สวีซื่อจิ่นมองบิดามารดาสลับไปมา จนกระทั่งลืมเคี้ยวข้าวที่อยู่ในปาก
แปลกจริงๆ!
ท่านพ่อกับท่านแม่นั่งตัวตรงและรับประทานอาหารปกติ ไม่ได้มีท่าทางใกล้ชิดใดๆ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดในทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขาจึงดูสนิทสนม ซึ่งแตกต่างกับความเย็นชาและความห่างเหินในเมื่อวานนี้อย่างสิ้นเชิง
ผ่านไปเพียงแค่คืนเดียวเอง
เกิดอะไรขึ้นกันแน่
“มีอะไรหรือ” เมื่อรู้สึกถึงความผิดปกติของบุตรชาย สืออีเหนียงจึงยิ้มพลางถามเขา
สวีลิ่งอี๋ก็วางตะเกียบลงเช่นกัน ความเป็นห่วงปรากฏขึ้นในดวงตา
“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรขอรับ” สวีซื่อจิ่นก้มหน้าตักข้าวตามปกติ แต่กลับลืมไปว่ายังมีข้าวอยู่ในปากของเขาก็เลยสำลัก
“เจ้าเด็กคนนี้!” สืออีเหนียงรีบตักน้ำแกงให้บุตรชาย “ทำไมถึงได้ซุ่มซ่ามเช่นนี้”
เหลิ่งเซียงรีบส่งน้ำชาสำหรับป้วนปากมาให้อย่างรู้งาน
สวีซื่อจิ่นรับน้ำแกงจากสืออีเหนียงมาดื่มสองอึก รู้สึกดีขึ้น กลัวว่าบิดาจะรู้ความคิดของเขา จึงรีบพูดขึ้นมาว่า “ท่านพ่อ ท่านยังไม่ได้เล่าสถานการณ์ที่ไปจวนเฉินเก๋อเหล่าเมื่อวานนี้ให้ข้าฟังเลยขอรับ”
“ทานข้าวก่อนเถิด!” สวีลิ่งอี๋พูดเสียงเรียบ “เมื่อทานข้าวแล้วพวกเราค่อยไปคุยที่ห้องหนังสือฝั่งตะวันออกของแม่เจ้า!”
สวีซื่อจิ่นตอบเพียง “ขอรับ” เพียงครู่เดียวก็ทานเสร็จแล้ว มองสวีลิ่งอี๋อย่างกระตือรือร้น
สวีลิ่งอี๋ยิ้มเล็กน้อย ทานซาลาเปาที่อยู่ในมืออีกครึ่งชิ้นแล้วลุกขึ้น “ไปกันเถิด!” ไปยังห้องทางด้านตะวันออก
สวีซื่อจิ่นรีบตามไป
สืออีเหนียงยิ้มพลางให้เหลิ่งเซียงเก็บชามและตะเกียบ แล้วไปนั่งบนเตียงเตาริมหน้าต่างในห้องปีกทิศตะวันตก ตั้งโต๊ะปักผ้าทำงานเย็บปัก
หลังจากทำงานเย็บปักได้ประมาณครึ่งก้านธูป สวีลิ่งอี๋กับสวีซื่อจิ่นก็เดินออกมาจากห้องสุดทางเดินตะวันออก
สีหน้าของสวีลิ่งอี๋สงบนิ่ง แต่สวีซื่อจิ่นกลับดูตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
“ข้าจะไปหาท่านซุนโหวผู้เฒ่าสักหน่อย” สวีลิ่งอี๋พูดกับสืออีเหนียง “จะกลับมาตอนกลางวัน” แล้วพูดกับสวีซื่อจิ่นว่า “เจ้าอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนแม่ของเจ้า เข้าใจหรือไม่”
“ท่านวางใจได้ขอรับ!” สวีซื่อจิ่นรีบพูดว่า “ข้ารู้จักขอบเขตดี รับรองว่าจะไม่วิ่งวุ่นไปที่ไหนแน่นอน”
สืออีเหนียงลงจากเตียงเตามาส่งสวีลิ่งอี๋
เมื่อเห็นว่าบิดาไปแล้ว สวีซื่อจิ่นก็โอบไหล่มารดา “ท่านแม่ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่เหล่านี้ช่างซับซ้อนจริงๆ!ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตอนที่ข้ามาใต้เท้ากงจึงได้กำชับข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเยี่ยนจิงนั้นยากแท้หยั่งถึง หากข้ามีเรื่องอันใดก็ให้ปรึกษากับท่านพ่อ อย่าได้ตัดสินใจด้วยตัวเอง ” จากนั้นก็เล่าเรื่องที่เฉินเก๋อเหล่ากับอาลักษณ์ลู่ต้องการอาศัยโอกาสที่ติงจื้อถูกย้ายกลับมาเยี่ยนจิงเพื่อสอดแทรกคนของตัวเองเข้าไปให้สืออีเหนียงฟัง
เมื่อคืนสวีลิ่งอี๋ได้วิเคราะห์ดูแล้ว ตอนนั้นสืออีเหนียงมีเรื่องกังวลอยู่ในใจ จึงไม่ได้ตั้งใจฟังอย่างละเอียดนัก ตอนนี้ก็เลยตั้งใจฟังที่สวีซื่อจิ่นเล่า ยิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องในราชสำนักก็เป็นเช่นนี้ เจ้าอย่าคิดว่าเจ้าเก่งที่ได้เป็นอู่จิ้นปั๋ว ยังมีอีกหลายสิ่งที่เจ้าต้องเรียนรู้!”
ครั้งนี้สวีซื่อจิ่นไม่ได้เถียง แต่กลับพูดอย่างเชื่อฟังว่า “ดังนั้นจึงได้มีคำพูดที่ว่า ‘คนฉลาดมักถ่อมตัวและเงียบขรึม ส่วนคนโง่มักอวดอ้างตัวเอง’!”
สืออีเหนียงยิ้มพลางสำรวจมองบุตรชายตั้งแต่หัวจรดเท้า
“มีอะไรหรือขอรับ” สวีซื่อจิ่นถูกนางมองจนรู้สึกเขินอายเล็กน้อย ยิ้มพลางอธิบายว่า “คำพูดนี้ข้าได้ยินมาจากหัวหน้ากองพันของพวกเราพูดกัน ก็คือหัวหน้ากองพันของกองทัพผิงอี๋…”
“ก็ข้ามีความสุขน่ะสิ” สืออีเหนียงทอดถอนใจเล็กน้อย “จิ่นเกอของพวกเราโตแล้ว รู้จักทบทวนตัวเองและรู้จักประเมินตัวเองอย่างถูกต้อง”
คำชมของมารดาทำให้เขารู้สึกเขิน มองไปรอบๆ พลางพูดว่า “ข้า…ข้าก็รู้จักทบทวนตัวเองอยู่แล้ว ท่านแค่ไม่เคยรู้มาก่อนก็เท่านั้น”
สืออีเหนียงเม้มปากยิ้ม
สวีซื่อจิ่นกลัวว่านางจะชมต่อ จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ท่านแม่ ทางด้านท่านย่า ข้าอยากแอบไปเยี่ยมนางขอรับ!”
สวีลิ่งอี๋เคยกล่าวไว้ว่าบางสิ่งบางอย่างหลอกตัวเองแต่หลอกผู้อื่นไม่ได้ดีกว่าทำตัวกำเริบเสิบสาน ใต้เท้ากงยังไม่ได้ส่งคืนตราแม่ทัพ สวีซื่อจิ่นก็แอบกลับเมืองหลวงอย่างเงียบๆ ทำให้คนที่สนใจคอยจับตาดู ต่อให้ครั้งนี้ทุกคนจะแสร้งทำเป็นไม่รู้เพราะเห็นแก่หน้าฮ่องเต้ แต่ในภายภาคหน้าหากวันไหนเกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ เกรงว่าจะมีการนำเรื่องนี้เขียนฎีกาถวายฮ่องเต้
เมื่อเห็นว่ามารดาไม่พูดอะไร สวีซื่อจิ่นก็รู้ว่าไม่อนุญาต ดังนั้นจึงเอามือประสานท้ายทอยแล้วนอนลงบนเตียงเตา “ในพวกเราบรรดาพี่น้อง ท่านย่าดีกับข้ามากที่สุด…” ท่าทางผิดหวังเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงยิ้มอย่างลำบากใจ “เจ้าอดทนรออีกสักสองวันเถิด!”
สวีซื่อจิ่นทำได้เพียงพยักหน้า
สืออีเหนียงหาบันทึกการเดินทางจากห้องหนังสือของสวีลิ่งอี๋มาให้เขาอ่านแก้เบื่อ
สองแม่ลูกคุยกัน อ่านหนังสือ ทำงานเย็บปัก เพียงพริบตาเดียวก็มาถึงวันที่ยี่สิบเก้า
“กงตงหนิงตั้งค่ายอยู่ที่วังจยาวานอยู่ห่างจากซีซานห้าสิบลี้ ในตอนบ่ายขบวนต้อนรับของเยี่ยนจิงจะมีรถคุ้มกันออกนอกเมือง” ขณะที่รับประทานอาหารกลางวัน จู่ๆ สวีลิ่งอี๋ก็พูดขึ้นมาว่า “อีกสักครู่เจ้าก็ติดตามกับคนในขบวนออกจากเมืองหลวงไปสมทบกับใต้เท้ากง ก่อนพิธีมอบเชลยจะจบลงเจ้าห้ามกลับจวนเด็ดขาด!”
สวีซื่อจิ่นรับคำ “ขอรับ” ด้วยสีหน้าจริงจัง ท่าทางสุขุมขัดกับอายุของเขา
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าด้วยความชื่นชม
สืออีเหนียงช่วยเปลี่ยนชุดบ่าวรับใช้ให้เขาอย่างอาลัยอาวรณ์
“ท่านแม่ ตามหลักแล้ว หลังจากพิธีมอบเชลยจะมีเวลาพักอยู่สองสามวัน” สวีซื่อจินปลอบใจนาง “เมื่อถึงเวลาข้าค่อยกลับมาพบท่านอย่างเปิดเผย จากนั้นก็ไปคารวะไท่ฮูหยิน ท่านป้าสะใภ้สอง และท่านอาสะใภ้ห้า…ตั้งสุสานให้หวงเสี่ยวเหมากับหลิวเอ้อร์อู่” ขณะที่พูด ดวงตาของเขาหม่นหมอง อารมณ์หดหู่เล็กน้อย
“ข้าจะรอเจ้ากลับมา!” สืออีเหนียงกอดบุตรชาย มองดูบุตรชายเดินออกจากเรือนหลัก
เมื่อถึงวันที่ทำพิธีมอบเชลยที่ประตูพระราชวัง สวีลิ่งควน สวีซื่อจุน สวีซื่อเจี้ย สวีซื่อเซิน สวีซื่อเฉิง แม้กระทั่งถิงเกอกับจวงเกอก็ไปดูความครึกครื้นด้วย สตรีในจวนกลับมารวมตัวกันรออยู่ที่เรือนไท่ฮูหยิน บ่าวรับใช้แผนกรายงานมารายงานข่าวอยู่เรื่อยๆ “คุณชายน้อยหกเข้าเมืองแล้วขอรับ” “คุณชายน้อยหกกำลังเดินขบวนขอรับ” “คุณชายน้อยหกถึงประตูพระราชวังแล้วขอรับ” เมื่อไท่ฮูหยินได้ยินดังนั้นก็ยิ้มหน้าบาน ให้รางวัลบรรดาบ่าวรับใช้สิบตำลึง ทำเอาบ่าวรับใช้แผนกรายงานแย่งกันมารายงานข่าว บรรยากาศครื้นเครงเป็นอย่างมาก ฮูหยินห้าเห็นดังนั้นก็พูดหยอกล้อว่า “ท่านแม่ พวกเราที่คอยอยู่เป็นเพื่อนท่านก็ต้องให้รางวัลด้วยใช่หรือไม่”
ไท่ฮูหยินกำลังเบิกบานใจยิ่งนัก เลยไม่สนว่าฮูหยินห้าจะพูดล้อเล่นอะไร หัวเราะพลางกำชับจื่อหง “ให้รางวัลฮูหยินห้าของพวกเจ้าด้วยยี่สิบตำลึง!”
ทุกคนพากันหัวเราะ
มีบ่าวรับใช้วิ่งเข้ามาพลางปาดเหงื่อบนหน้าผาก “ไท่ฮูหยิน ไท่ฮูหยิน เรื่องมงคล เรื่องมงคล! คุณชายน้อยหกของพวกเราได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการทหารกุ้ยโจวขอรับ!”
เหตุใดจิ่นเกอจึงได้เป็นผู้บัญชาการทหารกุ้ยโจว ปีนี้เขาพึ่งจะอายุสิบหกปี!
สืออีเหนียงประหลาดใจ
ส่วนไท่ฮูหยินอุทานขึ้นมา “ไอ๊หยา” พลางนั่งตัวตรง ถามบ่าวรับใช้ผู้นั้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “เจ้าได้ยินมาชัดเจนแล้วใช่หรือไม่ หากพูดจาเหลวไหลเจ้าจะโดนเฆี่ยน!”
“ไท่ฮูหยิน บ่าวไม่กล้าพูดจาเหลวไหลขอรับ!” บ่าวรับใช้รีบพูดขึ้นมาว่า “คุณชายห้าให้คนมาบอกข่าวว่าพระราชกฤษฎีกาได้ประกาศออกมา และได้ติดประกาศเอกสารทางการแล้ว ให้พวกบ่าวมารายงานแก่ท่าน ท่านจะได้ดีใจขอรับ” ขณะที่พูดก็มองไปที่สืออีเหนียง “ฮูหยินสี่ คุณชายห้าบอกว่าเมื่อเลิกประชุมราชสำนักแล้ว จะต้องมีแขกมากมายมาแสดงความยินดีที่จวนอย่างแน่นอน จึงให้พวกบ่าวมารายงานท่าน คนครัวก็จะได้เตรียมอาหารและสุราไว้แต่เนิ่นๆ ขอรับ”
“ในเมื่อคุณชายห้าเป็นคนบอก เช่นนั้นก็ไม่ผิดอย่างแน่นอน!” ฮูหยินห้ารีบสนับสนุนสวีลิ่งควน พูดกับสืออีเหนียงว่า “พี่สะใภ้สี่ต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่”
“หากเป็นเรื่องจริง ก็ย่อมต้องขอให้น้องสะใภ้ห้าช่วยแล้ว!” สืออีเหนียงยิ้มพลางตอบกลับ แต่ในหัวกลับสับสนไปหมด
เหตุใดผู้บัญชาการทหารกุ้ยโจวจึงได้กลายเป็นสวีซื่อจิ่น แล้วผู้บัญชาการทหารซื่อชวนคือใครกัน
ไม่ง่ายเลยกว่าจะหาข้ออ้างไปที่ห้องหนังสือได้
“ท่านโหว ท่านรู้หรือไม่เจ้าคะว่าจิ่นเกอได้เป็นผู้บัญชาการทหารกุ้ยโจว”
“ข้าเองก็พึ่งรู้” สวีลิ่งอี๋พูดว่า “ผู้บัญชาการทหารซื่อชวนเป็นคนของเฉินเก๋อเหล่า…ได้ยินหวังลี่บอกว่าการที่ให้จิ่นเกอเป็นผู้บัญชาการทหารกุ้ยโจวนั้นเป็นพระประสงค์ของฮ่องเต้” จากนั้นก็วิเคราะห์ว่า “เฉินเก๋อเหล่าต้องการจัดคนของตัวเองไปเป็นผู้บัญชาการทหารซื่อชวน และยังต้องการได้รับการสนับสนุนจากฮ่องเต้ สำหรับฮ่องเต้แล้ว พระองค์ไม่มีทางคัดค้านอย่างแน่นอน และกระทรวงขุนนางภายในก็เห็นว่าเฉินเก๋อเหล่าไม่ได้มีท่าทีอะไร ย่อมไม่มีทางทำลายบรรยากาศที่สวยงามในเวลาเช่นนี้จนทำให้เกิดความขัดแย้ง ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารจึงไปตกอยู่ที่จิ่นเกอ” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็เผยให้เห็นสีหน้าหมดปัญญา “หากใต้เท้ากงรู้เข้าจะต้องผิดหวังอย่างแน่นอน ข้าเขียนจดหมายอธิบายกับกงตงหนิงแล้ว ผู้ดูแลที่นำจดหมายไปส่งพึ่งจะออกไป!” ทันทีที่เขาพูดจบ ก็มีบ่าวรับใช้วิ่งเข้ามา “ท่านโหว ท่านโหว ใต้เท้าโจวมาขอรับ”
“คาดว่าคงมาดื่มสุราแสดงความยินดี!” สวีลิ่งอี๋ไตร่ตรองพลางพูดกับสืออีเหนียงว่า “เจ้าไปกำชับห้องครัวให้เตรียมอาหารกับสุราไว้ เกรงว่าอีกสักครู่จะยังมีคนมาอีก!”
สืออีเหนียงขานรับแล้วกลับไปที่เรือนใน
เรือนนอกครึกครื้นทั้งคืน วันรุ่งขึ้นก็มีบรรดาสตรีที่มาร่วมแสดงความยินดีทยอยกันมา สืออีเหนียงยุ่งจนหัวหมุน คุณนายสี่สกุลถังก็มาพูดถึงเรื่องเก่าในเวลานี้ ลากนางมาคุยเรื่องการหมั้นหมายของคุณหนูใหญ่สกุลถังกับจิ่นเกอ ไม่ง่ายเลยกว่านางจะใช้ข้ออ้างว่า ‘วันนี้มีแขกมามากมาย ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดเรื่องนี้ ’ จนปลีกตัวออกมาได้ จากนั้นก็ถูกกานฮูหยินลากไปคุยเรื่องหลานสาวของนาง
คุณนายใหญ่สกุลหลินลากนางมาด้านข้าง “บรรดาสกุลเหล่านี้ทางที่ดีเจ้าอย่าตอบตกลงจะดีกว่า ตอนนี้จิ่นเกอเป็นผู้บัญชาการทหารแล้ว ตามหลักแล้วภรรยาของเขาต้องอยู่ที่เยี่ยนจิง” นางพูดอย่างมีนัยยะแอบแฝง
สืออีเหนียงเข้าใจในทันที
ไม่แปลกใจเลยที่โจวฮูหยินกับมู่ซื่อต่างก็ไม่พูดอะไร
“ขอบคุณท่านมากที่ช่วยเตือนข้า!” นางกล่าวขอบคุณคุณนายใหญ่สกุลหลิน “ข้าจะปรึกษาเรื่องนี้กับท่านโหวอย่างแน่นอน”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินดังนั้นกลับไม่ได้สนใจอะไร “ไม่ว่าเรื่องอันใดก็มักจะมีข้อยกเว้น เมื่อถึงเวลานั้นก็ขอให้มีราชโองการให้จิ่นเกอพาภรรยาไปรับตำแหน่งด้วย ตอนนี้เจ้าแค่เลือกคนที่เหมาะสมให้เขาก็พอแล้ว ตอนนี้เขาก็เป็นขุนนางชั้นสูง ยังไม่ได้แต่งงาน คนอื่นมองก็มักจะรู้สึกว่ายังไม่มั่นคงพอ ไม่เป็นผลดีต่อการเลื่อนตำแหน่งของเขาในภายภาคหน้า”
“เช่นนั้นท่านโหวมีคนที่เหมาะสมหรือไม่” สวีลิ่งอี๋มีสิทธิ์ที่จะออกเสียงว่าตระกูลใดที่จะเอื้อต่อหน้าที่การงานของจิ่นเกอหลังจากแต่งงานกัน ส่วนการที่จะเลือกให้ใครในตระกูลนั้นๆ มาเป็นภรรยาล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของสืออีเหนียง
“ไม่ต้องรีบ” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “รอให้ราชโองการพิเศษลงมาก่อนแล้วค่อยหารือก็ยังไม่สาย มิเช่นนั้นใครจะกล้าให้บุตรสาวแต่งเข้ามาในสกุลเรา ก็ไม่ต่างอะไรกันกับการเป็นม่ายไม่ใช่หรือ อีกอย่างในภายภาคหน้าก็จะต้องรับอนุภรรยาให้จิ่นเกอ หากบุตรชายของอนุอายุมากกว่าบุตรชายของภรรยาเอก ก็จะยิ่งเป็นปัญหา!”
สืออีเหนียงได้ฟังดังนั้นก็พูดขึ้นมาทันทีว่า “เช่นนั้นก็รอราชโองการพิเศษของฮ่องเต้ลงมาก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด” ท่าทางหนักแน่นเป็นอย่างมาก
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเล็กน้อย
ใบหน้าของเหลิ่งเซียงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ก้าวเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ท่านโหว ฮูหยิน คุณชายน้อยหกกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงดีใจเป็นอย่างมาก เดินออกไปข้างนอกพลางพูดว่า “เขาอยู่ไหน”
“ถูกคุณชายน้อยสี่ คุณชายน้อยห้า คุณชายน้อยเจ็ด และคุณชายน้อยแปดล้อมไว้เจ้าค่ะ” เหลิ่งเซียงรีบเข้าไปพยุงสืออีเหนียง “กำลังพูดคุยเรื่องจับตั่วเหยียน! บรรดาสาวใช้ ป้ารับใช้ หญิงเฒ่า ผู้ดูแล บ่าวรับใช้ชาย ต่างก็กำลังห้อมล้อมฟังกันอย่างสนุกสนานเลยเจ้าค่ะ!”