ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] – ตอนที่ 73 คุณพ่อจี้ผู้จริงจัง

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 73 คุณพ่อจี้ผู้จริงจัง

คุณพ่อจี้เห็นแล้วจึงเปิดประตูให้ผู้เป็นลูกสาวเข้ามา

จี้อวิ๋นอวิ๋นยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นไปอีกเมื่อเข้ามาข้างในแล้วมองเห็นต้นไม้ผลมากกว่าเดิม!

“พ่อคะ นี่ต้นผลไม้ของบ้านเราเหรอ? เยี่ยมไปเลย พวกมันดูโตดีมาก ปีหน้าก็คงจะให้ผลได้แล้ว!” จี้อวิ๋นอวิ๋นหันไปถามพ่อของหล่อนในทันที

คุณพ่อจี้ยิ้มแล้วตอบกลับ “ก็หวังว่าอย่างนั้นนะ”

“พ่อ ถ้าปีหน้าสวนผลไม้บ้านเราทำเงินได้ หนูอยากได้เงินไปซื้ออุปกรณ์การเรียนน่ะค่ะ มหาวิทยาลัยที่หนูจะเรียนมีหลายอย่างที่ต้องซื้อเอาไว้ใช้เรียนด้วย!” จี้อวิ๋นอวิ๋นเอ่ย

“เรื่องนี้แกต้องบอกพี่ชายสามนะ เพราะสวนนี้น่ะเป็นสวนพี่สามของแก” คุณพ่อจี้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“สวนพี่สามอะไรกันคะ ไม่ใช่สวนของเราด้วยเหรอ?” จี้อวิ๋นอวิ๋นเอ่ยอย่างอดไม่ได้

คุณพ่อจี้หยุดนิ่งไปแล้วมองลูกสาวด้วยสายตาจริงจัง ก่อนเอ่ยขึ้น “อวิ๋นอวิ๋น แกต้องแยกแยะให้ดีนะ ของพี่สามก็คือของพี่สาม ไม่เกี่ยวอะไรกับครอบครัวเรา ภูเขาลูกนี้กลายเป็นของพี่สามตั้งแต่วันปีใหม่วันแรกแล้ว พี่ใหญ่ พี่รอง แล้วก็พี่สี่ของแกก็เป็นพยานได้”

จี้อวิ๋นอวิ๋นได้ยินก็ขบฟันกรอด “ต้องเป็นซูตานหงคนนั้นแน่ ๆ หล่อนเห็นว่าที่ตรงภูเขานี้ดี ก็เลยเล่นเล่ห์เพทุบายยึดมาจนได้!”

ใบหน้าของคุณพ่อจี้มืดครึ้มลงในทันทีและเอ่ยด้วยเสียงเคร่งเครียด “อวิ๋นอวิ๋น แกไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะ อย่าพูดจาไร้สาระแบบนี้อีก!”

ในวันปีใหม่วันแรกนับว่าบ้านสามแก้ปัญหาได้เป็นอย่างดี ไม่เพียงแต่จะไม่ผสมโรงกับบ้านใหญ่และบ้านรองแล้ว ยังมอบเงิน 400 หยวนมาให้ทั้งสองบ้านเป็นการตัดปัญหาอีกด้วย ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีใครแก้ไขปัญหานี้ได้ และอาจเป็นไปได้ว่าบ้านสี่จะต้องขายบ้านทิ้งก็เป็นได้?

เท่าที่คุณพ่อจี้รู้ก็คือ เขายังจดจำความรักความหวังดีของซูตานหงได้

แล้วมีใครล่ะที่ไม่รู้คุณค่าของภูเขาลูกนี้มาก่อน?

ทันทีที่มันมาอยู่ในมือของเธอ มันก็พัฒนาต่อไปได้ แต่ใช่ว่าจะไม่เจออุปสรรคใหญ่เลย สวนนี้ต้องเสียเงินจ้างคนมาดูแลไปเท่าไร? ต้องเสียเงินสร้างกำแพงไปมากขนาดไหน? แล้วในตอนที่ขนกล้าผลไม้พวกนี้เข้ามาก็ยังมีค่าใช้จ่ายอีก ไม่ใช่ว่าเป็นเงินของบ้านสามล้วน ๆ หรอกหรือ?

ดังนั้นต่อให้คุณพ่อจี้ไม่ได้พูดอะไร สถานะของสะใภ้สามในใจของเขาก็เป็นที่รู้ดีอยู่แล้ว

เธอยังมีความกตัญญูต่อสองผู้เฒ่าอย่างพวกเขาด้วยเช่นกัน คอยเป็นห่วงว่าพวกเขาจะอยู่สุขสบายดีไหม และเป็นเพราะสะใภ้สามสั่งให้เจี้ยนอวิ๋นนำน้ำแกงกับเนื้อมาให้กินเป็นระยะนี่เอง จึงทำให้เขารู้สึกว่าสุขภาพร่างกายตนดีขึ้นกว่าแต่ก่อน และยังมีกำลังวังชามากขึ้นด้วย

นอกจากบ้านสามแล้ว ยังจะมีใครไว้ใจได้อีก?

คุณพ่อจี้จึงเอ่ยเตือนลูกสาวในเรื่องนี้ ว่าของที่เป็นของครอบครัวสามก็คือของของครอบครัวสาม ไม่เกี่ยวอะไรกับสองผู้เฒ่าอย่างพวกเขา ถ้าพวกเขาจะแบ่งอะไรให้กับผู้เฒ่าสองคน พวกเขาก็จะต้องแบ่งให้บ้านใหญ่ บ้านรอง แล้วก็บ้านสี่ด้วย

จี้อวิ๋นอวิ๋นไม่คิดว่าพ่อของหล่อนจะจริงจังมากขนาดนี้ หล่อนกล้าพูดลับหลังให้แม่ของหล่อนฟัง แต่กับพ่อของหล่อนนั้นหล่อนไม่กล้าแม้แต่น้อย

เด็กสาวพองแก้มไม่พูดอะไรต่อ ทำเพียงมองสวนผลไม้ และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉา

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนังซูตานหงนั่นถึงอยากให้หล่อนมาดูสวน เป็นเพราะสวนได้รับการจัดการอย่างดีนี่เอง!

“พี่สะใภ้ของแกจ้างคนงานสองคนมาดูแลแล้วน่ะสิ เป็นเหตุว่าทำไมสวนผลไม้ถึงเจริญงอกงามดีน่ะ” คุณพ่อจี้เอ่ย

“จ้างคนมาดูแลด้วย?” จี้อวิ๋นอวิ๋นเบิกตากว้าง “หล่อนคิดว่าตัวเองเป็นคุณนายเจ้าของที่ดินสมัยก่อนงั้นเหรอ!”

คุณพ่อจี้ได้ยินก็เหลือบมองหล่อนด้วยสายตาโมโห “แกพูดอะไรน่ะ?”

“ไม่ใช่เหรอคะ จ้างคนอื่นมาดูแลมันแพงมากเลยนะคะ ทำไมหล่อนไม่มาดูแลเอง?” จี้อวิ๋นอวิ๋นถามอย่างอดไม่ได้

“ตอนนั้นพี่สะใภ้สามของแกท้องอยู่ไม่ใช่เหรอ หล่อนจะมาดูแลเองได้ยังไง? เอาล่ะ นี่เรื่องของผู้ใหญ่เขา แกไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” คุณพ่อจี้เอ่ย

จี้อวิ๋นอวิ๋นได้ฟังแล้วก็ยอมรับไม่ได้ ทำไมสวนผลไม้ต้องมาอยู่ในมือของนังผู้หญิงนั่น แล้วมันยังเจริญงอกงามดีอีกด้วย!

“แบะ!”

ในตอนนี้เองก็มีเสียงแกะร้องดังขึ้นตรงหน้า จนจี้อวิ๋นอวิ๋นอึ้งไป “แกะมาจากไหนกันคะเนี่ย?”

“พี่สามของแกซื้อมาเลี้ยงไว้บนภูเขาน่ะ” คุณพ่อจี้บอก

จี้อวิ๋นอวิ๋นอดตื่นเต้นไม่ได้ในทันที หล่อนรีบเดินไปดู เมื่อเห็นแกะจำนวนมากก็รู้สึกละโมบขึ้นมา ถ้าขายทั้งหมดนี่จะได้ราคาเท่าไรกันนะ?

“อวิ๋นอวิ๋นปิดเทอมฤดูหนาวแล้วเหรอ” จี้เจี้ยนอวิ๋นที่กำลังทำงานอยู่ก็เอ่ยทักเมื่อเห็นน้องสาวของตน

“พี่สาม ทำไมเลี้ยงแกะไว้เยอะจังคะ?” จี้อวิ๋นอวิ๋นเดินมาหา

“เห็นสวนผลไม้ช่วงหน้าแล้งมันดูโล่ง ๆ น่ะ ก็เลยคิดว่าเลี้ยงแกะสักหน่อยน่าจะดี” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก

ภูเขาลูกนี้มีขนาดใหญ่มาก จำนวนแกะที่มีอยู่จึงดูไม่มากนัก เหตุผลหลักที่นำมาเลี้ยงก็คืออยากลองเลี้ยงดูว่าพวกมันจะอยู่รอดได้หรือไม่ หากอยู่รอดได้แล้วจะได้ให้พวกมันผสมพันธุ์ออกลูกกันแล้วเลี้ยงต่อในปีหน้า

ในตอนนี้สวี่อ้ายตั๋งกับจี้หงจวินเพิ่งจะทำความสะอาดเล้าไก่เสร็จ โดยไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพวกเขาได้รับการจ้างงานจากซูตานหง กลิ่นมูลไก่ที่โชยมานั้นเหม็นมากเสียจนจี้อวิ๋นอวิ๋นต้องปิดจมูกแล้วเอ่ยถาม “กลิ่นอะไรน่ะคะ?”

“กลิ่นมูลไก่น่ะ แกคงไม่เคยได้กลิ่นมาก่อนล่ะสิ” คุณพ่อจี้บอก

ทันทีที่ลมพัดมากลิ่นก็จางหายไป ส่วนจี้อวิ๋นอวิ๋นนั้นยืนอึ้ง “พ่อเลี้ยงไก่ด้วยเหรอคะ?”

“ทางด้านหน้ามีเล้าไก่กับคอกแกะอยู่น่ะ เธอไปดูก็ได้” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก

“ฝันไปเถอะค่ะ” จี้อวิ๋นอวิ๋นเอ่ยอย่างรังเกียจ

คุณพ่อจี้กับจี้เจี้ยนอวิ๋นได้ยินแล้วก็ไม่สนใจหล่อนเช่นกัน

แต่แล้วจี้อวิ๋นอวิ๋นก็อดไม่ได้หลังจากยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง หล่อนเดินไปดูเล้าไก่กับคอกแกะตามที่พี่ชายบอก

ยิ่งหล่อนมองดูเท่าใด หล่อนก็ยิ่งเห็นว่าสวนผลไม้ของพี่ชายสามนั้นดูน่าดึงดูดใจมากขึ้นเรื่อย ๆ

“หลังปีใหม่นี้ ไก่พวกนี้ก็น่าจะโตพอกินได้แน่ ๆ เลยค่ะ!” จี้อวิ๋นอวิ๋นเอ่ยขณะเดินกลับมา

จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้า “ถ้าเธออยากกินก็เอาไปซักตัวสองตัวเถอะ”

“ตัวใหญ่แค่ไหนเอง? อย่าเพิ่งจับเลย ถ้าแกอยากกินก็ไปซื้อในเมืองเอา!” คุณพ่อจี้พูดอย่างติดรำคาญ

จี้อวิ๋นอวิ๋นได้ยินก็พลันไม่พอใจ “ทำไมต้องซื้อด้วยล่ะคะ? เสียเงินตั้งเยอะ อีกไม่ถึงเดือนก็จะถึงปีใหม่แล้ว เลี้ยงเพิ่มเดือนต่อไปก็ยังไม่สาย”

“ถ้าแกอยากกินก็ไปซื้อในเมืองเอา ไก่พวกนี้ยังกินไม่ได้หรอก”คุณพ่อจี้ปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา

จี้อวิ๋นอวิ๋นรู้สึกไม่พอใจ พอเดินดูจนเบื่อแล้วหล่อนก็กลับบ้านไป

“พ่อครับ ในเมื่ออวิ๋นอวิ๋นอยากกินก็ให้หล่อนกินเถอะครับ ไก่ไม่กี่ตัวเอง” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก

“มันไม่ใช่เรื่องไก่ไม่กี่ตัวหรอก ถ้าเกิดครอบครัวเราเริ่มก่อน ก็จะมีคนอื่น ๆ มาขอบ้าง แล้วเราจะต้องเชือดไก่ให้พวกเขากันไปกี่ตัวล่ะ? ตอนนี้แกเป็นพ่อคนแล้วก็หัดประหยัดเสียบ้าง ภรรยาแกหาเงินได้แล้วก็จริง แต่แกจะพึ่งพาหล่อนอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้ มันเป็นหน้าที่ของลูกผู้ชายที่ต้องเกื้อหนุนค้ำจุนครอบครัว” นี่เป็นครั้งแรกที่คุณพ่อจี้พูดแบบนี้กับลูกชาย

เป็นเรื่องจริงที่ลูกชายคนที่สามของเขาเป็นคนขี้สงสาร อวิ๋นอวิ๋นเป็นคนไร้เหตุผลแล้วยังเย่อหยิ่ง ถ้าหล่อนอยากกินไก่ แค่เข้าไปในเมืองแล้วซื้อมา 2-3 ตัวก็ยังได้ ถ้าเป็นไก่ที่เลี้ยงไว้ตอนนี้จะมีเนื้อเยอะขนาดไหนกัน? ตัวหนึ่งมีเนื้อแค่ไม่กี่ชั่งเท่านั้น

ต่อให้เป็นไก่ 10 หรือ 20 ตัวก็มีเนื้อไม่พอกินหรอก!

ถ้าเลี้ยงต่อจนถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า มันก็จะมีน้ำหนักตัวเกือบ 1 ชั่ง ถ้าเลี้ยงต่อจนมีน้ำหนักตัว 2 ชั่งก็ค่อยนำไปขายในตลาด ทั้งหมดคือเงินล้วน ๆ

คุณพ่อจี้เองก็ได้ยินมาว่าปีหน้าลูกชายคนนี้จะซื้อรถ จากที่เขาบอกมา รถยนต์คันหนึ่งก็มีราคาราว 2,000 หรือ 3,000 หยวนแล้ว ไม่เก็บเงินไว้ตั้งแต่ตอนนี้แล้วจะหาเงินมาจากไหน?

จี้เจี้ยนอวิ๋นได้ฟังก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก แต่ก็พยักหน้ารับเมื่อถูกสั่งสอน “ผมรู้ครับพ่อ ปีหน้าผมจะตั้งใจทำงานให้ดี!”

คุณพ่อจี้ยังพอใจในตัวลูกชายคนที่สามอยู่ เขาพยักหน้าและไม่เอ่ยอะไรต่อ แต่เอ่ยเพียงว่า “พรุ่งนี้ฉันอยากเจอกับเหรินเหรินสักหน่อยน่ะ”

……………………………………………

Related

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

Status: Ongoing
คุณหนูซูผู้มีชีวิตอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ยึดหลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรมมาตั้งแต่ยังเล็ก ยังไม่ทันจะได้ออกเรือนนำเกียรติมาให้วงศ์ตระกูลกลับจับไข้สิ้นลมกลางสายฝนยามสารทฤดู และมาเกิดใหม่ในปี 1980 นางไม่คิดเลยว่าวิถีกุลสตรีในชาติที่แล้วของตนจะกลายเป็นคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมในยุคนี้ เนื่องจากเจ้าของร่างเดิม ซูตานหง ผู้กระทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการกินยาฆ่าแมลงตายคนนี้ นอกจากนามสกุลเดียวกันแล้วก็ไม่มีอะไรดีเหมือนนางเลยสักด้าน ถึงอย่างนั้นคุณหนูซูก็ไม่สนใจ นางคิดเพียงว่าจะใช้ทักษะที่มีอยู่มาสร้างเงินทอง ปลูกต้นไม้ดอกไม้มีค่า เย็บปักถักร้อยวาดภาพภูเขาสายน้ำอันงดงาม ใช้ชีวิตในชาตินี้ให้เรียบง่ายสุขสบายตามอัตภาพเท่านั้นและนี่ก็คือเรื่องราวของคุณหนูสูงศักดิ์จากยุคโบราณผู้มาเกิดใหม่ในร่างหญิงสาวยุค 80 เพื่อทำสวนทำไร่และให้กำเนิดบุตร นางจะเอาชีวิตรอดในยุคที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างไรบ้าง เอาใจช่วยคุณหนูซูไปพร้อมๆ กันได้ในเรื่องนี้เลย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท