ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] – ตอนที่ 82 สวนผลไม้ของพี่สามต้องเจริญแน่นอน!

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 82 สวนผลไม้ของพี่สามต้องเจริญแน่นอน!

“คิก ๆ เป็นเพราะเด็กคนนี้กินจุต่างหากล่ะจ๊ะ เธอคงไม่รู้หรอกว่าแต่ละครั้งเขาดื่มนมเยอะขนาดไหน ดูน้ำในขวดนี้สิ เขากินทีเดียวครึ่งขวดเลย” ซูตานหงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

เหรินเหรินน้อยหมดความสนใจต่อคนแปลกหน้าแล้ว และดื่มน้ำในขวดนมเด็กต่อ

หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็เริ่มดันขวดนมออก

อวิ๋นลี่ลี่เห็นแล้วก็ยอมรับว่าเด็กคนนี้ฉลาดจริง ๆ หากกินอิ่มพอแล้วก็จะไม่ต้องการของสิ่งนั้นอีก เขาต้องโตขนาดไหนกัน?

อวิ๋นลี่ลี่จึงเปลี่ยนไปคุยเรื่องขึ้นฉ่าย ว่าแม่สามีบอกด้วยตัวเองว่าเธอไม่ได้ปลูกไว้กินเอง แต่ปลูกไว้กินกันทั้งครอบครัว

“ในโรงเรือนต้นไม้ที่สวนหลังบ้านปลูกขึ้นฉ่ายไว้ไม่เยอะหรอกจ้ะ บางทีคุณแม่ก็จะมาเก็บไปบ้างเพื่อเปลี่ยนรสชาติอาหาร ซึ่งก็เก็บไปไม่เยอะ ถ้าเธอไม่เชื่อก็เดินไปดูที่สวนหลังบ้านก็ได้ ขึ้นฉ่ายไม่ใช่ต้นไม้ราคาแพงอะไรเลย แล้วทำไมพี่จะต้องซ่อนด้วยล่ะจ๊ะ?” ซูตานหงยิ้ม

อวิ๋นลี่ลี่ได้ฟังก็กระอักกระอ่วนเล็กน้อย ซูตานหงตอนนี้ชักจะมีพลังอำนาจขึ้นมาเรื่อย ๆ แล้ว สามารถพูดถากถางคนอื่นได้โดยไม่ต้องใช้คำหยาบคายด้วยซ้ำ

“ฉันก็รู้สึกว่ามันหอมเหมือนกันนะคะ” อวิ๋นลี่ลี่ยิ้มฝืด

“ต้องหอมสิจ๊ะ เป็นเพราะลูกชายพี่ไปฉี่รดทุกเช้า มันต้องอร่อยมากแน่ ๆ” ซูตานหงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

อวิ๋นลี่ลี่ไม่อยากจะพูดอะไรกับเธอต่อแล้ว เธอคงรังเกียจหล่อนจริง ๆ ใช่ไหม? ของแบบนี้หล่อนจะกินได้อย่างไร?

“พี่สะใภ้สามรู้ไหมคะว่าราคาบ้านในเมืองเจียงสุ่ยเพิ่มสูงขึ้นแล้ว” อวิ๋นลี่ลี่เปลี่ยนเรื่อง

ซูตานหงพยักหน้า “ได้ยินแล้วจ้ะ พี่ก็เลยว่าจะซื้อสักห้อง แต่ตอนนี้เงินทั้งหมดถูกใช้ไปกับสวนผลไม้หมดแล้ว ถ้าเธออยากซื้อ ในอนาคตก็ซื้อได้นะ ไม่น่าเหลือบ่ากว่าแรงเท่าไหร่หรอก”

เพียงประโยคเดียว อวิ๋นลี่ลี่ก็หมดหนทางที่จะคุยโวโอ้อวดในทันที

แต่อวิ๋นลี่ลี่ก็ไม่ใช่คนธรรมดาเช่นกัน หล่อนยิ้มและเอ่ยต่อ “ถ้าพี่ไม่ซื้อตอนนี้ อนาคตก็เป็นเรื่องยากที่จะซื้อแล้วนะคะ ตอนนี้ราคาบ้านพุ่งทะยานเร็วมาก แค่ตารางเมตรหนึ่งก็เกือบ 40 หยวนแล้ว”

ทว่าในชุมชนของพวกเขานับว่ายังดี ต่อให้ราคาเพิ่มขึ้นเช่นกัน มันก็เพิ่มเพียง 5 หรือ 6 หยวน

มันเป็นเฉพาะในชุมชนหลัก ๆ ที่ราคาเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตัว แต่ถึงอย่างนั้นบ้านของหล่อนก็มีราคาเพิ่มขึ้นราว 5 หรือ 6 หยวนเช่นกัน

ห้องขนาด 80 ตารางเมตรหลังคิดคำนวนดูแล้วก็มีราคาเพิ่มขึ้นถึง 400 หรือ 500 หยวน ซึ่งพอ ๆ กับเงินเดือนของพวกเขาทั้งสองคนรวมกันใน 1 ปีเลยทีเดียว

ซูตานหงหรือจะไม่รู้เรื่องนี้?

เธอได้รับข่าววงในมาจากหงเจี่ยแล้ว ห้องชุดในชุมชนที่เธอซื้อกับหงเจี่ยนั้นมีราคาเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าตัว แต่ก็เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะพูดว่าราคาบ้านเพิ่มสูงมาก ต้องบอกว่ามันเพิ่มขึ้นเฉพาะในบางพื้นที่สำคัญเท่านั้นเอง

ส่วนที่อื่น ๆ นั้นเพิ่มขึ้นก็จริง แต่ก็อย่างมาก 5 หรือ 6 หยวน อย่างไรก็ตามโดยภาพรวมแล้วถือว่าราคาเพิ่มขึ้น ซึ่งเฉลี่ยแล้วราคาจะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ราว 2 หรือ 3 หยวนต่อตารางเมตร เรื่องนี้ญาติของหงเจี่ยที่เป็นนายหน้าอหังสาริมทรัพย์เป็นคนบอกมา

ห้องชุดขนาด 100 ตารางเมตรหนึ่งห้อง ถ้ามีราคาเพิ่มขึ้นด้วยอัตราเท่านี้ ก็เท่ากับว่ามันจะเพิ่มขึ้น 200 หรือ 300 หยวน

เงินจำนวน 200 หรือ 300 หยวนนี้ ทำให้คนส่วนมากสามารถใช้เงินค่าแรงของพวกเขาไปกับเรื่องกินอยู่ได้ตลอดทั้งปีเลยทีเดียว

“จะว่าไปแล้วการที่ฉันซื้อบ้านไว้ตั้งแต่แรกก็นับว่าถูกจังหวะพอดีจริง ๆ นะคะ ไม่อย่างนั้นฉันก็คงไม่รู้ว่าจะเก็บตังซื้อได้ถึงตอนไหน” อวิ๋นลี่ลี่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

พวกเขาต่างมีรายได้กันทั้งคู่ ต่อให้ในวันธรรมดาต้องใช้จ่ายเงินมาก พวกเขาก็ได้เงินเดือนและรายได้อื่น ๆ ด้วยเช่นกัน ต่อให้หล่อนจะบอกว่าได้เงินเดือนเกือบ 20 หยวน แต่เมื่อรวมรายรับทางอื่นแล้วก็จะได้ประมาณ 23-24 หยวน ซึ่งจี้เจี้ยนเหวินเองก็มีรายรับประมาณนี้เช่นกัน

หล่อนวางแผนไว้ว่าปีนี้จะฝากลูกสาวให้พี่สะใภ้เป็นคนเลี้ยงดู และให้แม่สามีเป็นคนช่วยเลี้ยงดูอีกแรง เป็นแบบนี้หล่อนคงจะประหยัดค่าพี่เลี้ยงเด็กไปได้ เพราะหล่อนตั้งใจจะเก็บเงินไว้สัก 1 หรือ 2 ปีเพื่อจะจ่ายค่าจำนองบ้านในปีที่สาม

แต่หล่อนยังไม่เอ่ยแผนนี้ออกมา และไม่จำเป็นจะต้องพูดกับบรรดาพี่สะใภ้เหล่านี้ เมื่อถึงตอนนั้นหล่อนคงจะพูดเรื่องนี้กับแม่สามีได้ เพราะลูกของหล่อนก็เป็นหลานสาวของนางเช่นกัน

“ดีแล้วล่ะจ้ะที่ซื้อบ้านได้ในตอนนั้น ในอนาคตข้างหน้าพวกเธอสองคนจะได้สบาย เพราะการอยู่ในเมืองเจียงสุ่ยต้องใช้เงินไปกับทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เหมือนกับอยู่ในบ้านเกิดของเราที่เรามีทุกอย่างในที่ดินของตัวเอง” ซูตานหงเอ่ย “เธอได้ไปเห็นสวนของพี่แล้วหรือยังจ๊ะ?”

“สาวน้อยคนนั้นติดฉันมากเลยค่ะ แล้วฉันก็ไม่อยากพาหล่อนไปเผชิญกับอากาศเย็นแบบนี้ แต่ได้ยินเจี้ยนเหวินบอกมาว่ามันดีมากนะคะ” อวิ๋นลี่ลี่ยิ้ม

“พี่ก็ไม่รู้จ้ะว่าจะปลูกขึ้นไหม” ซูตานหงเอ่ยอย่างถ่อมตน “ถ้าปลูกขึ้นล่ะก็ ต่อไปภายหน้าเธอก็ไม่ต้องจ่ายเงินซื้อผลไม้กินเลย”

“แต่รู้สึกว่ามันดีนะคะ แล้วฉันจะรอดูค่ะ” อวิ๋นลี่ลี่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

ซูตานหงพูดว่าไม่เป็นไรก็จริง แต่ในใจคิดว่าขืนเธอกล้าตู่ว่าสวนผลไม้ของฉันเป็นของเธอล่ะก็เจอดีแน่ เธอกล้าลองไหมล่ะ?

พวกเธอดูถ้อยทีถ้อยอาศัยต่อกันไม่น้อย เมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้ว อวิ๋นลี่ลี่ก็ออกมาเปิดฝาเครื่องซักผ้าและขนเสื้อผ้าที่ซักเสร็จกลับไป

แต่หล่อนไม่กล้ากลับไปด้วยตัวเอง จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงต้องออกมาส่ง แต่ถึงอย่างนั้นต้าเฮยก็ยังจ้องมองหล่อนไม่วางตา

กลับมาถึงบ้านเก่าตระกูลจี้แล้ว คุณแม่จี้จึงได้ถามขึ้น “ทำไมเธอไปอยู่ที่นั่นนานจริง?”

“ฉันไปคุยกับพี่สะใภ้สามมาครู่หนึ่งน่ะค่ะ” อวิ๋นลี่ลี่ตอบ จากนั้นก็พูดด้วยความหวาดหวั่นที่ยังคงติดอยู่ในใจ “คุณแม่คะ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันคะที่บ้านพี่สามเลี้ยงหมาดำตัวใหญ่ขนาดนั้นไว้ มันดูแปลกแล้วก็น่ากลัวมากเลยค่ะ เป็นหมาพันธุ์อะไรกัน? พี่สามเอากลับมาจากกองทัพเหรอคะ?”

“พลทหารอย่างเขาจะเอาหมาของที่ค่ายกลับมาได้อย่างไรล่ะ? ตานหงเป็นคนเลี้ยงมันเองล่ะ เธอคงไม่รู้หรอกว่าหล่อนให้มันกินอาหารดีขนาดไหน ไม่แปลกใจหรอกว่าทำไมมันถึงโตเร็ว ไม่ใช่แค่ตัวนี้นะ ยังมีอีกสามตัวบนภูเขาด้วย ทุกตัวล้วนตัวใหญ่และดุร้ายกันหมดเลย แล้วพวกมันก็ดุมากด้วย ตราบใดที่ไม่มีเจตนาร้าย พวกมันก็ไม่กระโจนใส่หรอก” คุณแม่จี้พูด

บรรดาสุนัขของบ้านสามล้วนกินดีอยู่ดีกว่าสุนัขตัวอื่น ๆ พวกมันกินอาหารสองมื้อตรงเวลาทุกวัน ยิ่งกว่านั้นยังได้กินน้ำซุปเนื้อกับเนื้อตุ๋น ซึ่งนางเห็นแล้วก็ปวดใจอย่างยิ่ง

นางบอกแบบนี้หลายครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งตานหงผู้เป็นสะใภ้สามก็ไม่ใส่ใจอะไรนัก

ตอนนี้นางจึงทำได้เพียงปิดตาข้างเดียว เพราะสุนัขทั้งหมดล้วนเติบโตอย่างดีและดุร้ายกันทุกตัว สวนของลูกชายสามของนางช่างกว้างใหญ่นัก ดังนั้นจึงต้องมีสุนัขไว้เฝ้าสวนบ้าง!

ความจริงแล้วนางรู้สึกว่าการมีสุนัข 4 ตัวนี้ไร้ประโยชน์อยู่บ้างเช่นกัน

ตัวหนึ่งทำหน้าที่เฝ้าบ้าน เพราะเหรินเหรินน้อยยังเล็ก และบางครั้งเจี้ยนอวิ๋นก็ไม่อยู่บ้าน ตานหงคนเดียวคงทำอะไรไม่ได้

อวิ๋นลี่ลี่เม้มปากและเอ่ยขึ้น “คุณแม่คะ สวนของพี่สามจะงอกงามดีจริง ๆ เหรอคะ?”

“ยังไม่รู้เลย ค่อยดูปีหน้าแล้วกัน” คุณแม่จี้เอ่ยกลาง ๆ

ในตอนนี้เองจี้เจี้ยนเหวินก็กลับมาจากข้างนอกและยิ้มเมื่อได้ยินดังนี้ “คุณแม่ไม่ต้องกังวลนะครับ สวนของพี่สามจะต้องยิ่งใหญ่ และเจริญรุ่งเรืองในปีหน้าอย่างแน่นอน!”

เมื่อเห็นลูกชายแล้วคุณแม่จี้ก็ยิ้มออกมา “หนาวไหม? เดี๋ยวแม่ไปเอาน้ำให้แกก่อนนะ”

อวิ๋นลี่ลี่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กลอกตามองบนในทันทีในตอนที่เห็นการปฏิบัติตนของแม่สามีต่อลูกชาย หล่อนไม่เคยได้รับการปฏิบัติแบบนี้เลย

แต่อวิ๋นลี่ลี่ก็ไม่ได้โง่ และคำพูดของจี้เจี้ยนเหวินก็ทำให้หล่อนสะดุดใจเช่นกัน หล่อนจึงถามออกไป “เจี้ยนเหวิน ต้นไม้ผลในสวนบนภูเขาดูดีมากเลยเหรอคะ?”

……………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

สงครามจิตวิทยาระหว่างสะใภ้สามกับสะใภ้สี่เริ่มแล้วค่ะ แอบขำจนชาแทบพุ่งตอนที่ตานหงบอกว่าเอาฉี่ลูกชายไปรดขึ้นฉ่าย ๕๕๕

ที่บอกว่าสวนดูดีที่คือกะจะเคลมเหรอคะ ฝ่าด่านสมุนสามตัวบนภูเขาไปก่อนเถอะ

ไหหม่า(海馬)

Related

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

Status: Ongoing
คุณหนูซูผู้มีชีวิตอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ยึดหลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรมมาตั้งแต่ยังเล็ก ยังไม่ทันจะได้ออกเรือนนำเกียรติมาให้วงศ์ตระกูลกลับจับไข้สิ้นลมกลางสายฝนยามสารทฤดู และมาเกิดใหม่ในปี 1980 นางไม่คิดเลยว่าวิถีกุลสตรีในชาติที่แล้วของตนจะกลายเป็นคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมในยุคนี้ เนื่องจากเจ้าของร่างเดิม ซูตานหง ผู้กระทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการกินยาฆ่าแมลงตายคนนี้ นอกจากนามสกุลเดียวกันแล้วก็ไม่มีอะไรดีเหมือนนางเลยสักด้าน ถึงอย่างนั้นคุณหนูซูก็ไม่สนใจ นางคิดเพียงว่าจะใช้ทักษะที่มีอยู่มาสร้างเงินทอง ปลูกต้นไม้ดอกไม้มีค่า เย็บปักถักร้อยวาดภาพภูเขาสายน้ำอันงดงาม ใช้ชีวิตในชาตินี้ให้เรียบง่ายสุขสบายตามอัตภาพเท่านั้นและนี่ก็คือเรื่องราวของคุณหนูสูงศักดิ์จากยุคโบราณผู้มาเกิดใหม่ในร่างหญิงสาวยุค 80 เพื่อทำสวนทำไร่และให้กำเนิดบุตร นางจะเอาชีวิตรอดในยุคที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างไรบ้าง เอาใจช่วยคุณหนูซูไปพร้อมๆ กันได้ในเรื่องนี้เลย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท