ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] – ตอนที่ 15 ทำไมหล่อนถึงหาเงินเอง

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 15 ทำไมหล่อนถึงหาเงินเอง?

ขณะที่หล่อนกำลังจะกลับไป คุณแม่จี้ก็ขมวดคิ้วและพูดว่า “นั่นพี่สะใภ้สามของแกนะ ทำไมถึงเรียกหล่อนทั้งชื่อและแซ่แบบนั้น?”

จี้อวิ๋นอวิ๋นตกตะลึง ไม่คิดเลยว่าแม่ของหล่อนจะตำหนิหล่อนเพียงเพราะเรียกชื่อเต็มของพี่สะใภ้สาม เมื่อก่อนหล่อนยังเรียกแบบนั้นได้เลย แถมแม่ของหล่อนก็ไม่ว่าอะไรอีกด้วย

“แม่คะ ซู …” จี้อวิ๋นอวิ๋นยังหลุดปากเรียกชื่อเต็มของซูตานหง คุณแม่จี้จึงถลึงตามองหล่อนจนหล่อนรีบเปลี่ยนคำเรียกขาน “เกิดอะไรขึ้นกับพี่สะใภ้สามหรือเปล่าคะ หนูเห็นหล่อนครั้งแรกแล้วก็จำหล่อนไม่ได้เลย ทำไมหล่อนถึงดูเปลี่ยนไปขนาดนี้”

“ช่วงนี้ตานหงเปลี่ยนไปมากเลยล่ะ ตอนที่แม่เลือกหล่อนมา หล่อนไม่ได้เป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ?” พูดถึงตอนนี้แล้ว คุณแม่จี้ก็รู้สึกภาคภูมิใจในวิสัยทัศน์ของตัวเอง

แม้ว่า 3 ปีแรกของครอบครัวสามจะเลวร้ายแค่ไหน แต่หลังจากครั้งสุดท้ายที่สะใภ้สามพยายามปลิดชีพตัวเอง หล่อนคงได้เรียนรู้บทเรียนจากมันแล้ว และคงจะได้ปรับความเข้าใจกับจี้เจี้ยนอวิ๋นด้วย ดูสภาพของครอบครัวสามในตอนนี้สิ?

หล่อนทั้งอ่อนโยนมีคุณธรรม อ่อนน้อมกตัญญู มีเพียงเรื่องใช้จ่ายฟุ่มเฟือยอย่างเดียวเท่านั้นที่ยังเหมือนเดิม แต่คุณแม่จี้ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ เพราะสะใภ้สามเป็นคนหาเงินด้วยตัวเอง งานปักผ้าที่หล่อนปักก็สามารถสร้างรายได้ให้หล่อนเกือบทั้งปีแล้ว

แถมหล่อนยังไม่ได้ใช้จ่ายเงินทั้งหมดเพื่อตัวเองอีกด้วย ทุกวันนี้หล่อนจะนำเนื้อและซี่โครงมาให้เป็นครั้งคราว เช่นเดียวกับเส้นก๋วยเตี๋ยวที่ซื้อมาจากในเมือง ซึ่งหลังจากที่หล่อนรู้ว่าชายชราของบ้านชอบกินมาก หล่อนก็ซื้อมาเป็นจำนวนไม่น้อย

นี่คือความกตัญญูของสะใภ้สาม เป็นแบบนี้ยังจะพูดได้อีกไหมเล่าว่าหล่อนใช้จ่ายฟุ่มเฟือย?

คุณแม่จี้ถึงกับต้องบอกเป็นนัยให้ซูตานหงเก็บเงินเอาไว้บ้าง เพราะถ้ามีลูกจะต้องใช้เงินมากขึ้น

แต่คำตอบของซูตานหงก็เรียบง่ายอ่อนโยนและกตัญญูเช่นกัน เธอกล่าวว่า “คุณแม่ ฉันเก็บเบี้ยเลี้ยงทั้งหมดของเจี้ยนอวิ๋นไว้แล้วค่ะ เงินส่วนที่ฉันใช้คือเงินที่ฉันหามาได้เอง เมื่อก่อนฉันเคยเพิกเฉยไม่เคารพต่อพ่อและแม่ แต่ตอนนี้ฉันจะเป็นคนกตัญญูแล้ว เจี้ยนอวิ๋นจะได้มีหน้ามีตายามอยู่ข้างนอกน่ะค่ะ”

ดูสิ คุณแม่จี้ยังไม่ทันพูดอะไรกับเธอเลย

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคุณแม่จี้รู้สึกสบายใจขนาดไหน หลังแต่งสะใภ้เข้าบ้านมาสี่คน ในที่สุดก็ได้รับความกตัญญูจากสะใภ้คนนี้แล้ว ซึ่งมันราวกับได้รับพรในเรื่องนี้ก็ไม่ปาน

หมอดูพูดถูกจริง ๆ ในอนาคตของสองสามีภรรยาชราก็ได้มีคนคอยเลี้ยงดูามแก่เฒ่าแล้ว

เมื่อเห็นว่าแม่ตนเองยกย่องสะใภ้สามไว้สูงค่าแบบนี้ จี้อวิ๋นอวิ๋นก็ถึงกับเบิกตากว้างและพูดอะไรไม่ออก

ครึ่งเทอมมานี้ซูตานหงให้แม่หล่อนกินอะไรเข้าไป นี่ยังเป็นแม่ของหล่อนอยู่ใช่ไหม?

“พี่สะใภ้สามเป็นคนกตัญญูมาก หล่อนไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว อย่าได้ดูถูกหล่อนที่เป็นพี่สะใภ้ของแกอีก” คุณพ่อจี้บอก

จี้อวิ๋นอวิ๋นถึงกับพูดไม่ออก

คุณพ่อจี้นั่งลงบนเก้าอี้และรินเหล้าลงจอกเล็ก ๆ จนกลิ่นหอมกำจายออกมา ที่โต๊ะของว่างยังมีเนื้อแดดเดียวจานเล็ก ๆ เป็นกับแกล้มอยู่ด้วย

จี้อวิ๋นอวิ๋นนั่งลงด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด หล่อนหยิบชิ้นเนื้อแดดเดียวขึ้นมากินและอดไม่ได้ที่จะหยิบขึ้นมาอีกชิ้น พร้อมกับดวงตาสว่างวาบเป็นประกาย “เนื้อแดดเดียวนี่ได้มาจากไหนคะ มันอร่อยมากเลย”

“สะใภ้สามของแกทำเองและเอามาให้พ่อ ส่วนเหล้านี่สะใภ้สามก็ซื้อมาให้ด้วย” คุณพ่อจี้พูดเบา ๆ

ดวงตาของจี้อวิ๋นอวิ๋นเบิกกว้าง “หล่อนเต็มใจเอามาให้อย่างนั้นเหรอคะ? หนูจำได้ว่าหล่อนไม่พอใจตอนที่เห็นโหวหวาจือกินเค้กนึ่งของแม่ด้วยซ้ำ!”

“แกก็รู้ว่าเรื่องนั้นมันผ่านมาแล้ว อย่าฟื้นฝอยหาตะเข็บอีกเลย ต่อจากนี้ไปแกห้ามปฏิบัติไม่ดีกับพี่สะใภ้สามนะ ไม่อย่างนั้นแม่จะไม่ให้อภัยเลย” คุณแม่จี้กล่าว

จี้อวิ๋นอวิ๋นโมโหมากจนหยุดกินเนื้อแดดเดียวและเดินดุ่ม ๆ กลับห้องของตัวเอง

หล่อนแทบจะไม่มีความสำคัญกับครอบครัวนี้แล้วหรือไง? ทำไมทันทีที่หล่อนกลับมา พ่อกับแม่ของหล่อนถึงได้บอกให้หล่อนทำตัวสุภาพกับซูตานหงผู้หญิงงี่เง่านั่น…

ทำไม?

ด้วยความหงุดหงิด หล่อนจึงหลับไปบนเตียง

ต่อมาหล่อนก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความหิวโหย จากนั้นก็ได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเนื้อตุ๋นกระทบจมูกจนต้องเดินออกมา “แม่ มีอะไรให้หนูกินบ้างคะ?”

ทางด้านซูตานหงที่ได้ผละจากจี้อวิ๋นอวิ๋นมาแล้วก็นำเนื้อกลับมาที่บ้าน พร้อมกับเข็มและด้ายปักผ้าเพื่อเตรียมเก็บตัวปักผ้าในฤดูหนาว

เธอนำเนื้อวัวไปแช่แข็งไว้ แล้วหยิบเนื้อแกะออกมาชิ้นหนึ่ง จากนั้นก็สับเป็นชิ้นและนำไปล้างก่อนจะกวาดลงหม้อตุ๋น

คืนนี้เธอกะจะกินน้ำแกงเนื้อแกะตุ๋นเก๋ากี้

แต่เธอไม่คิดจะกินคนเดียวทั้งหมดหรอก เมื่อเห็นว่าน้ำแกงได้ที่พร้อมรับประทานแล้ว เธอจึงตักแบ่งลงใส่ชามใบหนึ่งเก็บไว้ให้ตัวเองกิน ก่อนแบ่งเนื้อชิ้นหนึ่งและน้ำแกงทัพพีหนึ่งให้กับเสี่ยวเฮยที่ตอนนี้โตพอจะเฝ้าบ้านได้ จากนั้นก็นำน้ำแกงทั้งหมดในหม้อไปให้บ้านใหญ่ตระกูลจี้

คุณพ่อจี้กับคุณแม่จี้เริ่มคุ้นเคยกับการที่ครอบครัวสามนำของกินมาให้อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยไปแล้ว

และตอนนี้ทั้งคู่ก็รู้สึกพอใจมาก

“ตอนที่กลับมาก่อนหน้านี้ฉันเจอน้องสามีพอดีน่ะค่ะ นี่แกงเนื้อแกะตุ๋นเก๋ากี้ที่ฉันทำเองค่ะ ฉันใส่เก๋ากี้ลงไปเยอะมาก มันบำรุงร่างกายดีทีเดียว คุณพ่อกับคุณแม่ให้น้องเล็กร่วมกินน้ำแกงร้อน ๆ นี่ได้นะคะ”

คุณแม่จี้อยากให้ซูตานหงอยู่ร่วมรับประทานอาหารเย็นด้วย แต่เธอก็บอกว่าแบ่งส่วนของตนเองไว้ที่บ้านแล้ว ก่อนจะขอตัวกลับไปที่บ้าน

คุณแม่จี้จึงนำน้ำแกงเนื้อแกะของซูตานหงไปอุ่นบนเตาไฟ จากนั้นกลิ่นหอมหวานของมันก็ลอยตลบอบอวลไปทั่วทั้งบ้านใหญ่ตระกูลจี้

นี่คือที่มาของกลิ่นหอมที่อบอวลไปทั่วทั้งบ้านตระกูลจี้ในตอนนี้

“แกไม่ใช่คนกินเยอะ จะให้ทำกับข้าวอะไรเพิ่มอีกล่ะ” คุณแม่จี้เอ่ยขึ้นขณะดองผักกาด และไม่ได้เงยหน้ามองหลังได้ยินเสียงของลูกสาวที่เพิ่งตื่นนอน

“กลิ่นหอมนี่มาจากไหนนะ?” จี้อวิ๋นอวิ๋นพูดและเดินมาที่ห้องครัว จากนั้นเสียงอุทานด้วยความประหลาดใจก็ดังขึ้น “ซุปเนื้อแกะตุ๋นเก๋ากี้ แม่…สมแล้วที่เป็นแม่ของหนู!”

ต่อมาก็มีเสียงหยิบชามและตะเกียบ

จี้อวิ๋นอวิ๋นตักน้ำแกงออกมาหนึ่งชาม ซึ่งในนั้นเต็มไปด้วยเนื้อแกะ หล่อนมีท่าทางพึงพอใจอย่างเห็นได้ชัด “แม่ ฝีมือทำอาหารของแม่ดีขึ้นมากเลยค่ะ เนื้อแกะนี่หอมมากแล้วน้ำแกงก็อร่อยมากด้วย!”

“แกงเนื้อแกะหม้อนี้สะใภ้สามเพิ่งเอามาให้น่ะ” คุณแม่จี้พูด

จี้อวิ๋นอวิ๋นกลืนเนื้อแกะเข้าไปในคำเดียว และลังเลว่าจะกินหรือไม่กินดี

ในตอนนี้คุณพ่อจี้ที่ได้กลิ่นน้ำแกงเนื้อแกะหลังกลับมาที่บ้านก็ได้เอ่ยขึ้น “บ้านสามเป็นคนเอามาให้เหรอ?”

“ใช่จ้ะ หนึ่งคนต่อหนึ่งชามก็น่าจะพอนะ” คุณแม่จี้พยักหน้า

จี้อวิ๋นอวิ๋นอยากจะพูดว่าหล่อนไม่อยากกินต่อแล้ว แต่ก็ไม่สามารถพูดออกมาได้!

เพราะเนื้อแกะและน้ำแกงมันอร่อยมากจริง ๆ…

คุณแม่จี้ดองผักอย่างรวดเร็ว และเป็นเพราะหลังจากนี้นางไม่มีอะไรต้องทำแล้ว นางจึงหยิบครีมบำรุงผิวออกมาทาหลังล้างมือเสร็จ

ดวงตาของจี้อวิ๋นอวิ๋นเบิกกว้าง “แม่ใช้ครีมนี้ทามือเหรอคะ? นี่มันใช้สำหรับทาหน้า!”

“แม่มีอยู่ในห้องอีกเยอะ พี่สะใภ้สามของแกบอกว่าให้ใช้ทามือได้” คุณแม่จี้พูด ปีนี้อากาศหนาวและแห้งมาก ต้องขอบคุณซูตานหงที่เอาครีมมาให้ ไม่อย่างนั้นมือของนางคงจะแห้งแตก

จี้อวิ๋นอวิ๋นเดินเข้าไปในห้องของแม่หล่อนทันที และตามที่คาดไว้ หล่อนเจอครีมเกล็ดหิมะ 3-4 กล่องและยังเจอครีมเปลือกหอยอีก 3 กล่องอยู่ในตู้!

“แม่ หล่อนซื้อครีมทั้งหมดนี่ให้แม่เหรอ?” จี้อวิ๋นอวิ๋นถามอย่างไม่อยากเชื่อ

เป็นไปไม่ได้ที่แม่ของหล่อนจะซื้อของพวกนี้ แถมยังซื้อมาเป็นจำนวนมากด้วย!

“อืม” คุณแม่จี้ตอบ ก่อนจะเปลี่ยนประเด็น “พี่สะใภ้สามของแกชอบกินผักดองที่แม่ทำมากนะ เอาผักดองนี่ไปให้หล่อนด้วย”

“หึ หล่อนแกล้งทำเป็นคนมีน้ำใจโดยใช้เงินของพี่ชายสามซื้อต่างหากล่ะคะ พ่อกับแม่อย่าโดนหล่อนหลอกนะคะ!” จี้อวิ๋นอวิ๋นขบเคี้ยวฟัน ไม่คาดคิดเลยว่าซูตานหงจะอดทนอยู่นานเพื่อใช้วิธีนี้? คิดจะเอาชนะพ่อกับแม่ของหล่อนด้วยวิธีนี้น่ะหรือ?

“ทำไมแกพูดเหลวไหลแบบนี้? สะใภ้สามใช้เงินที่หามาได้ด้วยตัวเองต่างหาก หล่อนไม่ได้ใช้เงินของพี่สามสักแดงเดียว” คุณแม่จี้เอ่ยอย่างไม่พอใจ

“หล่อนหาเงินเองเหรอ? แล้วทำไมหล่อนถึงหาเงินเองล่ะคะ?” จี้อวิ๋นอวิ๋นจ้องเขม็ง

_______________

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

Status: Ongoing
คุณหนูซูผู้มีชีวิตอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ยึดหลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรมมาตั้งแต่ยังเล็ก ยังไม่ทันจะได้ออกเรือนนำเกียรติมาให้วงศ์ตระกูลกลับจับไข้สิ้นลมกลางสายฝนยามสารทฤดู และมาเกิดใหม่ในปี 1980 นางไม่คิดเลยว่าวิถีกุลสตรีในชาติที่แล้วของตนจะกลายเป็นคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมในยุคนี้ เนื่องจากเจ้าของร่างเดิม ซูตานหง ผู้กระทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการกินยาฆ่าแมลงตายคนนี้ นอกจากนามสกุลเดียวกันแล้วก็ไม่มีอะไรดีเหมือนนางเลยสักด้าน ถึงอย่างนั้นคุณหนูซูก็ไม่สนใจ นางคิดเพียงว่าจะใช้ทักษะที่มีอยู่มาสร้างเงินทอง ปลูกต้นไม้ดอกไม้มีค่า เย็บปักถักร้อยวาดภาพภูเขาสายน้ำอันงดงาม ใช้ชีวิตในชาตินี้ให้เรียบง่ายสุขสบายตามอัตภาพเท่านั้นและนี่ก็คือเรื่องราวของคุณหนูสูงศักดิ์จากยุคโบราณผู้มาเกิดใหม่ในร่างหญิงสาวยุค 80 เพื่อทำสวนทำไร่และให้กำเนิดบุตร นางจะเอาชีวิตรอดในยุคที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างไรบ้าง เอาใจช่วยคุณหนูซูไปพร้อมๆ กันได้ในเรื่องนี้เลย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท