ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] – ตอนที่ 101 สตรอเบอรี่และไม้ดอกกระถาง

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 101 สตรอเบอรี่และไม้ดอกกระถาง

ซูจิ้นตั๋งรีบพูดขึ้นในทันที “ไม่ต้องเยอะขนาดนั้นก็ได้”

เขาไม่อยากทำให้มันเป็นเรื่องรบกวนน้องสาวที่แต่งงานออกไปแล้ว เพราะทุกวันนี้น้องสาวของเขาก็มีเรื่องกับพี่สะใภ้สองคนในเรื่องที่ยกร้านให้เขาดูแลพอแล้ว

“เงินที่ฉันให้พี่ไปคือฉันให้ยืมนะคะ ไม่ใช่ให้เปล่า พี่จะยืมไปเท่าไหร่ก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อีกอย่างธุรกิจของพี่ก็เป็นไปด้วยดี ฉันยังจะต้องกังวลว่าพี่จะหาใช้คืนไม่ได้อยู่อีกเหรอคะ? แต่ถ้าพี่รองจะซื้อบ้านหลังนี้ พี่ต้องรีบหน่อยนะคะ เพราะหลังจากที่พี่เก็บเงินได้แล้วราคามันจะพุ่งสูงขึ้นอีก” ซูตานหงบอก

เมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลาต้องกลับบ้านแล้ว ซูตานหงก็บอกพี่ชายรองให้ไปส่งเธอกับลูกชายกลับ การมีรถขับทำให้พวกเขาได้กลับบ้านเร็วขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด

หลังซูจิ้นตั๋งกลับมาแล้ว เขาก็มาบอกกับสะใภ้รองซูถึงเรื่องที่จะซื้อบ้าน

“มันต้องใช้เงินเยอะมากอยู่นะคะ” เมื่อสะใภ้รองซูได้ยิน หล่อนก็รู้สึกมีแรงจูงใจขึ้นมา พูดตามตรงแล้วหลังจากมาได้ใช้ชีวิตอย่างตอนนี้ หล่อนก็ไม่อยากกลับไปที่ชนบทอีก อยากจะซื้อบ้านอาศัยอยู่ในเมืองนี่เลย!

ถ้าอยากจะอยู่ในเมืองตลอดไป สิ่งที่ต้องมีเป็นของตัวเองก็คือบ้าน ไม่อย่างนั้นคงอยู่ได้ไม่นานหรอก

“ตานหงบอกว่าถ้าเราอยากจะซื้อ หล่อนให้เรายืมได้ 1,500 หยวนนะ” ซูจิ้นตั๋งบอก

สะใภ้รองซูได้ยินดังนี้ก็ดีใจเนื้อเต้น และเอ่ยขึ้น “ไม่มีใครดีกับครอบครัวเราเท่าน้องสามีอีกแล้วล่ะค่ะ จิ้นตั๋ง ฉันมาคิดดูแล้ว คุณฟังที่น้องสามีพูดเถอะค่ะ ซื้อบ้านหลังนี้เถอะ!”

“ตอนนี้เรามีเงินมากเท่าไหร่?” ซูจิ้นตั๋งถาม

“มากกว่า 200 หยวนแล้วค่ะ!” สะใภ้รองซูตอบ หล่อนรู้สึกมีกำลังใจฮึดสู้ขึ้นมาเมื่อคิดว่าจะได้มาอยู่ในเมืองได้ถาวรหลังซื้อบ้านได้ “ฉันรู้ค่ะว่าตอนนี้มันยังน้อย แต่เราก็ทำเงินได้ไม่ช้าเหมือนกัน คราวหน้าถ้าคุณไปรับผักมาขาย คุณก็ลองถามชาวบ้านในหมู่บ้านรอบ ๆ ดูด้วยนะคะว่าพวกเขาสามารถไปจับปลาที่แม่น้ำได้หรือเปล่า ถ้ามีคุณก็ขนกลับมาด้วย เพราะวันนี้มีลูกค้าบางคนมาถามอยู่น่ะค่ะว่าทำไมถึงไม่เอาปลามาขายบ้าง!”

“ตกลงครับ” ซูจิ้นตั๋งเห็นด้วย

ทั้งคู่ต่างมีแรงจูงใจที่จะซื้อบ้านและอาศัยอยู่ในเมืองอย่างแท้จริง

ซูตานหงกลับมาที่บ้านแล้วเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้จี้เจี้ยนอวิ๋นฟัง ซึ่งจี้เจี้ยนอวิ๋นก็เห็นด้วยกับเธอและพูดว่า “บ้านหลังนี้ถ้าได้ซื้อตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็ถือว่าดีมากเลยนะ”

ตอนที่เขาเช่าร้านมาในขณะนั้นมันยังตึงมือเขาอยู่ ไม่อย่างนั้นเขาก็จะซื้อร้านนั้นไว้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว

ในอนาคตถ้าซูจิ้นตั๋งต้องการบ้านกับหน้าร้านนี้ก็ให้เขาซื้อไว้ ตอนนี้ก็ให้เช่าไปก่อน แต่คงไม่ดีเท่าใดนักถ้าคิดจะเช่าบ้านอยู่ไปตลอดชีวิต

“เมื่อถึงสิ้นปีแล้วเราควรจะให้พี่ชายรองยืมเงินมากขึ้นนะ ให้เขาซื้อบ้านก่อนแล้วค่อยให้เขาหามาใช้คืนเราทีหลัง” จี้เจี้ยนอวิ๋นพูด

ซูตานหงยิ้มและเหลือบมองเขา “ถ้างั้นคุณก็อย่าบอกเรื่องนี้กับคุณแม่นะคะ”

“ผมยังบอกเรื่องนี้ได้ด้วยเหรอ?” จี้เจี้ยนอวิ๋นเหลือบมองเธอกลับ

ซูตานหงยิ้ม “คุณดูแลลูกไปนะคะ ฉันจะไปทำกับข้าวก่อน”

เธอมาที่ห้องครัวเพื่อทำกับข้าวก่อน เรื่องที่จะช่วยครอบครัวทางฝั่งแม่นั้นแน่นอนว่าเป็นเรื่องที่รู้กันอยู่เพียงพวกเขาสองคน แม่สามีของเธอนั้นหูตาไวอย่างมาก ถ้านางรู้ว่าเธอให้คนทางบ้านยืมเงินมากขนาดนั้น นางคงต้องคิดอะไรอยู่ในใจ และหาทางค่อนแคะเธอได้

คราวที่แล้วที่เธอยกร้านให้พี่ชายรองจากบ้านแม่เป็นคนดูแลโดยไม่ให้พี่ชายทั้งสองคนของเจี้ยนอวิ๋นเป็นคนดูแลก็คราวหนึ่งแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่ผลดีต่อคุณแม่จี้อย่างแน่นอน

เพราะไม่ว่าจะอย่างไรสองคนนั้นก็เป็นลูกชายแท้ ๆ ของนาง แต่การทำงานและนิสัยของพี่ชายรองของเธอก็ไร้ข้อกังขา แถมพ่อสามียังคอยเป็นคนหนุนอยู่ด้วย จึงทำให้แม่สามีของเธอไม่กล้าพูดอะไรมากนัก แต่ถ้าไปบอกอะไรกับนางในเรื่องนี้ ครั้งนี้คงจะเกิดอะไรอย่างที่กล่าวมาขึ้นแน่ ๆ

เธอมีความสัมพันธ์ที่ดีกับแม่สามีก็จริง แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้มีผลอะไรกับเรื่องนี้

ส่วนเรื่องที่ว่าพี่ชายรองกับพี่สะใภ้รองของบ้านฝั่งแม่จะเป็นฝ่ายเปิดโปงนั้นไม่จำเป็นต้องกังวลเลย ท้้งคู่ปากหนักมากกว่าเธอเสียอีก

เธอทำอาหารเสร็จแล้วก็ให้จี้เจี้ยนอวิ๋นนำไปส่งให้คุณพ่อจี้กับคุณแม่จี้ เพื่อให้พวกเขาได้กินกันเมื่อกลับมาถึง

พูดถึงสวนผลไม้แล้ว จี้เจี้ยนอวิ๋นก็ยิ้มออกมา “แม่ปลูกแตงโมกับสตรอเบอรี่ไว้เยอะเลย แล้วก็คงจะขายได้ในราคาดีภายในเร็ว ๆ นี้ล่ะ”

“คุณแม่บอกว่าให้แบ่งกับฉันครึ่งต่อครึ่งน่ะค่ะ ผู้ชายอย่างพวกคุณไม่เกี่ยวอะไรหรอก” ซูตานหงยิ้ม

แม่สามีของเธอบอกเธอเมื่อก่อนหน้านั้นว่าจะแบ่งของกันสองต่อหนึ่ง ซึ่งเดิมทีซูตานหงกะจะให้ทั้งหมด แต่คุณแม่จี้ก็ไม่ดีใจ ซูตานหงจึงได้แต่สัญญาว่าจะแบ่งให้ทุกคนเท่า ๆ กัน คุณแม่จี้จึงวางใจลง

ซึ่งตอนนี้คุณแม่จี้ก็ทุ่มเทไปกับการปลูกสตรอเบอรี่กับแตงโม และนางก็ปลูกได้ดีมาก

แตงโมเจริญเติบโตได้ดี ส่วนสตอเบอรี่นั้นคุณแม่จี้ยังไม่เห็นผลผลิตในปีนี้ ปีนี้นางจะบำรุงต้นก่อน และค่อยเก็บเกี่ยวผลผลิตในปีหน้า

แต่สิ่งที่ทำให้คุณแม่จี้ประหลาดใจก็คือสตรอเบอรี่กลับโตเร็วมากจนมีขนาดต้นพอ ๆ กับต้นกล้าที่เติบโตจนเข้าฤดูที่สองเลยทีเดียว เมื่อเห็นว่าใกล้จะได้ผลผลิตแล้ว คุณแม่จี้ก็ดีใจมากและตั้งใจรออย่างจดจ่อ

ต้นผลไม้ในสวนของซูตานหงล้วนเจริญเติบโตดีกว่าสวนไม้ผลบนภูเขาที่อื่นอย่างเห็นชัด ตอนนี้สตรอเบอรี่เริ่มจะติดผลเล็ก ๆ แล้ว ด้วยอัตราเท่านั้นเกรงว่าอีกภายในครึ่งเดือนก็จะได้เก็บเกี่ยวผลผลิต

ส่วนแตงโมนั้นก็เติบโตไวมากเช่นกัน แต่ไม่ไวเกินไปนัก

ทว่าพวกเขาที่เป็นคนปลูกในสวนของตัวเองย่อมรู้ว่าพวกมันโตเร็ว และไม่มีใครเอ่ยอะไรกับเรื่องนี้

“ภรรยา คุณคิดว่ามันจะดูดีไหมครับถ้าเอาเบญจมาศพวกนี้ไปปลูกในบ้านของเรา?” จี้เจี้ยนอวิ๋นถามในตอนที่เขายกกระถางเบญจมาศออกมารับแดดในวันนั้น

“ในบ้านเราไม่มีอะไรอยู่เลย ถ้าได้ต้นไม้ใบหญ้ามาปลูกประดับหน่อยก็น่าจะดีค่ะ” ซูตานหงบอก

“งั้นผมไปขอเมล็ดเพิ่มจากคุณป้าหูดีไหม?” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ย

“ไม่เป็นไรค่ะ คุณบอกให้คุณป้าหูมาที่บ้านเราดีกว่า ท่านจะได้ไม่เข้าใจผิดว่าฉันปลูกต้นกล้าเบญจมาศที่ท่านให้มาไม่ขึ้น” ซูตานหงบอกด้วยรอยยิ้ม

จี้เจี้ยนอวิ๋นเองก็อยากทำให้บ้านของเขาดูดีขึ้น ถ้าชาวบ้านมาเห็นแล้วถามว่าได้ดอกไม้พวกนี้มาจากไหน ก็จะได้บอกว่ามาจากบ้านตระกูลหู ดังนั้นเขาจึงมาหาที่บ้านตระกูลหู

ทันทีที่คุณป้าหูรู้ว่าซูตานหงเป็นคนเชิญนางมาดูต้นกล้าเบญจมาศที่เคยให้ไป นางก็บังเกิดความสนใจขึ้นมา และมีความรู้สึกที่ดีต่อซูตานหงมาก

ครั้นมาถึงที่แล้ว นางก็ต้องตกตะลึงไปกับเบญจมาศทั้งสี่กระถางที่เหมือนจะเจริญงอกงามดีกว่าที่นางปลูกเองเสียอีก

“ตานหง ทำไมเธอปลูกได้ถึงขนาดนี้ล่ะจ๊ะ?” คุณป้าหูไม่ได้สนใจอะไรอย่างอื่นแล้ว ครอบครัวของนางอยู่มากับการปลูกดอกไม้ขาย จึงเป็นธรรมดาที่นางจะบูชาคุณค่าในเรื่องนี้เหนือสิ่งอื่นใด และสามารถประเมินคุณค่าของต้นไม้ได้ในทันทีที่ตาเห็น

เบญจมาศทุกกระถางล้วนดูเขียวชอุ่มเหมือนกับที่ครอบครัวของนางปลูกทุกอย่าง ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจได้ แต่ต่อให้ดอกไม้ที่นางปลูกนั้นจะดูดี พวกมันก็ไม่ได้ดูมีจิตวิญญาณเหมือนกับที่ภรรยาของเจี้ยนอวิ๋นปลูก ต้องบอกว่ามันทั้งดูแข็งแรงมีชีวิตชีวาเลยทีเดียว!

คนธรรมดาอาจไม่ทันสังเกตเห็น แต่คุณป้าหูสามารถมองเห็นได้เพียงกวาดสายตามองแวบเดียว

“คุณป้าคะ ลานบ้านของบ้านฉันดูโล่งไปนิดหน่อยน่ะค่ะ ฉันเลยอยากปลูกเพิ่มอีก ไม่ทราบว่าคุณป้าจะให้เมล็ดดอกไม้กับฉันได้ไหมคะ”ซูตานหงถาม

“ได้จ้ะ” ครั้งนี้คุณป้าหูไม่มีท่าทางอิดออดแต่อย่างใด นางเห็นแล้วว่าภรรยาของเจี้ยนอวิ๋นมีความสามารถจริง ๆ จึงจัดการหยิบเมล็ดดอกไม้ให้หนึ่งกำมือและพูดว่า “เธอลองเพาะเมล็ดพวกนี้ดูก่อนนะ รอให้ป้าได้เมล็ดดี ๆ มาก่อน ตอนนี้เธอก็ปลูกเลี้ยงเบญจมาศในกระถางพวกนี้ต่อไป ถ้าถึงเวลาแล้วก็ค่อยส่งมาให้ป้า ส่วนรายได้ที่จะแบ่งกันนั้นไม่ต้องแบ่งกันครึ่งต่อครึ่งหรอก แบ่งกันแบบเธอได้เจ็ดป้าได้สามไปเลยจ้ะ”

ซูตานหงส่ายหน้า “แบ่งกันครึ่งต่อครึ่งอย่างที่ฉันพูดเมื่อคราวที่แล้วเถอะค่ะ คุณป้าไม่ต้องเกรงใจฉันหรอก ในอนาคตเรายังต้องร่วมมือกันอีกนานเลยล่ะค่ะ”

………………………………………

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

Status: Ongoing
คุณหนูซูผู้มีชีวิตอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ยึดหลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรมมาตั้งแต่ยังเล็ก ยังไม่ทันจะได้ออกเรือนนำเกียรติมาให้วงศ์ตระกูลกลับจับไข้สิ้นลมกลางสายฝนยามสารทฤดู และมาเกิดใหม่ในปี 1980 นางไม่คิดเลยว่าวิถีกุลสตรีในชาติที่แล้วของตนจะกลายเป็นคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมในยุคนี้ เนื่องจากเจ้าของร่างเดิม ซูตานหง ผู้กระทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการกินยาฆ่าแมลงตายคนนี้ นอกจากนามสกุลเดียวกันแล้วก็ไม่มีอะไรดีเหมือนนางเลยสักด้าน ถึงอย่างนั้นคุณหนูซูก็ไม่สนใจ นางคิดเพียงว่าจะใช้ทักษะที่มีอยู่มาสร้างเงินทอง ปลูกต้นไม้ดอกไม้มีค่า เย็บปักถักร้อยวาดภาพภูเขาสายน้ำอันงดงาม ใช้ชีวิตในชาตินี้ให้เรียบง่ายสุขสบายตามอัตภาพเท่านั้นและนี่ก็คือเรื่องราวของคุณหนูสูงศักดิ์จากยุคโบราณผู้มาเกิดใหม่ในร่างหญิงสาวยุค 80 เพื่อทำสวนทำไร่และให้กำเนิดบุตร นางจะเอาชีวิตรอดในยุคที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างไรบ้าง เอาใจช่วยคุณหนูซูไปพร้อมๆ กันได้ในเรื่องนี้เลย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท