ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] – ตอนที่ 41 เรามีลูกด้วยกันแล้วเหรอ

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

บทที่ 41 เรามีลูกด้วยกันแล้วเหรอ?

เมื่อบรรดาสหายได้ยินคำพูดของแพทย์ที่ร่วมรักษา ใบหน้าของพวกเขาก็ขรึมลง

หลายคนไม่ได้พูดอะไร พวกเขาทั้งหมดต่างเสียใจที่การเดินทางไปปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ไม่ปลอดภัยนัก ตอนแรกจี้เจี้ยนอวิ๋นยังสบายดี แต่เขาต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสเพราะเข้าไปช่วยเหลือสหายคนหนึ่ง

โชคดีที่เขาไม่ได้รับบาดเจ็บตรงจุดสำคัญ ไม่อย่างนั้นเกรงว่าเขาคงจะสูญสิ้นชีวิตไปแล้ว

แต่ต่อให้ไม่สิ้นชีวิต เขาก็ไม่อาจประจำการอยู่ในหน่วยรบนี้ได้อีกต่อไป

จี้เจี้ยนอวิ๋นฟื้นขึ้นในวันต่อมา ด้วยความที่อายุน้อยและแข็งแรง บวกทั้งมีร่างกายที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่น ทำให้คุณหมอทั้งหลายถึงกับประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นเขาฟื้นคืนเป็นปกติได้ไวมาก หลังได้รับคำวินิจฉัยว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว เขาก็ได้รับการพักฟื้นต่อ

“พวกนายไม่จำเป็นต้องโกหกฉัน ฉันรู้จักร่างกายของตัวเองดี เกรงว่าในภายหน้าขาข้างนี้ของฉันจะใช้การไม่ได้แล้วใช่ไหม?” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยพลางมองบรรดาสหาย

“เจี้ยนอวิ๋น อย่าเพิ่งหมดกำลังใจเลย ไม่ต้องห่วงนะ นายยังอยู่ประจำการเป็นเสมียนในกองทัพได้!” สหายคนหนึ่งเอ่ยเร็วรี่

“ใช่ เรารายงานเรื่องนี้กับหัวหน้าแล้ว แล้วหัวหน้าก็ตกลง!” สหายอีกคนหนึ่งเอ่ยอย่างรวดเร็วเช่นกัน

“ต้าเว่ยเป็นยังไงบ้าง?” จี้เจี้ยนอวิ๋นถาม

“ต้าเว่ยปลอดภัยแล้ว แต่ตอนนี้เขายังไม่ฟื้น ถ้านายไม่ช่วยเขาในครั้งนี้ ทายาทรุ่นที่สองผู้คงกระพันคนนี้คงจะตายไปนานแล้วล่ะ!” สหายคนหนึ่งแค่นเสียงเย็น

เห็นชัดว่าเขาไม่ค่อยมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับต้าเว่ยเท่าใดนัก

“ที่ทำไปก็เพื่อองค์กรของเรา แล้วตอนนั้นร่างกายมันก็ไปเองน่ะ” จี้เจี้ยนอวิ๋นส่ายหน้า

เขากับเด็กคนนั้นมีความสัมพันธ์ธรรมดา แต่ตัวเขากลับวิ่งออกไปอย่างลืมตัวโดยไม่ทันได้คิดอะไร เพราะว่านี่คือปฏิกิริยาที่ออกมาจากจิตใต้สำนึกของตน

“แล้วอีกนานเท่าไหร่ฉันถึงจะลุกจากเตียงได้?” จี้เจี้ยนอวิ๋นถาม

“เกรงว่านายต้องพักฟื้นเป็นเดือนเลยล่ะ!” สหายของเขาเอ่ยทันที

“งั้นก็พักเถอะ นายช่วยเขียนใบคำร้องขอลาออกให้ฉันด้วยนะ” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยเสียงเบา

“เจี้ยนอวิ๋น!” สหายหลายคนถึงกับตื่นตระหนก “นายไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเราพูดงั้นเหรอ? นายยังย้ายไปเป็นเสมียนได้โดยไม่ต้องลาออกนะ!”

จี้เจี้ยนอวิ๋นส่ายหน้าโดยไม่พูดอะไร

ขาของเขาใช้การไม่ได้แล้ว จะอยู่ที่นี่ไปเพื่ออะไร?

และนี่ยังไม่ใช่สิ่งที่เขากังวลมากที่สุด สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดก็คือการที่ไม่รู้ว่าตานหงจะว่าอย่างไรหากเธอได้รู้ว่าเขากลายมาเป็นคนไร้ประโยชน์…

กล่าวถึงในหมู่บ้าน ในหลายวันมานี้ซูตานหงมักจะรู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อยในตอนกลางวันและนอนไม่หลับในตอนกลางคืน ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย

เมื่อเห็นดวงตาเศร้าหมองของเธอ คุณแม่จี้ก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมา “ตานหง เธอกำลังเครียดอยู่ใช่ไหม? อย่ากังวลไปเลยนะ มันคงไม่เป็นไรหรอก เหล่าหยางกับครอบครัวของเราเป็นคนคุ้นเคยกันดี แล้วเขาก็เห็นสวนของเราแล้ว ดังนั้นไม่มีอะไรเสียหายหรอก!”

“คุณแม่คะ ฉันไม่ได้ห่วงเรื่องนี้หรอกค่ะ สองวันที่ผ่านมาฉันรู้สึกหนังตากระตุกแปลก ๆ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือว่าเจี้ยนอวิ๋น…” ซูตานหงตอบ และก็หยุดพูดไปกลางคัน

คุณแม่จี้ชะงักไป และเอ่ยละล่ำละลัก “ตาเขม่นข้างไหน?”

“ข้างซ้ายค่ะ” ซูตานหงตอบ

คุณแม่จี้มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย และขณะที่นางกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เสียงประกาศผ่านวิทยุให้ซูตานหงมารับโทรศัพท์ที่คณะกรรมการหมู่บ้านก็ดังขึ้น ซึ่งคนที่โทรศัพท์มาหาก็คือจี้เจี้ยนอวิ๋น!

เมื่อซูตานหงได้ยินเสียง สีหน้าที่เคยหมองคล้ำเล็กน้อยก็ดูสว่างสดใสขึ้นมา เธอวางเข็มกับด้ายปักไว้ในตะกร้าข้างกายและพลันเอ่ยขึ้น “คุณแม่คะ อยู่ดูแลบ้านให้หน่อยนะคะ ฉันจะไปรับโทรศัพท์!”

พอพูดจบเธอก็เดินออกจากบ้านไป โดยมีต้าเฮยติดตามไปด้วยในทันที คุณแม่จี้หัวเราะออกมาเมื่อเห็นดังนี้ แล้วนางก็รู้สึกเบาใจลง

ในเมื่อเธอออกไปรับโทรศัพท์แล้วก็ไม่เป็นไร นางคิดว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นกับเจี้ยนอวิ๋นเสียอีกจนใจหายใจคว่ำไปหมด แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าสะใภ้สามเพียงแค่ต้องการเจี้ยนอวิ๋นเท่านั้น

ดังนั้นจึงเป็นการคิดมากไปเอง

แต่นี่ก็ถือเป็นเรื่องปกติ เธอกำลังตั้งครรภ์ และเจี้ยนอวิ๋นเองก็ไม่อยู่บ้าน ก็ไม่แปลกที่เธอจะคิดมากไปต่าง ๆ นานา

ซูตานหงรับโทรศัพท์พูดคุยกับจี้เจี้ยนอวิ๋นทันที สิ่งแรกที่จี้เจี้ยนอวิ๋นต้องการหลังลุกออกจากเตียงได้เป็นวันแรกก็คือการโทรศัพท์

“เจี้ยนอวิ๋น นั่นคุณหรือเปล่าคะ?” ซูตานหงพูดอย่างตื่นเต้นขณะถือโทรศัพท์ที่เป็นดั่งของวิเศษสามารถนำเสียงมาจากปลายทางเป็นพันลี้มาให้ได้ยินไว้

เมื่อได้ยินเสียงของภรรยาแล้ว จี้เจี้ยนอวิ๋นก็เกิดความรู้สึกเหมือนได้ยาวิเศษ และรู้สึกโล่งกายสบายใจขึ้น

“ภรรยา” จี้เจี้ยนอวิ๋นกระซิบ

“เจี้ยนอวิ๋น!” ซูตานหงพูดด้วยน้ำเสียงราวตะโกน “โชคดีจริง ๆ ที่คุณสบายดี คุณไม่รู้หรอกว่าหลายวันนี้ฉันเอาแต่ฝันร้ายติดต่อกัน ฝันว่าคุณกำลังปฏิบัติภารกิจอยู่ คุณว่างไหมคะ กลับมาที่นี่ได้หรือเปล่า?”

เมื่อจี้เจี้ยนอวิ๋นได้ยินดังนี้ ลำคอของเขาก็ตีบตันไป ก่อนเอ่ยเสียงทุ้ม “คุณอย่ากังวลเลยนะ ผมสบายดี แต่ตอนนี้ผมกลับไปไม่ได้หรอก”

ถ้าเขากลับไปในสภาพนี้แล้ว ตานหงจะเป็นกังวลมากขนาดไหน?

“กลับมาไม่ได้เหรอคะ?” เสียงของภรรยาพลันขาดห้วงไป

คำขอโทษหลั่งไหลจากอกของจี้เจี้ยนอวิ๋นในขณะที่เขาพูดตอบ “ตานหง ผมเกรงว่าภายในปีนี้ผมคงกลับไม่ได้ แต่อย่ากังวลเลยนะ นับจากนี้ต่อไปผมคงจะโทรศัพท์หาคุณได้ทุกเดือนแล้ว”

เขาได้รับเงินบำเหน็จหนึ่งก้อนและวางแผนว่าจะใช้เงินบำเหน็จก้อนนี้ทำธุรกิจ และเมื่อเขาทำสำเร็จแล้วก็จะรับภรรยามาอยู่ด้วย

เมื่อซูตานหงได้ยินว่าเขาอาจจะกลับมาไม่ได้ภายในปีนี้ เธอก็รู้สึกผิดหวังขึ้นมาเล็กน้อยในทันที

ในตอนนี้ครรภ์อายุเกือบ 5 เดือนของเธอก็พลันเกิดการเคลื่อนไหวราวกับว่าทารกในนั้นกำลังกลับตัว ซูตานหงผู้ตั้งครรภ์เป็นครั้งแรกในชีวิตทั้งสองชาติภพก็ตกใจร้องอุทานและเอ่ยกับพี่สาวข้างกายรัวเร็ว “พี่สาวใหญ่ พี่สาวใหญ่ช่วยฉันด้วยค่ะ เหมือนในท้องฉันมีอะไรผิดปกติ!”

“ตานหง เกิดอะไรขึ้นกับคุณ ตานหง?” จี้เจี้ยนอวิ๋นที่อยู่ปลายสายได้ยินก็ร้อนใจขึ้นมา

พี่สาวคนนั้นก็ตกใจเช่นกัน พวกเขาต่างเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน ซึ่งว่ากันว่าสวี่อ้ายตั๋งที่เป็นคนทำงานรดน้ำให้ต้นกล้าของเธอนั้นเป็นหลานชายของหล่อน

พี่สาวใหญ่สวี่ถามขึ้นขณะช่วยประคองเธอไว้ “เกิดอะไรขึ้นจ๊ะ? เจ็บท้องเหรอ?”

“ไม่ค่ะ ดูเหมือนว่าเจ้าตัวน้อยข้างในจะขยับตัว”ซูตานหงตอบ และพบว่าตอนนี้เด็กไม่ขยับตัวแล้ว

พี่สาวใหญ่สวี่หัวเราะเมื่อได้ยินดังนี้และพูดขึ้น “ไม่เป็นไรแล้วจ้ะ นี่แหละที่เขาเรียกว่าเด็กกำลังกลับตัว ปกติต้องท้องได้หกหรือเจ็ดเดือนถึงจะเจอ ดูเหมือนเจ้าตัวน้อยจะมีความสุขที่ได้คุยกับคุณพ่อผ่านโทรศัพท์นะจ๊ะ”

ซูตานหงหัวเราะเมื่อได้ยินดังนี้ และนึกขึ้นมาได้ว่าเธอลืมบอกเจี้ยนอวิ๋นว่าเธอกำลังท้อง และเมื่อยกหูโทรศัพท์ขึ้นมา เธอก็พูดเรื่องนี้กับจี้เจี้ยนอวิ๋น

สิ่งที่เธอได้ยินทางโทรศัพท์มีเพียงน้ำเสียงร้อนรนของจี้เจี้ยนอวิ๋น “ตานหง เกิดอะไรขึ้นกับคุณ ตานหง? คุณเป็นอะไรไหม?”

“ฉันไม่เป็นไรค่ะเจี้ยนอวิ๋น เพียงแต่ตอนนี้เด็กเพิ่งกลับตัว เป็นครั้งแรกเลยนะคะที่เจ้าตัวน้อยขยับ ฉันแค่ตกใจเพราะไม่เคยประสบกับอะไรแบบนี้มาก่อนน่ะค่ะ โชคดีที่พี่สวี่บอกฉันว่าเด็กกำลังมีความสุขที่ได้ยินเสียงของคุณ” ซูตานหงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

จี้เจี้ยนอวิ๋นที่อยู่ปลายสายอีกด้านหนึ่งถึงกับนิ่งอึ้ง “เด็ก? เด็กที่ไหน?”

“ลูกของฉันน่ะค่ะ ฉันคิดว่าปีนี้คุณจะกลับมาและจะทำให้คุณประหลาดใจเสียหน่อย ฉันก็เลยไม่ได้บอกคุณ ตอนนี้ฉันท้องได้ห้าเดือนแล้วคุณก็เปลี่ยนใจไม่กลับบ้านเสียนี่ ถ้าคุณไม่กลับมา ระวังในอนาคตลูกจะจำหน้าพ่ออย่างคุณไม่ได้นะคะ ถึงตอนนั้นก็อย่ามาโทษฉันล่ะ!” ซูตานหงเอ่ยพึม

จี้เจี้ยนอวิ๋นอึ้งไปนานกว่าจะได้สติกลับมาอีกครั้ง น้ำเสียงของเขายากที่จะซ่อนความตื่นเต้นดีใจไว้ได้ “ลูก? ลูกของเรา? เรามีลูกด้วยกันแล้วเหรอ?”

………………………………………………

Related

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

Status: Ongoing
คุณหนูซูผู้มีชีวิตอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ยึดหลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรมมาตั้งแต่ยังเล็ก ยังไม่ทันจะได้ออกเรือนนำเกียรติมาให้วงศ์ตระกูลกลับจับไข้สิ้นลมกลางสายฝนยามสารทฤดู และมาเกิดใหม่ในปี 1980 นางไม่คิดเลยว่าวิถีกุลสตรีในชาติที่แล้วของตนจะกลายเป็นคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมในยุคนี้ เนื่องจากเจ้าของร่างเดิม ซูตานหง ผู้กระทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการกินยาฆ่าแมลงตายคนนี้ นอกจากนามสกุลเดียวกันแล้วก็ไม่มีอะไรดีเหมือนนางเลยสักด้าน ถึงอย่างนั้นคุณหนูซูก็ไม่สนใจ นางคิดเพียงว่าจะใช้ทักษะที่มีอยู่มาสร้างเงินทอง ปลูกต้นไม้ดอกไม้มีค่า เย็บปักถักร้อยวาดภาพภูเขาสายน้ำอันงดงาม ใช้ชีวิตในชาตินี้ให้เรียบง่ายสุขสบายตามอัตภาพเท่านั้นและนี่ก็คือเรื่องราวของคุณหนูสูงศักดิ์จากยุคโบราณผู้มาเกิดใหม่ในร่างหญิงสาวยุค 80 เพื่อทำสวนทำไร่และให้กำเนิดบุตร นางจะเอาชีวิตรอดในยุคที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างไรบ้าง เอาใจช่วยคุณหนูซูไปพร้อมๆ กันได้ในเรื่องนี้เลย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท