ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] – ตอนที่ 74 จี้อวิ๋นอวิ๋นหน้าแตก

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 74 จี้อวิ๋นอวิ๋นหน้าแตก

จี้อวิ๋นอวิ๋นเดินกลับมาที่บ้าน ไม่ว่าจะคิดไปทางใดหล่อนก็รู้สึกโมโหมาก

บ้านพี่สี่นั้นดูดีที่สุดอย่างเห็นได้ชัด แต่ทำไมหล่อนกลับมาคราวนี้ถึงพบว่าบ้านพี่สามมีแนวโน้มจะดูเหนือกว่าบ้านของพี่สี่เสียอีกล่ะ?

บ้านของพี่สี่คือศักดิ์ศรีของหล่อน เพื่อที่หล่อนจะได้มีหน้ามีตาไปคุยกับเพื่อนร่วมชั้นได้ ทั้งพี่สี่กับพี่สะใภ้สี่ต่างเป็นครูในเมืองเจียงสุ่ยกันทั้งคู่ แถมพวกเขาได้กินข้าวหลวง*ด้วย ฟังดูแล้วน่าอิจฉาไหมล่ะ?

(*ได้รับเงินเดือนจากรัฐ)

ในขณะที่เรื่องของพี่ใหญ่ พี่รอง และคนอื่น ๆ นั้นหล่อนไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง เพราะพวกเขาเป็นพวกหากินอยู่กับดินเท่านั้น น่าขายหน้าอะไรเช่นนี้?

หล่อนเองเคยเล่าเรื่องของพี่สามบ้างเหมือนกัน แต่ตอนนี้เขาบาดเจ็บกลับมาแล้วก็กลายเป็นพวกหากินอยู่กับดินไปแล้ว จึงไม่มีเรื่องอะไรต้องเล่าอีก

แต่ไม่คิดเลยว่าพี่สามที่นอนกับดินกินกับทรายจะพลิกชีวิตขึ้นมาได้

ต้นไม้ผลบนภูเขาต่างเจริญงอกงามดีมาก แม้จะมีใบเหลืออยู่บนต้นไม่มากนัก แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงความมีชีวิตที่แผ่ออกมาจากต้นไม้เหล่านั้น

ดูแนวโน้มแล้วต้นไม้เหล่านี้จะต้องผลิดอกออกผลในปีหน้าแน่นอน ถ้าถึงตอนนั้นมันออกผลสำเร็จ มันก็หมายความว่าจะขายได้เงินจำนวนมาก

นอกจากนั้นยังมีไก่เป็นจำนวนมากและแกะอีก 10 กว่าตัว ซึ่งนับว่าดูดีมาก และยังเป็นฟาร์มที่แรกของหมู่บ้านด้วย

“ถ้าแกอยู่ว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำก็ไปเลี้ยงไก่ในสวนหลังบ้านซะ” คุณแม่จี้บอก

แม้บนภูเขาจะเลี้ยงไก่ไว้แล้ว คุณแม่จี้ก็ยังเลี้ยงไก่อีก 7-8 ตัวไว้ในสวนหลังบ้านด้วย ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นไก่รุ่น

จี้อวิ๋นอวิ๋นรู้ว่าตอนนี้พ่อกับแม่ของหล่อนเข้าข้างซูตานหงกันหมดแล้ว หล่อนจึงไม่พูดอะไร ได้แต่หยิบใบผักจากแม่ของหล่อนแล้วนำไปเลี้ยงไก่

เมื่อหล่อนเลี้ยงไก่เสร็จแล้วกลับเข้ามา ก็พบว่าแม่ของหล่อนกำลังผัดผักกับไข่อีก 1 ฟองอยู่ เมื่อเห็นดังนั้นหล่อนจึงพูดทันที “แม่ เราจะกินกับข้าวจานนี้กันเหรอคะ? แล้วเนื้อไปไหนล่ะ? ในจุดนี้พ่อยังต้องกินอยู่นะคะ”

“กับข้าวของพ่อแกพี่สามของแกจะส่งไปให้ทีหลัง” คุณแม่จี้บอก

จี้อวิ๋นอวิ๋นได้ยินก็ขบเคี้ยวฟันและเอ่ยขึ้น “แม่ นี่มันหมายความว่ายังไงคะ? หล่อนจงใจไม่ส่งเนื้อมาใช่ไหม? ปีที่แล้วที่หนูกลับมา หล่อนยังส่งมาตั้งเยอะ แล้วหนูก็เห็นหมูสามชั้นหมักอยู่ในลานบ้านหล่อนด้วย!”

หล่อนเห็นหมูสามชั้นหมักพวกนั้นแขวนอยู่บนราวเพื่อตากแดดให้แห้งสนิท ถึงมันจะอยู่ไกลออกไปแต่ก็ยังพอได้กลิ่นอยู่ ซึ่งมันหอมมาก!

แต่เธอกลับไม่ได้นำมาให้ที่นี่ ไหนบอกว่าเธอเป็นคนกตัญญูที่สุดไม่ใช่เหรอ?

คุณแม่จี้ย่นคิ้ว “นั่นพี่สะใภ้สามของแกทำไว้กินเอง มันยังผึ่งไม่ได้ที่”

“ยังผึ่งไม่ได้ที่อะไรคะ หนูว่ามันพร้อมกินได้แล้วต่างหาก หล่อนแค่จงใจไม่ได้นำมาให้แล้วทำให้เราอยากกินมากกว่า!” จี้อวิ๋นอวิ๋นขบเคี้ยวฟัน

คุณแม่จี้ได้ยินก็ทำท่าจะหยิกหล่อน “ถ้าแกว่างมากนักก็กลับไปรอที่ห้อง อยากกินก็กิน ไม่อยากกินก็วางมันลงซะ! ต่อให้เอาของดี ๆ มาให้แกกินเยอะขนาดไหน แกก็ไม่เลิกปากเสีย เสียดายของที่แกกินเข้าไปจริง ๆ”

ทันทีที่หล่อนพูดจบ ซูตานหงก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับถือเนื้อสามชั้นน้ำหนักเกือบ 2 ชั่งชิ้นหนึ่งมาด้วย

ซูตานหงเหลือบมองจี้อวิ๋นอวิ๋นก่อนจะมองคุณแม่จี้และเอ่ยขึ้น “คุณแม่คะ เจี้ยนอวิ๋นซื้อเนื้อนี่มาเมื่อเช้านี้ แล้วฉันก็เก็บเอาไว้ในตู้เย็น คิดว่าคุณแม่ไม่ได้ซื้อเนื้อมาก็เลยเอามาให้น่ะค่ะ คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ กินให้หมดได้เลย ไม่ต้องกันไว้ให้คุณพ่อหรอกค่ะ”

คุณแม่จี้รู้สึกหน้าเสียขึ้นมาเล็กน้อย จึงเอ่ยรัวเร็ว “ตานหง เอากลับไปเถอะ แม่ไม่ได้ใช้หรอก ส่วนนังเด็กนี่เธอก็ไม่ต้องไปสนใจอะไรหล่อน”

เป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่าตานหงไม่ได้ยินคำพูดของลูกสาวนาง ทำให้นางถึงกับหน้าเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว

ตอนนั้นลูกสาวนางพ่นคำพูดออกมาเต็มที่ ก่อนที่นางจะได้มีเวลาสั่งสอนหล่อน ตานหงก็เดินเข้ามาพร้อมกับเนื้อแล้ว

“ฉันมีอยู่ที่บ้านแล้วค่ะ ถ้าให้แค่น้องสามีฉันคงไม่เอามา ฉันตั้งใจเอามาแสดงความกตัญญูให้คุณแม่นะคะ” ซูตานหงพูดจบก็มอบเนื้อให้คุณแม่จี้ก่อนจะกลับไป

ทันทีที่เธอเดินจากไป คุณแม่จี้ก็หันไปมองลูกสาวด้วยสีหน้าบูดบึ้ง

จี้อวิ๋นอวิ๋นถึงกับสำลักและเอ่ยขึ้น “ใครจะไปรู้ล่ะคะว่าหล่อนจะมีเจตนาร้ายแอบดักฟังหนูอยู่ด้านนอกประตู!”

“หล่อนเอาเนื้อมาให้เพื่อที่จะได้ยินแกพูดแบบนี้น่ะเหรอ?” คุณแม่จี้แค่นแสยะ “กินข้าวไปซะ หลังกินเสร็จแล้วไปขอโทษพี่สะใภ้สามของแกด้วย ไม่อย่างนั้นคราวหน้าก็อย่าได้คีบกินของที่พี่สะใภ้สามเอามาให้อีก จะว่าไปผักในจานนี่ก็เก็บมาจากบ้านสะใภ้สามเหมือนกัน”

จี้อวิ๋นอวิ๋นโมโหมากจนตบมือพร้อมตะเกียบลงกับโต๊ะ “หนูไม่กินก็ไม่เป็นไรใช่ไหม? บ้านนี้ไม่มีหนูอยู่ในสายตาแล้วล่ะสิ ซูตานหงดีไปหมดทุกอย่าง แต่หนูไม่ดีสักอย่างสินะ!” พูดจบแล้วหล่อนก็วิ่งกลับเข้าห้องไป

คุณแม่จี้เห็นแล้วก็ปวดหัวหนึบ

หล่อนเสียคน เสียคนไปแล้วจริง ๆ เป็นเพราะนางคิดว่าหล่อนเป็นลูกที่เกิดตอนอายุมาก จึงตามใจหล่อนไปเสียหมด ไม่คิดเลยว่าในที่สุดแล้วการตามใจจะทำให้หล่อนมีนิสัยแบบนี้!

ต่อให้คุณแม่จี้จะโมโห นางก็ยังเก็บอาหารส่วนของหล่อนไว้ให้ แต่ก็ไม่สนใจหล่อน ถ้าอยากกินก็ออกมากินเอง ถ้าไม่อยากกินก็ปล่อยให้หิวไป

หลังกินเสร็จ คุณแม่จี้ก็ลงมือทำผักกาดดอง หลังจากหมักเกลือแล้วนางก็หยิบไหผักกาดดองมาที่บ้านครอบครัวสาม

“คุณแม่มาแล้วเหรอคะ กินข้าวหรือยังคะ?”

จี้เจี้ยนอวิ๋นกับซูตานหงกินอาหารเย็นกันแล้ว เมื่อเห็นนางมาหาพวกเขาก็เอ่ยทัก

“หลังกินข้าวเสร็จฉันก็มาที่นี่ล่ะ แล้วก็ทำผักดองให้เธอด้วย” คุณแม่จี้หัวเราะ

“ขอบคุณค่ะคุณแม่” ซูตานหงยิ้มพร้อมกับพยุงนางให้ไปนั่งที่โต๊ะอาหาร จากนั้นตักน้ำแกงกระดูกหมูให้นางหนึ่งชามก่อนเอ่ยขึ้น “คุณแม่กินน้ำแกงร้อน ๆ นี่จะได้หายหนาวนะคะ”

“ได้จ้ะ” คุณแม่จี้ยิ้ม ก่อนจะอ้ำอึ้งไป “ตานหง นังเด็กอวิ๋นอวิ๋นนั่นน่ะ….”

“คุณแม่พูดอะไรกันคะ? อวิ๋นอวิ๋นแค่มีนิสัยก้าวร้าวและยังไม่มีประสบการณ์ เมื่อไหร่ที่หล่อนมีประสบการณ์แล้ว หล่อนจะเติบโตด้วยตัวเองน่ะค่ะ” ซูตานหงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ไม่ถือว่าเป็นเรื่องจริงจังแต่อย่างใด

คุณแม่จี้เห็นแล้วก็โล่งใจ

“มีอะไรเหรอครับ?” จี้เจี้ยนอวิ๋นถาม

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” ซูตานหงส่ายหน้า

“แล้วนี่คุณพ่อได้กินหรือยัง แม่จะได้ส่งน้ำแกงไปให้ด้วยหลังจากที่เขากินเสร็จแล้ว” คุณแม่จี้ถาม

“เราส่งอาหารไปให้คุณพ่อก่อนที่พวกเราจะกินกันเสียอีกค่ะ คุณแม่ดื่มช้า ๆ นะคะ” ซูตานหงเอ่ย

พวกเขาจะส่งอาหารไปให้คุณพ่อจี้หลังจากที่กินกันเสร็จแล้วได้อย่างไรล่ะ? เป็นไปไม่ได้หรอก ก่อนจะลงมือกินกัน เธอได้บอกให้จี้เจี้ยนอวิ๋นนำไปส่งให้คุณพ่อจี้แล้ว

เธอเองยังบอกให้จี้เจี้ยนอวิ๋นซื้อปิ่นโตขนาดใหญ่ให้คุณพ่อจี้จากในตัวเมืองด้วย เป็นปิ่นโตบรรจุข้าวขนาดใหญ่ไม่ต่างจากชามสามใบ มีทั้งชั้นสำหรับใส่น้ำแกง ชั้นใส่ปลาและเนื้อ และชั้นใส่อาหารเบา ๆ

ไม่ว่าคนทั้งคู่จะกินอะไร คุณพ่อจี้ก็จะได้กินตามนั้น

ในบางครั้งคุณแม่จี้ก็จะมากินด้วย แต่ในเมื่อจี้อวิ๋นอวิ๋นกลับมาแล้ว ซูตานหงจึงไม่ได้เอ่ยปากเชิญนาง

เธอไม่อยากให้อาหารของเธอถูกแย่งกิน อยากกินก็ให้มากินเอง ให้ส่งไปให้กินคงเป็นไปไม่ได้หรอก

โดยเฉพาะวันนี้ที่เธอลืมส่งเนื้อและเพิ่งนึกขึ้นมาได้ตอนทำอาหารอยู่ในครัวเย็นนี้ และเห็นว่าเหรินเหรินนอนหลับแล้วจึงรีบส่งไปให้

โดยไม่ต้องบอกเลย เธอเองก็ลงบัญชีดำจี้อวิ๋นอวิ๋นไว้ในใจ

เมื่อคุณแม่จี้ได้ยินว่าส่งข้าวไปให้คุณพ่อจี้แล้ว นางก็ยิ้มแล้วเอ่ยออกมา “ตาเฒ่านั่นกับพวกแกสองคนคงไม่อยากกินอาหารฝีมือฉันแล้วสินะ”

เรื่องนี้ไม่จริงเหรอ?

คุณพ่อจี้กำลังกินข้าวอยู่บนภูเขา เขาได้กินอาหารสามมื้อทุกวัน ซึ่งแต่ละมื้ออุดมไปด้วยปลา เนื้อ และน้ำแกง แม้เขาจะอาศัยอยู่บนภูเขา เขาก็ไม่มีงานอะไรที่ต้องทำเลย ที่ทำก็แค่เฝ้าสวนเท่านั้น แล้วยังมีสวี่อ้ายตั๋งกับจี้หงจวินทำงานแทนด้วย ดังนั้นนับตั้งแต่ที่เขามาอยู่กับครอบครัวสาม คุณพ่อจี้ก็มีสภาพจิตใจที่ดีกว่าแต่ก่อนมาก

ชายชราไม่ต้องบอกเลยว่าสองสามีภรรยาบ้านสามมีอาหารการกินที่ดีขนาดไหน เพราะต่อให้เขาไม่ได้ลงมากินข้าวที่นี่ คนทั้งคู่ก็มีความเป็นอยู่แบบนี้โดยตลอด รวมทั้งบรรดาสุนัขบนภูเขาที่ไม่เคยกินของไม่ดีด้วย

………………………………………

Related

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

Status: Ongoing
คุณหนูซูผู้มีชีวิตอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ยึดหลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรมมาตั้งแต่ยังเล็ก ยังไม่ทันจะได้ออกเรือนนำเกียรติมาให้วงศ์ตระกูลกลับจับไข้สิ้นลมกลางสายฝนยามสารทฤดู และมาเกิดใหม่ในปี 1980 นางไม่คิดเลยว่าวิถีกุลสตรีในชาติที่แล้วของตนจะกลายเป็นคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมในยุคนี้ เนื่องจากเจ้าของร่างเดิม ซูตานหง ผู้กระทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการกินยาฆ่าแมลงตายคนนี้ นอกจากนามสกุลเดียวกันแล้วก็ไม่มีอะไรดีเหมือนนางเลยสักด้าน ถึงอย่างนั้นคุณหนูซูก็ไม่สนใจ นางคิดเพียงว่าจะใช้ทักษะที่มีอยู่มาสร้างเงินทอง ปลูกต้นไม้ดอกไม้มีค่า เย็บปักถักร้อยวาดภาพภูเขาสายน้ำอันงดงาม ใช้ชีวิตในชาตินี้ให้เรียบง่ายสุขสบายตามอัตภาพเท่านั้นและนี่ก็คือเรื่องราวของคุณหนูสูงศักดิ์จากยุคโบราณผู้มาเกิดใหม่ในร่างหญิงสาวยุค 80 เพื่อทำสวนทำไร่และให้กำเนิดบุตร นางจะเอาชีวิตรอดในยุคที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างไรบ้าง เอาใจช่วยคุณหนูซูไปพร้อมๆ กันได้ในเรื่องนี้เลย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท