขนาดแย่งกันเปิดกล้องก่อนอยู่หลายเรื่อง เมื่อเห็นว่าฤดูกาลภาพยนตร์ฤดูร้อนกำลังจะมาถึง เป็นเรื่องปกติที่คนอื่นๆ จะปล่อยภาพยนตร์หลังจากถ่ายทำเสร็จ
แต่การที่ลู่ซีให้ความสนใจแบบนี้แสดงว่าต้องไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่างแน่นอน!
………………………………………………..
[1]สุ่ยจิงจู้ ผลงานเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ของจีนในสมัยโบราณโดยอธิบายถึงความเข้าใจดั้งเดิมเกี่ยวกับทางน้ำและคลองโบราณ