ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] – ตอนที่ 68 เป็นพ่อคน

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 68 เป็นพ่อคน

ตอนนี้ถือว่าไม่หนาวมากนัก ตราบใดที่อยู่ในที่กำบัง ก็จะได้รับความอบอุ่นในตอนทำครัว ดังนั้นหุงอาหารไก่ก่อนเถอะ

ลูกเจี๊ยบในช่วงนี้ยังบอบบางและอ่อนแอมาก คุณแม่จี้จึงหุงข้าวบดเละ ๆ ซึ่งข้าวบดนี้คุณแม่จี้ทำเพื่อป้อนลูกของซูตานหงโดยเฉพาะ และในตอนนี้ก็ได้ข้าวที่เพิ่งเก็บเกี่ยวมาใหม่ ๆ คุณแม่จี้จึงใช้ข้าวบดนี้เลี้ยงลูกเจี๊ยบแทน

นางเข้าไปหุงข้าวบดใหม่เพื่อเก็บไว้ให้หลานของนางได้กินไประยะหนึ่ง

ข้าวบดที่หุงด้วยน้ำวิเศษนั้นช่างน่ารับประทานไม่น้อยสำหรับคุณแม่จี้ แต่นางต้องเก็บอาการไว้ต่อหน้าซูตานหง คงภาพลักษณ์แม่สามีไว้และไม่บอกว่านางเองก็อยากกิน

ซูตานหงเป็นคนอย่างไร? ทำไมจะไม่เห็น?

เพียงแค่บอกว่าอยากกิน เธอก็จะไม่ให้กินเชียวหรือ? คุณแม่จี้จึงตอบตกลง ซูตานหงจึงตักข้าวบดมาสองถ้วย ซึ่งล้วนเป็นข้าวบดสีขาวใสสะอาดตา

คุณแม่จี้มองเธอด้วยความประทับใจแล้วก็ตักกิน จากนั้นก็เอ่ยชมอยู่ในใจ เธอช่างสมกับเป็นเซียนจิ้งจอกจริง ๆ นางไม่เคยกินข้าวบดที่ไหนที่อร่อยขนาดนี้มาก่อน!

“แม่หุงให้เหรินเหรินอีกตั้งเยอะเลยนะ ตอนนี้มันก็ข้นแล้ว ถึงตอนนั้นเขาต้องชอบกินแน่ ๆ เลย” คุณแม่จี้เอ่ยกับสะใภ้

“ขอบคุณคุณแม่มากนะคะ มีคุณแม่อยู่ช่วยเลี้ยงแล้วฉันก็คลายความกังวลลงไปเยอะเลยค่ะ เพราะฉันไม่ค่อยรู้อะไรมากนัก” ซูตานหงยิ้ม

คุณแม่จี้ได้ยินเธอพูดเช่นนี้ก็โล่งใจมากเช่นกัน หลังหุงข้าวบดเสร็จแล้ว นางก็ตักให้เหล่าลูกเจี๊ยบกิน

หลังผ่านไปไม่กี่วัน ลูกเจี๊ยบทั้งหมด 200 กว่าตัวก็มีสภาพดูดีขึ้นมากและไม่เจ็บป่วยอะไร ต่อให้บางตัวในนั้นจะมีสภาพไม่ดีนักก็ตาม ซึ่งในตอนแรกคุณแม่จี้บอกว่าพวกมันน่าจะใกล้ตายแล้ว แต่แล้วพวกมันก็รอด!

“ตานหง ถ้าหลังหน้าหนาวนี้เธอไปหุงอาหารไก่บนภูเขาแล้ว ไก่พวกนี้มันจะยังไม่อยากกินอาหารอยู่อีกไหม?” คุณแม่จี้อดถามขึ้นมาไม่ได้

“ไม่หรอกค่ะ ฉันจะให้เจี้ยนอวิ๋นขนน้ำจากที่บ้านขึ้นไปล่วงหน้าก่อน” ซูตานหงบอก เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้วเธอก็นึกขึ้นมาได้ “คุณแม่คะ ฉันอยากจะขุดบ่อน้ำไว้ที่บ้านน่ะค่ะ ไม่อย่างนั้นมันจะลำบากเกินไป”

คุณแม่จี้ถึงกับอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นจึงคืนสติกลับมาได้ นางบอกได้เลยว่าอาหารทุกอย่างที่ใช้น้ำที่นี่ปรุงล้วนมีกลิ่นหอมเป็นพิเศษ ต่อให้จะเป็นแค่ข้าวบดก็ตาม แต่บรรดาลูกเจี๊ยบทั้งหลายกลับกระดี๊กระด๊าอยากกินในทุกครั้งที่ตักให้ นั่นแสดงว่าเซียนจิ้งจอกจะต้องร่ายมนต์ใส่ไว้ในน้ำแน่นอน!

ไม่ผิดแน่ว่าต้องมีคนเห็นว่าออกไปตักน้ำในวันที่อากาศเย็นแล้วส่งกลับมาให้เซียนจิ้งจอกบริกรรมคาถาก่อนขนขึ้นไปบนภูเขา ซึ่งบ่อน้ำนั้นอยู่ทางตะวันตกของหมู่บ้านใกล้กับด้านหลังภูเขาพอดี

การเดินทางไปกลับแบบนี้มันดึงดูดสายตาคนมากเกินไป!

คนในหมู่บ้านต่างพากันคาดเดาไว้อยู่แล้ว เรื่องนี้จะไม่เป็นการยืนยันความคิดของพวกเขาอย่างนั้นหรือ?

“ตกลง แม่จะไปหาคนมาขุดให้นะ” คุณแม่จี้บอกเธอ และตอบในทันที “แม่แค่ไม่รู้ว่าที่นี่จะมีตาน้ำไหมน่ะสิ?”

แต่เซียนจิ้งจอกน่าจะรู้ ไม่อย่างนั้นคงจะไม่ให้ลูกชายสามของนางขุดบ่อไว้ที่บ้านนี้หรอก

“ค่ะ มีอยู่ที่หนึ่งใต้ต้นพุทราในสวนหลังบ้าน ตรงนั้นก็ขุดได้นะคะ” ซูตานหงตอบอย่างเผลอตัว

ต้นพุทรา 2 ต้นที่อยู่ในสวนหลังบ้านนั้นถูกปลูกไว้เมื่อ 2 ปีที่แล้ว พวกมันเคยเหี่ยวแห้งจะตายแหล่ไม่ตายแหล่มาก่อน ต้องบอกว่าหลังจากที่ซูตานหงมา พวกมันก็ดูมีชีวิตชีวาเต็มที่เหมือนกับบรรดาไม้ผลบนภูเขา และจะให้ผลได้ในปีหน้าแล้ว

นับตั้งแต่เสี่ยวเหรินเหรินเกิด น้ำพุวิเศษของซูตานหงก็ขยายขนาดขึ้น ไม่เพียงแต่จะมีปริมาณมากขึ้น แต่ตัวเธอเองยังมีญาณรับรู้ด้วยอีกว่าตรงไหนมีแหล่งน้ำบ้าง

อย่างเช่นตาน้ำใต้ต้นพุทราในสวนหลังบ้านที่เธอเพิ่งค้นพบโดยบังเอิญเมื่อไม่กี่วันก่อน

จากนั้นเธอจึงมีความคิดที่จะขุดบ่อน้ำขึ้นมา

เมื่อคุณแม่จี้ได้ยิน นางก็เชื่อว่าเซียนจิ้งจอกมีอยู่จริงไปแล้ว ดูสิ ถ้าไม่มีเซียนจิ้งจอกแล้ว ตานหงจะรู้ว่ามีตาน้ำอยู่ใต้ต้นพุทราในสวนหลังบ้านได้อย่างไร? แน่ใจหรือ?

เรื่องนี้จึงเป็นหน้าที่ของคุณแม่จี้ และคุณแม่จี้ก็ไปเที่ยวถามชาวบ้านว่ามีใครรับขุดบ่อบ้าง ซึ่งได้ความว่ามีอยู่คนหนึ่งในหมู่บ้านถัดไป คุณแม่จี้จึงจะออกเดินทางไปที่นั่น แต่พบกับจี้เจี้ยนอวิ๋นที่กลับมาก่อน เมื่อจี้เจี้ยนอวิ๋นได้ยินสิ่งที่แม่ของเขาพูดแล้ว เขาก็เดินทางไปยังหมู่บ้านใกล้เคียงนั้น

หลังตกลงราคาและเวลาที่จะมาขุดแล้ว ก็ได้ความว่าเป็นวันพรุ่งนี้ การขุดบ่อน้ำเล็ก ๆ นั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่นัก ใช้แรงงาน 2-3 คนขุดในไม่กี่วันก็เสร็จเรียบร้อย

เนื่องเพราะเขามีสวนผลไม้ขนาดใหญ่ จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงมีชื่อเสียงโด่งดังไปถึงหมู่บ้านใกล้เคียงด้วย ซึ่งไม่ต้องสงสัยในความน่าเชื่อถือของเขาเลย เขาไม่จำเป็นต้องวางค่ามัดจำด้วยซ้ำ เพียงแค่มาขุดบ่อให้ในวันพรุ่งนี้ก็พอแล้ว

ที่ผ่านมาจี้เจี้ยนอวิ๋นก็เคยคิดและมองหาคนมาขุดอยู่เหมือนกัน การมีบ่อน้ำในบ้านเป็นเรื่องจำเป็นจริง ๆ ไม่อย่างนั้นมันก็ไม่สะดวกอย่างมาก

หลังขุดบ่อน้ำในสวนหลังบ้านได้ 4 วัน บ่อน้ำก็เสร็จสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพสูงมาก เป็นเพราะจี้เจี้ยนอวิ๋นได้ไปลงแรงช่วยเป็นหลักด้วย

“ตอนนี้ถือว่าสะดวกขึ้นเยอะเลยค่ะ” ซูตานหงเอ่ยอย่างพอใจ

แต่เนื่องจากในครอบครัวมีผู้หญิงกับเด็กอยู่ด้วย จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงจ่ายเงินเพิ่ม 5 หยวนเพื่อไปซื้อโครงเหล็กจากในเมืองมาติดไว้ที่ปากบ่อเพื่อความปลอดภัย

หลังจากติดโครงเหล็กไปแล้วเขาก็รู้สึกสบายใจขึ้น

“เจี้ยนอวิ๋น คุณจะไปเรียนทำสวนจากเหล่าฉินเมื่อไหร่เหรอคะ? ตอนนี้คาดว่าจะมีหิมะตกน่ะค่ะ” ซูตานหงมองท้องฟ้าแล้วบอกจี้เจี้ยนอวิ๋น

ตั้งแต่ต้นฤดูหนาว จี้เจี้ยนอวิ๋นเคยบอกว่าจะไปเรียนการจัดการสวนผลไม้กับเหล่าฉิน แม้เหล่าฉินจะขายกล้าผลไม้ แต่เขาก็มีสวนของตัวเองอยู่ในเทศบาลเมืองถัดไป เป็นสวนขนาดไม่ใหญ่นักแต่มีขนาดกำลังพอดี

แม้จะไม่ได้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์ในทุกปีนัก แต่ก็ถือว่ายังอยู่ในช่วงเวลาที่ดี ดังนั้นแล้วเขาจะต้องมีประสบการณ์อยู่บ้างหลังจากจัดการสวนมาหลายปี จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงอยากจะเรียนรู้จากเขา

“ถ้าปีหน้าหิมะละลายแล้ว ผมจะไปหาเขาอีก” จี้เจี้ยนอวิ๋นส่ายหน้าขณะบอก

ตอนนี้ภรรยากับลูกอยู่ที่บ้านรอให้เขามาเลี้ยงดู แล้วเขาจะออกไปโดยไม่กังวลใจเลยได้อย่างไร?

นอกจากนี้ยังมีแกะและไก่อยู่บนภูเขาด้วย เขาไม่สามารถโยนงานนี้ให้พ่อแม่ของเขาได้หรอก ไม่อย่างนั้นพี่ชายใหญ่ พี่ชายรอง และน้องชายสี่ต้องวิพากษ์วิจารณ์เขาแน่หากเวลานั้นมาถึง

ซูตานหงไม่ได้ขัดเขา เรื่องพวกนี้เขาต้องเป็นคนตัดสินใจเอง

อย่างไรก็ตามเธอได้ขอให้เขาเรียนรู้ไว้เพื่อเป็นข้ออ้างในการอุดปากชาวบ้านคนอื่น ๆ ไม่ให้พวกเขาพูดได้ว่าเธอก้าวก่ายในเรื่องของเขา

ในการทำสวนผลไม้นี้ ต่อให้เรียนกลเม็ดเคล็ดลับอะไรหรือไม่ มันก็ได้ผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์อยู่ดี

“คุณดูแลให้ลูกชายเราหลับดี ๆ นะคะ ฉันจะปักผ้าต่อ ฉันไม่ได้ทำงานนี้มานานแล้ว ปล่อยให้ขึ้นสนิมไม่ได้หรอกค่ะ” ซูตานหงอุ้มลูกชายส่งให้สามี ยืดเอวบิดขี้เกียจแล้วก็เอ่ยขึ้น

จี้เจี้ยนอวิ๋นรู้สึกจนใจขณะอุ้มลูกชายที่ยิ้มเผล่ให้เขา ก่อนจะแหย่นิ้วเข้าปากเด็กน้อยในตอนที่มือเล็กคว้ามือเขาไว้และเริ่มหยอกล้อกับเขา

ซูตานหงได้ยินเสียงหัวเราะของพ่อลูกในห้องถัดไปอย่างชัดเจนจนยิ้มออกมา และเริ่มทำการปักผ้าโดยไม่สนใจอะไรอีก

เธอปักผ้าไม่นานนัก หลังจากครึ่งชั่วโมง จี้เจี้ยนอวิ๋นก็มาหา ซึ่งการที่เขามาแบบนี้ได้แสดงว่าเด็กน้อยคงถูกกล่อมจนหลับไปแล้ว

ในตอนนี้เองเสียงของคุณแม่จี้ก็ดังขึ้น จี้เจี้ยนอวิ๋นที่ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ต้องออกไปหา

“แม่หุงอาหารไก่ก่อนเถอะครับ แล้วผมจะขนขึ้นไปบนภูเขากับตานหงเองทีหลัง” จี้เจี้ยนอวิ๋นพูด

คุณแม่จี้อยากให้ซูตานหงขึ้นไปดูบนภูเขาเหลือเกิน หากได้เห็นบรรดาแกะและลูกเจี๊ยบบนภูเขาแล้วเธออาจปลูกอะไร ๆ ได้ดีขึ้นอีกก็ได้

“ตกลง งั้นแกไปเถอะ แม่จะอยู่ดูแลเหรินเหรินให้เอง” คุณแม่จี้บอก

“ตอนนี้เขาหลับอยู่น่ะครับ คงไม่ตื่นขึ้นมาเร็วนัก คุณแม่นั่งเลือกถั่วอยู่ในห้องแล้วกันครับ มีถั่วเน่าเยอะเลย ถ้าเขาตื่นแล้วเขาจะร้องเรียกเอง” ผู้เป็นพ่อเด็กเอ่ย

………………………………

Related

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

Status: Ongoing
คุณหนูซูผู้มีชีวิตอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ยึดหลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรมมาตั้งแต่ยังเล็ก ยังไม่ทันจะได้ออกเรือนนำเกียรติมาให้วงศ์ตระกูลกลับจับไข้สิ้นลมกลางสายฝนยามสารทฤดู และมาเกิดใหม่ในปี 1980 นางไม่คิดเลยว่าวิถีกุลสตรีในชาติที่แล้วของตนจะกลายเป็นคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมในยุคนี้ เนื่องจากเจ้าของร่างเดิม ซูตานหง ผู้กระทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการกินยาฆ่าแมลงตายคนนี้ นอกจากนามสกุลเดียวกันแล้วก็ไม่มีอะไรดีเหมือนนางเลยสักด้าน ถึงอย่างนั้นคุณหนูซูก็ไม่สนใจ นางคิดเพียงว่าจะใช้ทักษะที่มีอยู่มาสร้างเงินทอง ปลูกต้นไม้ดอกไม้มีค่า เย็บปักถักร้อยวาดภาพภูเขาสายน้ำอันงดงาม ใช้ชีวิตในชาตินี้ให้เรียบง่ายสุขสบายตามอัตภาพเท่านั้นและนี่ก็คือเรื่องราวของคุณหนูสูงศักดิ์จากยุคโบราณผู้มาเกิดใหม่ในร่างหญิงสาวยุค 80 เพื่อทำสวนทำไร่และให้กำเนิดบุตร นางจะเอาชีวิตรอดในยุคที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างไรบ้าง เอาใจช่วยคุณหนูซูไปพร้อมๆ กันได้ในเรื่องนี้เลย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท