ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] – ตอนที่ 26 คราวนี้ท้องแน่นอน!

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 26 คราวนี้ท้องแน่นอน!

นอกจากความไม่พอใจในช่วงต้นของจี้อวิ๋นอวิ๋นแล้ว บรรยากาศงานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าก็ถือว่าดำเนินไปได้อย่างคึกคัก

หลังฟังคำพูดของซูตานหงแล้ว เฝิงฟางฟาง จี้มู่ตาน และอวิ๋นลี่ลี่ต่างมีความคิดของตัวเองอยู่ในใจ เพียงแต่ไม่กล้าที่จะแสดงออกมา

ซูตานหงเป็นคนซื่อตรง ในเมื่อเธอเก็บมันให้กับสามีของเธอแล้วใครจะกล้าขัด หากกล้าเอ่ยขัดขึ้นมาพวกหล่อนก็ถูกแม่สามีเชือดก่อนน่ะสิ

ถึงกระนั้นเฝิงฟางฟาง จี้มู่ตาน และอวิ๋นลี่ลี่ก็ยังไม่เชื่อว่าเธอจะเก็บไก่ฟ้าตุ๋นนั้นไว้ให้จี้เจี้ยนอวิ๋นกิน มีใครไม่รู้บ้างว่าไก่ฟ้าตุ๋นไม่อาจใช้เป็นข้ออ้างได้ว่าเธอทำให้ใครกิน มีแต่ปากตะกละตะกลามของเธอนั่นแหละที่จะกินแทนน้องชายสาม

แต่คุณพ่อกับคุณแม่จี้กลับเชื่อในตัวซูตานหง ตอนนี้สะใภ้สามกินน้อยลงกว่าแต่ก่อนมาก บางครั้งที่กินข้าวกับซูตานหง พวกท่านก็เห็นว่าเธอกินข้าวเพียงครึ่งชามเท่านั้น และยังเลือกกินเฉพาะผักกับแครอทเป็นส่วนใหญ่ กินเนื้อไม่มากนักอีกด้วย

มีอยู่ครั้งหนึ่งคุณแม่จี้เห็นเธอตุ๋นน้ำแกงไว้ แต่เธอกลับกินข้าวกับน้ำแกง และมอบเนื้อให้เสี่ยวเฮยกินแทน

นางเห็นแล้วก็รู้สึกปวดใจยิ่งนัก นี่มันช่างฟุ่มเฟือยโดยแท้

ตั้งแต่นั้นมาคุณแม่จี้ก็เชื่อว่าสะใภ้สามกินเนื้อไม่มากนัก และยังเชื่อว่าเหตุที่เธอกินไม่มากก็เพราะว่ากลัวความอ้วน

แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสะใภ้สามมีน้ำหนักลดลงไปมาก รูปร่างของเธอเริ่มเข้าที่จนเห็นอกและสะโพกชัดเจน นี่แสดงว่าเธอลดน้ำหนักลงไปไม่น้อยเลย

นี่คือสิ่งที่คุณแม่จี้พูดได้ นางจึงไม่สงสัยเมื่อซูตานหงบอกว่าตุ๋นไก่ฟ้าไว้เพื่อบำรุงร่างกายลูกชายสามของนาง ยิ่งกว่านั้นคุณแม่จี้ยังรู้สึกพอใจมากที่ได้ยินความรักที่จริงใจต่อลูกชายของเธอ

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้จี้อวิ๋นอวิ๋นหุบปากเงียบ อาหารมื้อนี้จึงยังนับว่าเป็นมื้อที่ดี

หลังกินอาหารกันเสร็จแล้ว เฝิงฟางฟางกับจี้มู่ตานก็ขอตัวกลับพร้อมกับลูก ๆ ซูตานหงเองก็ไม่ใช่คนประเภทกินพืชเช่นเดียวกัน เธอให้เหตุผลไปว่าจะไปดูว่าไก่ฟ้าตุ๋นที่บ้านสุกได้ที่แล้วหรือยัง แล้วก็ดึงตัวจี้เจี้ยนอวิ๋นกลับบ้านไป

เธอช่วยงานทำครัวแล้ว งานล้างถ้วยจานชามก็ให้เป็นหน้าที่สะใภ้สี่กับจี้อวิ๋นอวิ๋นไปแล้วกัน เธอไม่อยู่รอล้างด้วยหรอก!

“แม่ ดูสิ ไหนแม่บอกว่าหล่อนดีขึ้นแล้ว แต่หล่อนทำแบบนี้หมายความว่ายังไง ลุกออกไปหลังจากกินข้าวเสร็จโดยที่ไม่ช่วยอะไรเลยเนี่ยนะ?” จี้อวิ๋นอวิ๋นพูดกับผู้เป็นแม่

คุณแม่จี้ย่นคิ้ว “ล้างจานแค่นี้แกจะตายรึไง? แกเป็นอะไรไปเนี่ย? ใครจะตามใจแกกัน!” จากนั้นนางก็หันไปบอกอวิ๋นลี่ลี่ “ลี่ลี่ เธออย่าไปตามใจหล่อน ปล่อยให้นังเด็กคนนี้ทำบ้าง เธออย่าทำมันคนเดียวทั้งหมด”

“ค่ะแม่” อวิ๋นลี่ลี่ขานรับด้วยรอยยิ้มบาง หล่อนบอกว่าทั้งสามคนนั้นทำอาหารเก่งมากเลยไม่ได้ขอให้หล่อนช่วยงานในครัวใด ๆ แต่ปรากฏว่ายกหน้าที่นี้ให้หล่อนทำแทน!

แน่นอนว่าที่นี่เป็นชนบท อาหารต่าง ๆ จึงไม่ได้จัดขึ้นโต๊ะอย่างใหญ่โตนัก ช่างห่วงใยกันเหลือเกิน!

หล่อนไม่รู้เลยว่าตนเป็นที่รังเกียจของสามสะใภ้ที่เหลือในเรื่องที่ขอเงินจากสองผู้เฒ่ามาใช้เองครอบครัวเดียว แล้วพวกหล่อนจะปล่อยให้หล่อนกินอยู่เปล่า ๆ โดยไม่ทำอะไรเลยได้อย่างไร พวกหล่อนทุกคนต่างเป็นสะใภ้บ้านตระกูลจี้ ซึ่งถือว่ามีเกียรติกว่าใคร ๆ ทั้งหมด

อยากจะมีเกียรติสูงส่งเหนือใครนัก แล้วมาแต่งงานกับคนตระกูลจี้ทำไม!

คุณแม่จี้ถลึงมองลูกสาวของนางอีกครั้ง “เป็นเพราะพี่สามรักแกมาก ฉันล่ะไม่เข้าใจเขาเลยจริง ๆ ไปล้างจานได้แล้ว!”

ในที่สุดเจี้ยนอวิ๋นก็กลับมาแล้ว นางหวังว่าเขากับตานหงจะปฏิบัติตนต่อกันให้ดี ๆ เพื่อจะได้มีหลานชายให้นางอุ้มไว ๆ!

หลังจากพูดเสร็จแล้ว คุณแม่จี้ก็เดินกลับไปที่โถงใหญ่ของบ้าน

จี้อวิ๋นอวิ๋นเห็นดังนั้นก็โมโหมากและเอ่ยขึ้น “พี่สะใภ้สี่ดูสิ เราสองคนไม่มีความสำคัญในบ้านหลังนี้เลยนะ!”

“อย่าพูดอีกเลย ล้างจานเถอะก่อนที่น้ำจะเย็นจนมือแข็งเสียก่อน” อวิ๋นลี่ลี่ทำได้เพียงอดทนและล้างจานต่อไป หล่อนหวังว่าลูกสาวของหล่อนจะร้องไห้เพื่อจะได้รีบไปกล่อมหล่อน แต่ลูกสาวของหล่อนก็ไม่ยอมร้องในเวลานี้ หล่อนจึงทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาล้างจานต่อไป

ส่วนจี้อวิ๋นอวิ๋นก็ทำได้เพียงนั่งล้างจานต่อไปเช่นเดียวกัน

เมื่อได้กลับมาถึงบ้านแล้ว ซูตานหงก็รู้สึกมีความสุขมาก

“คุณมีความสุขที่ไม่ต้องล้างจานเหรอครับ?” จี้เจี้ยนอวิ๋นถามอย่างสงสัยว่าเธอมีความสุขกับอะไรมา และยังพบว่ามันน่าขันอีกด้วย

“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ฉันมีความสุขมากที่ให้พวกหล่อนเป็นคนจัดการภาระพวกนั้นแทน” ซูตานหงจ้องมองเขา

ใบหน้าใต้แสงไฟของซูตานหงดูกระจ่างใสอมชมพูรับกับฟันขาว ใบหน้านี้ช่างดูงดงามเหลือเกินภายใต้แสงจากโคมไฟ สีหน้าโกรธเกรี้ยวของเธอช่างดูน่ารักจนจี้เจี้ยนอวิ๋นรู้สึกหลงใหล

เมื่อรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและอารมณ์ปรารถนาที่ก่อตัวขึ้น จี้เจี้ยนอวิ๋นก็เอ่ยปาก “ภรรยา ครอบครัวพี่ใหญ่และพี่รองหรือแม้แต่ครอบครัวของเจี้ยนเหวินก็มีลูกกันหมดแล้ว เหลือเพียงแต่เราเท่านั้นที่ยังไม่มีลูกเลยนะ”

“ฉันรู้ค่ะ แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ไม่ใช่หรือคะ? คุณได้กลับมาอยู่บ้านครั้งละไม่กี่วันเอง” ซูตานหงตอบ

มันไม่ง่ายเลยที่ทั้งคู่จะมีลูกด้วยกัน พวกเขาอยู่ด้วยกันเพียงไม่กี่วันต่อหนึ่งปี โอกาสในการตั้งครรภ์จึงมีไม่สูง จะให้ไปเปรียบเทียบกับคู่รักที่อยู่ด้วยกันทุกวันได้อย่างไร

“ผมรู้ครับ ถ้าอย่างนั้นเราก็ใช้โอกาสในช่วงปีใหม่มาทำให้คุณท้องกันดีไหมครับ?” จี้เจี้ยนอวิ๋นพูดด้วยดวงตาสดใสเป็นประกาย

ซูตานหงได้ฟังก็รู้สึกเขินอายจนใบหน้าร้อนฉ่า “คุณก็คิดแต่เรื่องทำลูกทั้งวัน ฉันไม่พูดกับคุณแล้วค่ะ ฉันจะเข้าห้องครัวเพื่อดูไก่ตุ๋น!”

หลังจากนั้นซูตานหงก็เข้ามาในครัว และแก้มทั้งสองก็ร้อนผ่าวมากขึ้นยามต้องลมหนาวที่พัดมาจากด้านนอก

ทั่วทั้งลานอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของไก่ฟ้าตุ๋น และเสี่ยวเฮยก็กระดิกหางเดินเข้ามาหาในทันที

“กลับไปก่อน ส่วนของแกจะได้ทีหลังนะ” ซูตานหงกล่าว

เสี่ยวเฮยร้องครางสองสามครั้งแล้วก็กลับไปที่ประจำของมันเพื่อเฝ้ารออาหารอย่างเชื่อฟัง

ไก่ฟ้าตุ๋นเสร็จได้ที่พอดี แต่พวกเขาเพิ่งกินข้าวเย็นเสร็จไปเมื่อครู่และไม่สามารถยัดอะไรลงไปในท้องได้อีกแล้ว เธอจึงอุ่นด้วยไฟอ่อน ๆ ต่อไป

ซูตานหงต้มน้ำร้อนแล้วนำไปไว้ภายในห้องของเธอเพื่อใช้เช็ดหน้า แล้วเธอก็ลงมือเช็ดหน้าอยู่ด้านหลังฉากกั้น แต่จี้เจี้ยนอวิ๋นช่างซุกซนนัก เขาบุ่มบ่ามเข้ามาประชิดเธอในทันที

เธอไม่รู้ว่าจะบ่ายเบี่ยงอย่างไร จึงปล่อยให้เขาโอ้โลมพามายังที่นอน เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทันทีที่รู้ตัวมันก็สายเกินไปแล้ว

จี้เจี้ยนอวิ๋นผู้เป็นหมาป่าหิวโหยได้จับเธอพลิกไปพลิกมาอย่างเมามัน จนกระทั่งเป็นเวลาดึกแล้วเขาถึงจะยอมปล่อยตัวเธอ

ซูตานหงรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน และท้องของเธอก็กำลังประท้วงอย่างรุนแรงเพราะความหิว ดังนั้นเมื่อจี้เจี้ยนอวิ๋นเดินเข้าครัวไปและกลับมาด้วยซุปไก่หนึ่งชาม เธอจึงยกมันขึ้นดื่มและพลิกตัวลงนอนหลับไปในทันที

“ฮะ ๆ”

จี้เจี้ยนอวิ๋นที่ใช้ความพยายามอย่างมากในการล่อกินเนื้อเห็นภรรยามีท่าทางอ่อนเพลียเช่นนี้ก็ยิ้มออกมา และปล่อยให้เธอหลับไป ส่วนตัวเขาออกมาสวาปามเนื้อไก่และน้ำแกงที่เหลือจนหมด

เขากินจนเหลือเพียงกระดูกเล็กน้อยเอาไว้ให้เสี่ยวเฮย ทำให้เสี่ยวเฮยถึงกับร้องครางออกมาอย่างไม่พอใจ

“แกไม่พอใจอะไรอีก? เหลือกระดูกเอาไว้ให้แทะก็ไม่เลวแล้ว แกลองไปดูสุนัขตัวอื่นสิ พวกมันไม่สามารถแม้จะได้ดมกลิ่นกระดูกหอม ๆ ด้วยซ้ำ” จี้เจี้ยนอวิ๋นสั่งสอนมัน

เสี่ยวเฮยก้มหน้าก้มตาแทะกระดูกอย่างไม่พอใจ หากเป็นนายหญิงล่ะก็มันต้องได้กินเนื้ออย่างแน่นอน!

“เฝ้าบ้านให้ดีล่ะ” เมื่อจี้เจี้ยนอวิ๋นบอกมันเสร็จ เขาก็กลับเข้าห้องนอนของตัวเองไป

ในคืนนี้จี้เจี้ยนอวิ๋นได้นอนหลับและกอดภรรยาของตนเองแล้ว เขารู้สึกว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไปชั่วชีวิตแล้วล่ะก็ มันคงจะเป็นชีวิตที่สมบูรณ์แบบ!

เช้าวันรุ่งขึ้น จี้เจี้ยนอวิ๋นก็ตื่นก่อนและจูบภรรยาที่กำลังนอนหลับ จากนั้นก็ออกจากบ้านไปวิ่งออกกำลังกายรอบหนึ่งก่อนจะกลับมาอาบน้ำ

เมื่อเขากลับมาถึง ซูตานหงก็ตื่นนอนแล้ว แต่ยังไม่ได้ลุกลงจากเตียง

“ภรรยา เราต้องลุกขึ้นและไปกินอาหารเช้ากันแล้วนะครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก

“ค่ะ” ซูตานหงพยักหน้ารับ หลังจากนั้นเธอก็ลุกขึ้นจากที่นอน ครั้นลุกออกจากเตียงได้ ขาทั้งคู่ก็สั่นเล็กน้อยจนเธอต้องหันมามองค้อนใส่จี้เจี้ยนอวิ๋น

“คราวนี้ต้องท้องแน่นอน!” จี้เจี้ยนอวิ๋นพูดด้วยรอยยิ้ม

……………………………………

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

Status: Ongoing
คุณหนูซูผู้มีชีวิตอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ยึดหลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรมมาตั้งแต่ยังเล็ก ยังไม่ทันจะได้ออกเรือนนำเกียรติมาให้วงศ์ตระกูลกลับจับไข้สิ้นลมกลางสายฝนยามสารทฤดู และมาเกิดใหม่ในปี 1980 นางไม่คิดเลยว่าวิถีกุลสตรีในชาติที่แล้วของตนจะกลายเป็นคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมในยุคนี้ เนื่องจากเจ้าของร่างเดิม ซูตานหง ผู้กระทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการกินยาฆ่าแมลงตายคนนี้ นอกจากนามสกุลเดียวกันแล้วก็ไม่มีอะไรดีเหมือนนางเลยสักด้าน ถึงอย่างนั้นคุณหนูซูก็ไม่สนใจ นางคิดเพียงว่าจะใช้ทักษะที่มีอยู่มาสร้างเงินทอง ปลูกต้นไม้ดอกไม้มีค่า เย็บปักถักร้อยวาดภาพภูเขาสายน้ำอันงดงาม ใช้ชีวิตในชาตินี้ให้เรียบง่ายสุขสบายตามอัตภาพเท่านั้นและนี่ก็คือเรื่องราวของคุณหนูสูงศักดิ์จากยุคโบราณผู้มาเกิดใหม่ในร่างหญิงสาวยุค 80 เพื่อทำสวนทำไร่และให้กำเนิดบุตร นางจะเอาชีวิตรอดในยุคที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างไรบ้าง เอาใจช่วยคุณหนูซูไปพร้อมๆ กันได้ในเรื่องนี้เลย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท