ตอนที่ 735 นักธุรกิจชาวฮ่องกง
เมื่อกลับถึงบ้าน หลินม่ายโทรศัพท์หาฟางจั๋วเยวี่ยทันที
เธอบอกเขาว่าซื้ออาหารมามากมายจากตลาดสด และขอให้เขากลับบ้านโดยเร็วเพื่อร่วมรับประทานอาหารเย็น
เขาไม่ได้กลับบ้านมากินข้าวเย็นหลายวันแล้ว
ฟางจั๋วเยวี่ยพูดคัดค้านจากปลายสาย “ถ้าไม่ใช่หลูไช่ที่พี่ตุ๋นเองกับมือ ผมก็ไม่กิน” จากนั้นก็ตัดสายโทรศัพท์ไป
หลินม่ายรู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อยพลางบ่นคำเบา ชายคนนี้ไม่เคารพเธอในฐานะพี่สะใภ้เลย
ถึงแม้เธอจะไม่ได้ลงมือตุ๋นมันด้วยตัวเอง แต่สุดท้ายมันก็ทำตามสูตรลับของเธอ
รสชาติของอาหารเหล่านั้นใกล้เคียงกับที่อาหารฝีมือของเธอเอง
แต่ชายคนนี้กลับยังไม่พอใจ แน่นอนว่าเขากำลังหาข้ออ้าง เพื่อออกไปรับประทานมื้อเย็นกับเถาจืออวิ๋น
หลินม่ายต้องการโทรกลับไปอีกครั้ง เพื่อถามฟางจั๋วเยวี่ยว่าเขาและเถาจืออวิ๋นกำลังคบหากันอยู่หรือไม่ ทว่าโทรศัพท์ของเธอกลับดังไม่หยุด
เป็นสายจากเสิ่นเสี่ยวผิง
หล่อนบอกหลินม่ายว่าเลขานุการของนายกเทศมนตรีวังโทรหาหล่อนในช่วงบ่าย ราวกับว่าเขารอพบหลินม่ายไม่ไหวแล้ว
หลินม่ายตอบกลับ “อย่างน้อยก็รอให้นายกเทศมนตรีวังติดต่อมาสามครั้งก่อน แล้วค่อยมาบอกฉัน”
คราวที่เธอไปหานายกเทศมนตรีวังก่อนหน้านี้ นายกเทศมนตรีวังเปลี่ยนใจกะทันหันและไม่ยอมพบเธอ เช่นนั้นเธอก็จะไม่ให้นายกเทศมนตรีวังพบเช่นกัน
หลังจากวางสายเสิ่นเสี่ยวผิงแล้ว หลินม่ายจึงคิดจะโทรหาเถาจืออวิ๋น
ทันใดนั้นก็เกิดความคิดขึ้นว่า ถ้าเถาจืออวิ๋นกำลังออกเดทกับฟางจั๋วเยวี่ย อีกฝ่ายคงจะรับสายเธอไม่ได้ จากนั้นหลินม่ายจึงตัดสินใจว่าจะโทรหาตอนกลางคืน
โทรศัพท์เงียบไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก่อนจะดังอีกครั้ง
คราวนี้เป็นหนิวลี่ลี่ที่โทรมา
เธอไม่ได้ติดต่อกับหนิวลี่ลี่นานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเพราะหนิวลี่ลี่ยุ่งเกินไป หรือเป็นเพราะตัวเธอเองที่ยุ่งเกินไป
วันที่หลินม่ายแต่งงาน ลูกพี่ลูกน้องของหนิวลี่ลี่แต่งงานในวันเดียวกัน ครอบครัวหล่อนจึงไปยังงานแต่งงานของลูกพี่ลูกน้อง และทำให้หล่อนไม่สามารถมาร่วมงานแต่งงานของหลินม่ายได้
เมื่อได้ติดต่อกันอีกครั้ง เพื่อนแสนดีทั้งสองรู้สึกตื่นเต้นและพูดคุยกันอย่างออกรส
หนิวลี่ลี่กล่าวขอโทษที่ไม่สามารถไปร่วมงานแต่งงานของหลินม่าย
หลินม่ายไม่ได้นำมาใส่ใจอะไร
ทั้งสองพูดคุยอย่างเป็นกันเอง หนิวลี่ลี่พลันเปลี่ยนเรื่องสนทนา “ฉันเห็นแผนกโฆษณาชวนเชื่อของเธอลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ โดยบอกว่าเธอจะขายอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดของว่านถงกรุ๊ปในเมืองเจียงเฉิง ทำไมเธอถึงทำแบบนั้นล่ะ?”
หลินม่ายระแวดระวังตัวมาก แม้ว่าจะเชื่อใจหนิวลี่ลี่ ทว่าในใจยังคงกลัวว่าจะเกิดเรื่องร้าย
สิ่งที่คาดเดาไม่ได้มากที่สุดในโลกคือใจมนุษย์
หลินม่ายไม่ได้เปิดเผยความจริงทั้งหมดต่อหนิวลี่ลี่ เพียงบอกว่าเธอไม่ต้องการถูกกดขี่ ดังนั้นจึงวางแผนย้ายว่านถงกรุ๊ปไปยังเมืองอื่นเพื่อพัฒนา
หนิวลี่ลี่พูดขึ้น “นั่นต้องใช้เงินมหาศาลเลยนะ!”
หลินม่ายกล่าวยิ้ม “แม้ว่าจะต้องใช้เงินจำนวนมาก แต่ก็อาจคุ้มค่าสำหรับการพัฒนาบริษัทที่ราบรื่นในอนาคต”
เพื่อนสนิททั้งสองพูดคุยกันสักพักหนึ่ง ก่อนจะวางสาย
แม้หนิวลี่ลี่จะไม่ได้ทรยศต่อหลินม่าย แต่กำแพงมีหูประตูมีช่อง
เนื้อหาบทสนทนาระหว่างเธอกับหลินม่ายถูกเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งแอบฟัง จากนั้นอีกฝ่ายก็นำไปบอกเลขานุการของนายกเทศมนตรีวัง
เลขานุการรายงานเรื่องนี้กับนายกเทศมนตรีวังอีกครั้ง
นายกเทศมนตรีวังกระวนกระวายใจและพูดไม่ออกชั่วขณะ
เวลาสี่ทุ่ม หลินม่ายโทรหาเถาจืออวิ๋นก่อนเข้านอน
เธอถามอย่างตรงประเด็นว่าอีกฝ่ายกำลังคบหากับฟางจั๋วเยวี่ยหรือเปล่า
อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ เถาจืออวิ๋นเขินอายราวกับเด็กสาวตัวน้อยที่เพิ่งมีความรักครั้งแรก ถามหลินม่ายกลับว่าเธอรู้ได้อย่างไร
หลินม่ายตอบ “ฉันแค่บังเอิญเห็นน่ะ พี่คบหากับจั๋วเยวี่ยตั้งแต่เมื่อไหร่? แล้วคุณหมอหลิวจะทำอย่างไร?”
เธอยิงคำถามเป็นชุด
หลังจากฟังคำถามของหลินม่าย เถาจืออวิ๋นนิ่งเงียบไปนาน จากนั้นจึงตอบกลับว่า “เมื่อครึ่งเดือนก่อน ฉันเริ่มสานความสัมพันธ์อย่างจริงจังกับจั๋วเยวี่ย
ส่วนคุณหมอหลิว ฉันก็เลิกรากับเขาแล้วก่อนจะมาติดต่อกับจั๋วเยวี่ย ฉันไม่ได้จับปลาสองมือหรอกน่า”
จากนั้นหล่อนก็ถามด้วยความไม่สบายใจ “ม่ายจื่อ ฉันทำเกินไปหรือเปล่า คุณหมอหลิวดีต่อฉันมาก แต่ฉันกลับเลิกรากับเขา…”
หลินม่ายเอนกายลงบนเตียงพลางนวดระหว่างคิ้ว “ฉันไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ ดังนั้นจึงตอบคำถามพี่ไม่ได้หรอก สิ่งเดียวที่ฉันรู้คือ ถ้าพี่หมดรักอีกฝ่ายแล้ว การบอกเลิกอย่างจริงใจคือความรับผิดชอบต่อตัวเองและอีกฝ่าย”
เธอกระซิบถามต่อ “ตอนที่พี่ขอเลิกกับหมอหลิว เขามีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง?”
“แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องยาก แต่เขายังบอกด้วยว่าเขาจะยอมแพ้ก็ต่อเมื่อเห็นฉันเข้าพิธีแต่งงานด้วยตาของตัวเอง”
หลินม่ายกล่าว “ถ้าอย่างนั้นพี่ควรรีบแต่งงานกับจั๋วเยวี่ย และปล่อยให้เขาเป็นอิสระจากพี่โดยเร็ว เพื่อที่เขาจะได้ค้นหาความสุขของตัวเอง”
เถาจืออวิ๋นตอบรับ ก่อนบอกว่าหล่อนและฟางจั๋วเยวี่ยวางแผนจัดงานแต่งงานในวันที่ 1 พฤษภาคมปีหน้า
หลินม่ายกระซิบถาม “ฉันไม่คาดคั้นให้พี่ต้องเลือก แต่แท้จริงพี่คงเลือกจั๋วเยวี่ย ไม่อย่างนั้นพี่คงปฏิเสธเขาตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม? เขาเอาชนะใจพี่ได้ยังไง?”
เถาจืออวิ๋นตอบ “ฉันเคยปฏิเสธจั๋วเยวี่ย โดยบอกเขาว่าฉันไม่ต้องการผู้ชายที่ไม่สามารถหาเลี้ยงครอบครัวได้ แต่ไม่คาดคิดว่าเขาจะเก็บคำพูดนั้นกลับไปคิดอย่างจริงจังและเริ่มทำงานหนักเพื่อฉัน ตอนที่เขาเอาสมุดบัญชีเงินฝากนับล้านมาเป็นสินสอด ฉัน…ใจของฉันก็ได้ไปอยู่กับเขาแล้ว~”
หลินม่ายคิดว่าเถาจืออวิ๋นไม่มีทางเลือกฟางจั๋วเยวี่ยเพียงเพราะสินสอดนับล้าน
ส่วนลึกในใจของหล่อนคงชื่นชอบฟางจั๋วเยวี่ยอยู่แล้ว สมุดบัญชีเงินฝากเป็นเพียงตัวเร่งปฏิกิริยาเท่านั้น
หลินม่ายถาม “แม่ของฟางจั๋วเยวี่ยจะยินยอมให้พี่และลูกชายหล่อนแต่งงานกันโดยดีหรือ?”
หากฟางจั๋วเยวี่ยต้องการใช้ชีวิตร่วมกับเถาจืออวิ๋น หวังเหวินฟางจะต้องคัดค้านอย่างหัวชนฝา
เถาจืออวิ๋นกล่าว “จั๋วเยวี่ยยังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับคุณหวัง เขาบอกว่า หลังปีใหม่เขาจะไปบอกแม่ของตัวเอง เขาจะเป็นคนจัดการทุกอย่างเอง และบอกว่าฉันไม่ต้องเป็นห่วง ดังนั้นเธอไม่ต้องห่วงฉันหรอก”
หลังจากคุยโทรศัพท์กับเถาจืออวิ๋น หลินม่ายก็ผล็อยหลับไป
อา! ฉันอยากนอนหลับในอ้อมกอดอันอบอุ่นของสามีจริงๆ
สองวันต่อมา นายกเทศมนตรีวังได้รับข่าวว่านักธุรกิจชาวฮ่องกงต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดของว่านถงกรุ๊ปในเมืองเจียงเฉิง
หลินม่ายยังส่งคนไปยังเมืองซิงเฉิงเพื่อติดต่อกับผู้นำที่เกี่ยวข้องและพูดคุยเกี่ยวกับการย้ายว่านถงกรุ๊ปไปยังเมืองซิงเฉิง
นายกเทศมนตรีวังรีบวิ่งวุ่นไปมาเหมือนมดบนกระทะร้อน
เขาขอให้เลขานุการติดต่อเสิ่นเสี่ยวผิงซึ่งเป็นเลขานุการของหลินม่าย โดยขอให้เสิ่นเสี่ยวผิงบอกหลินม่ายว่าเขามีเรื่องสำคัญต้องการพูดคุย
คำตอบของเสิ่นเสี่ยวผิงนั้นเหมือนเดิมเสมอ “ฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุดค่ะ”
กว่าสองชั่วโมงต่อมา ในที่สุดนายกเทศมนตรีวังก็ได้รับโทรศัพท์จากหลินม่าย
หลินม่ายกล่าวคำขอโทษผ่านโทรศัพท์ โดยบอกว่าเธอค่อนข้างยุ่งวุ่นวายช่วงนี้ขณะกำลังเจรจาเรื่องธุรกิจ
และเพราะเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก เธอจึงหลับไปทันทีที่กลับถึงบ้าน
แม้เลขานุการจะติดต่อเธอบ่อยๆ แต่เธอกลับไม่เคยติดต่อกลับเลย จึงกล่าวคำขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่า
นายกเทศมนตรีวังบอกปัดว่าไม่เป็นไร แต่ในใจเขาคิดว่าหญิงสาวคนนี้แย่มาก และคำพูดของเธอเชื่อถือไม่ได้แม้แต่คำเดียว
หลินม่ายพูดจากปลายสาย “ฉันได้ยินมาว่านายกเทศมนตรีวังกำลังตามหาฉันอย่างเร่งด่วน แต่ตอนนี้ฉันไม่มีเวลาปลีกตัวไปที่สำนักงานนายกเทศมนตรีวังเลยค่ะ”
เมื่อนายกเทศมนตรีวังได้ยินสิ่งนี้ เขาก็เดือดดาลมากจนแทบระเบิดโทสะ
เขานึกว่าหลินม่ายติดต่อเขามาเพื่อตอบตกลงที่จะพบเจอ
แต่ไม่คาดคิดว่าหญิงสาวโทรมาเพียงเพื่อจะปฏิเสธ
เมื่อได้ยินนายกเทศมนตรีวังกำลังใช้อำนาจบารมีบีบบังคับให้เธอมายังสำนักงานของเขา หลินม่ายก็พูดขึ้นมาว่า
“นายกเทศมนตรีวัง ฉันไม่รู้ว่าคุณจะว่าอย่างไร? ฉันจะเชิญลูกค้ามารับประทานอาหารเย็นในคืนนี้ คุณเองก็มาด้วยสิคะ
ประการแรกฉันอยากขอโทษคุณ ประการที่สองเราจะได้หารือกันระหว่างรับประทานอาหารได้ ฉันมีเวลาพบคุณช่วงค่ำวันนี้เท่านั้น โปรดยกโทษที่ฉันประมาทเลินเล่อด้วยค่ะ”
แม้ว่าหลินม่ายจะไม่ได้พูดคุยกับนายกเทศมนตรีวังแบบส่วนตัว แต่อำนาจในการควบคุมสถานการณ์อยู่ในมือของหลินม่าย นายกเทศมนตรีวังจึงทำได้เพียงพยักหน้าและตอบรับว่าจะไป
เขาจะทำอย่างไรได้หากไม่ยินยอมครั้งนี้?
จากนั้นเธอจะย้ายบริษัททั้งหมดไปยังเมืองซิงเฉิงอย่างเงียบงัน และหน้าที่การงานในฐานะนายกเทศมนตรีของเขาคงจบสิ้นลง
จะบีบบังคับให้เธอมาที่สำนักงานหรือ?
มันจึงดีกว่าที่จะตอบรับคำเชิญชวนของเธอเพื่อรักษาหน้าตัวเอง
เวลาหกโมงเย็น นายกเทศมนตรีวังพาเลขานุการของเขามายังสถานที่ที่หลินม่ายนัดหมาย ซึ่งเป็นร้านเรือธงของเปาห่าวชือ
ว่ากันว่าบริการของร้านเรือธงเปาห่าวชือค่อนข้างดี และสมกับชื่อเสียงที่ได้รับ
ทันทีที่ทั้งสองเดินเข้าร้านเรือธงเปาห่าวชือ พนักงานร้านยกน้ำอุ่นและสบู่มาให้พวกเขาล้างมือ
นอกจากนี้ยังมีบริกรชายที่ถืออุปกรณ์ขัดรองเท้ามารอบริการขัดรองเท้าให้ แต่นายกเทศมนตรีวังปฏิเสธอย่างหนักแน่น
ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับประเทศ เขามักรู้สึกว่าการขอให้บริกรช่วยขัดรองเท้าเป็นการใช้อำนาจที่ไม่สมควร
หลินม่ายได้รับการแจ้งเตือนจากบริกรว่านายกเทศมนตรีวังกำลังมา เธอจึงพาเสี่ยวหม่านลงมายังชั้นล่างเพื่อทักทายเขาเป็นการส่วนตัว
กลุ่มคนขึ้นไปยังชั้นบนซึ่งเป็นห้องส่วนตัว นายกเทศมนตรีวังเห็นชายวัยสามสิบปีนั่งอยู่ในห้อง ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะเป็นชาวฮ่องกง
หลินม่ายแนะนำนายกเทศมนตรีวังและชายชาวฮ่องกงให้รู้จักกัน
นายกเทศมนตรีรับรู้ว่าชายชาวฮ่องกงเป็นผู้นำนักธุรกิจชาวฮ่องกงที่กำลังวางแผนซื้ออสังหาริมทรัพย์ของว่านถงกรุ๊ป
ดวงตาของเขาเปล่งประกายทันใด เหลือบมองชายชาวฮ่องกงหลายครั้ง
ทุกคนนั่งลง ก่อนที่หลินม่ายจะให้เกียรตินายกเทศมนตรีวังเป็นคนสั่งอาหาร
นายกเทศมนตรีวังยิ้มและขอให้นักธุรกิจชาวฮ่องกงสั่ง
ท้ายที่สุด นายกเทศมนตรีวังและนักธุรกิจชาวฮ่องกงสั่งหม้อไฟเห็ด ขนมแป้งทอด เปาะเปี๊ยะสอดไส้เนื้อ ขนมปังหน้าหมู เนื้อผัดแครอท และของว่างอื่นๆ
หลินม่ายขอให้บริกรนำเหล้าเหมาไถมาสองขวด
เธอหันมากล่าวด้วยรอยยิ้มกับนายกเทศมนตรีวังและนักธุรกิจชาวฮ่องกงว่า “ฉันแพ้แอลกอฮอล์ อาจต้องเข้าโรงพยาบาลหลังดื่มเข้าไป ดังนั้นเสี่ยวหม่านผู้ช่วยของฉันจะดื่มกับพวกคุณแทนฉันเองค่ะ”
แท้จริงเธอไม่ได้แพ้แอลกอฮอล์ แต่แค่เพราะไม่ชอบดื่มและกลัวว่าตัวเองจะเมา
เสี่ยวหม่านค่อนข้างคอแข็ง และยังเก่งในการโน้มน้าวใจผู้คนให้ดื่ม ซึ่งมักได้ผลดี ต่อให้หล่อนไม่ต้องดื่ม แต่ก็ทำให้คนอื่นดื่มตามการคะยั้นคะยอของหล่อนอย่างเชื่อฟัง
นักธุรกิจชาวฮ่องกงถูกเสี่ยวหม่านเกลี้ยกล่อมให้ดื่มจนเริ่มมึนเมาภายในเวลาแค่ครึ่งชั่วโมง
เดิมทีนายกเทศมนตรีวังมีท่าทีลำบากเล็กน้อยที่จะพูดภาษาจีนกลางสำเนียงฮ่องกง
ตอนนี้เขาเมาแล้ว จึงพูดได้อย่างลื่นไหล ราวกับเป็นภาษาแม่ที่เขาใช้มาตั้งแต่เกิด
อย่างไรก็ตามถ้านักธุรกิจชาวฮ่องกงไม่เมา เขาคงรับรู้ได้ถึงแผนการสงครามธุรกิจของหลินม่าย
นักธุรกิจชาวฮ่องกงต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดของว่านถงกรุ๊ปในเมืองเจียงเฉิงในราคาสี่แสน
หลินม่ายยืนยันอย่างหนักแน่นว่าขอขายราคาห้าแสน
ทั้งสองต่อราคากันนานกว่าครึ่งชั่วโมง นักธุรกิจชาวฮ่องกงกล่าวคำอย่างท้อแท้ใจ “สี่แสนแปด ไม่งั้นผมไม่ต้องการแล้ว”
หลินม่ายถอนหายใจ “ก็ได้ค่ะ สี่แสนแปดก็สี่แสนแปด ถ้าไม่ใช่เพราะฉันต้องการจบดีลโดยเร็ว คุณคงไม่มีทางซื้อมันด้วยราคานี้หรอก”
นักธุรกิจชาวฮ่องกงแสดงสีหน้าไม่พอใจ
หลินม่ายเห็นว่านักธุรกิจชาวฮ่องกงถูกฤทธิ์แอลกอฮอล์ครอบงำและกำลังคุมสติไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงขอให้คนพาเขาไปส่งที่โรงแรมในเมืองเจียงเฉิง
นายกเทศมนตรีวังด้านข้างถามออกด้วยความไม่เชื่อ “พวกคุณสรุปการเจรจาเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?”
หลินม่ายลุกขึ้นยืนและรินเหล้าเหมาไถให้เขาด้วยความเคารพ “เร็วหรือคะ? เราคุยเรื่องนี้มาหลายวันแล้ว”
เสี่ยวหม่านคะยั้นคะยอให้เขาดื่มอย่างตื่นเต้น เขาจึงยกแก้วดื่มเหล้าเหมาไถเข้าไปในอึกเดียว ก่อนที่หล่อนจะหันไปพูดกับหลินม่ายด้วยท่าทางมีความสุข “แค่นี้เราก็มีเงินพอที่จะย้ายไปยังเมืองซิงเฉินแล้ว”
จากนั้นก็ชักชวนให้นายกเทศมนตรีวังดื่มอีก
นายกเทศมนตรีวังใช้มือปิดแก้วเหล้าและปฏิเสธที่จะดื่มต่อ
แม้เขาจะชอบดื่มเหล้าเหมาไถ แต่เขากับหลินม่ายมีเรื่องสำคัญต้องพูดคุยกัน เขาเกรงว่าหากเมามายอาจทำให้เกิดปัญหา ดังนั้นจึงเลือกที่จะปฏิเสธการดื่มต่อ
เขาตักอาหารกินไม่กี่คำและถามหลินม่าย “นักธุรกิจชาวฮ่องกงคนนั้นต้องการซื้อโรงงานของคุณ แล้วบริษัทของเขาทำธุรกิจประเภทใด?”
หากขนาดธุรกิจของนักธุรกิจชาวฮ่องกงคนนั้นไม่เล็ก มันจะสามารถชดเชยการสูญเสียจากการที่หลินม่ายย้ายไปยังเมืองซิงเฉิงได้
ในกรณีนี้ เขาไม่จำเป็นต้องอ้อนวอนขอให้หลินม่ายอยู่ต่อ
หลินม่ายตอบ “เถ้าแก่หยวนไม่ได้วางแผนจะทำธุรกิจ เขาต้องการซื้ออาคารโรงงานและสำนักงานใหญ่ของฉันเพื่อใช้เป็นโกดังเก็บสินค้าน่ะค่ะ”
นายกเทศมนตรีวังตกตะลึงเมื่อได้ยิน “เขาซื้ออาคารเหล่านั้นด้วยเงินจำนวนมากเพื่อทำเป็นโกดังเนี่ยนะ?”
หลินม่ายยิ้มเล็กน้อย “คุณคิดว่าเงินไม่กี่แสนนั้นจำนวนมาก และคงไม่คุ้มค่าในสายตาของคนอื่น แต่เถ้าแก่หยวนทำธุรกิจขนส่ง เมื่อสินค้าที่นำเข้ามาจากต่างประเทศมาถึงฝั่ง เขาต้องหาโกดังเพื่อเก็บสินค้าก่อน แล้วค่อยหาผู้ซื้อ ผู้คนใช้เงินหลายล้านเพื่อเช่าโกดังทุกปี การซื้ออสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดของฉันด้วยราคากว่าสี่แสนไม่คุ้มกว่าเหรอ?”
นายกเทศมนตรีวังถามต่อ “ทำไมเขาต้องถ่อมาถึงเมืองเจียงเฉิงเพื่อซื้อโกดัง? มันจะสะดวกต่อการขนส่งหรือ?”
“ทำไมจะไม่สะดวกล่ะคะ? แม่น้ำแยงซีของเราไหลลงสู่ทะเลจีนตะวันออก”
จู่ๆ นายกเทศมนตรีวังพลันรู้สึกไม่พอใจ เนื่องจากนักธุรกิจชาวฮ่องกงแทบไม่สามารถให้ความช่วยเหลือในเรื่องการเสียภาษีของเมืองเจียงเฉิงได้เลย
ถ้าอย่างนั้นเขาจะปล่อยหลินม่ายไปไม่ได้ และต้องร้องขอให้หญิงสาวดื้อรั้นคนนี้อยู่ต่อ
……………………………………………………
สารจากผู้แปล
แก้เผ็ดแรงมาก นอกจากจะปล่อยระเบิดไว้ลูกใหญ่แล้วยังไม่เสียภาษีให้อีก
ไหหม่า(海馬)