ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] – ตอนที่ 124 ทะเลาะกันใหญ่โต

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 124 ทะเลาะกันใหญ่โต

อวิ๋นลี่ลี่เองก็รู้ว่าครั้งนี้ตนเองกำลังถูกเชือดเฉือนเหวอะหวะจึงรู้สึกโมโหขึ้นมาเช่นกัน หล่อนมองหน้าเฝิงฟางฟางกับจี้มู่ตานและเอ่ยขึ้น “พี่สะใภ้ใหญ่กับพี่สะใภ้รองนี่กัดไม่ปล่อยเลยนะคะ จะยกโทษเรื่องที่พวกเราสองคนยังต้องจ่ายค่าจำนองบ้านกันอยู่ไม่ได้เหรอ แค่หนี้มหาศาลพวกนั้นที่กดทับพวกเราอยู่พวกเราก็จะหายใจกันไม่ออกอยู่แล้ว เงินที่เก็บไว้ก็มีแค่นิดเดียว ไม่เพียงพอที่จะให้พวกท่านหรอกค่ะ แต่ทั้งพี่สะใภ้ใหญ่กับพี่สะใภ้รองอยู่ในหมู่บ้านตลอดทั้งปี แล้วก็ยังมีน้ำใจจากพี่สะใภ้สามด้วย กับการขนข้าวโพดบดมากมายมานี่ ข้าวโพดบดนี่คงถือเป็นเงินมหาศาลเลยสินะคะ เพียงพอที่จะให้พี่สะใภ้ใหญ่กับพี่สะใภ้รองมาต่อว่าน้องชายสี่เลยทีเดียว!”

มันก็แค่ข้าวโพดบดจำนวนหนึ่งไม่ใช่เหรอ? จะมีค่ามากขนาดไหนล่ะ? คนทั้งคู่มีค่าจำนองบ้านที่ต้องจ่ายและทุกวันนี้ก็อยู่กินกันอย่างประหยัด แต่หลังจากพ้นช่วงนี้ไปแล้วมันก็คงจะดีขึ้น ถึงตอนนั้นก็มีเงินพอจะจ่ายค่าเลี้ยงดูให้อย่างแน่นอน

ในตอนนี้ที่พวกเขายังขัดสนกันอยู่ มันสมควรพูดแบบนี้เหรอ? พูดราวกับว่าพวกเขาอกตัญญูเสียเต็มประดา!

“อ้อ แล้วเธอยังคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกงั้นเหรอกับการไม่แสดงความกตัญญูเลยมาตลอดทั้งปี?” เฝิงฟางฟางแค่นเสียง

“ฉันไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องถูกหรอกค่ะ แต่ตอนนี้พ่อแม่ฉันก็อดอยากเหมือนกัน พวกเราสามีภรรยาก็มีหนี้จำนองบ้านท่วมหัว เรื่องหลักในตอนนี้จึงเป็นการผ่อนค่าจำนองบ้านก่อน ถ้าผ่อนหมดแล้วเราจะพาคุณพ่อคุณแม่ไปอยู่ใช้ชีวิตด้วยกันในเมือง ถึงตอนนั้นก็คงไม่ได้อยู่กับพี่สะใภ้ใหญ่กับพี่สะใภ้รองแล้วล่ะค่ะ แค่ให้ข้าวโพดบดที่สะสมมาตลอดทั้งปีก็คิดว่าทำเรื่องยอดเยี่ยมเสียแล้ว!” อวิ๋นลี่ลี่แค่นเสียงเย็นชา

“ต่อให้เป็นข้าวโพดบดแล้วก็ยังดีกว่าเธอไหมล่ะ? เป็นครูสอนเด็กนักเรียนอยู่ในเมืองเจียงสุ่ยแท้ ๆ กับพ่อแม่สามียังไม่เคารพ แล้วเธอจะไปสอนนักเรียนดี ๆ ที่ไหนได้!” จี้มู่ตานพูด

หลังจากนั้นก็มีเรื่องทะเลาะกันใหญ่โต

ซูตานหงได้ยินเรื่องนี้หลังจากนั้นเอง แต่เธอไม่ได้ไปที่นั่นและไม่สนใจเรื่องนี้ ตอนนี้เธอกำลังตั้งครรภ์อยู่ เกิดไปร่วมผสมโรงด้วยแล้วมีการผลักกันขึ้นมา แล้วเธอจะไม่ถูกลูกหลงจนเกิดอุบัติเหตุกับครรภ์ของเธอเหรอ?

อีกอย่างมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่มีเรื่องอะไรให้เธอต้องไปหรอก

แต่เมื่อจี้เจี้ยนอวิ๋นกลับมา เธอก็ยังมาที่บ้านหลักพร้อมกับเขา ไม่เพียงแต่สองสามีภรรยาคู่นี้เท่านั้น จี้เจี้ยนกั๋วกับจี้เจี้ยนเยี่ยก็มาด้วย พวกเขาพอจะรู้ว่าภรรยาของตนมีบ่น ๆ กันบ้าง แต่ไม่รู้เลยว่าพวกหล่อนมาที่นี่ก็เพื่อมาก่อเรื่องวุ่นวาย

ทั้งสองช่างไร้ยางอายจริง ๆ

เพราะความจริงแล้วทั้งคู่ไม่ได้ผลผลิตมากนัก ข้าว 50 ชั่งกับข้าวโพดบด 20 ชั่ง พอมีบ้านสี่มาด้วยแล้วมันก็ห่างจากคำว่ามากอยู่ห้าสิบก้าวร้อยก้าว

ปีนี้สองสามีภรรยาชราได้รับการเลี้ยงดูโดยเจี้ยนอวิ๋น พวกเขาจึงไม่มีหน้าที่อะไร แต่ทำไมภรรยาของพวกเขาถึงได้ทำหน้าใหญ่ใจโตมาก่อเรื่องวิวาทแบบนี้

หลังจากที่พวกเขามาถึง คุณพ่อจี้ก็ตามมาในเวลาไม่นาน

จากนั้นทั้งครอบครัวจึงได้มาเจอหน้ากัน และสรุปความได้ว่าในภายภาคหน้าแต่ละครอบครัวต้องให้เงินกับอาหารแก่ผู้ที่ต้องการจะนำอาหารมาให้ แน่นอนว่าใครจะไม่ให้เลยก็ได้ แต่ถ้าให้แล้วก็อย่าพูดอะไร

ซูตานหงยิ้ม “ว่ากันว่าครอบครัวเก่าแก่ก็เหมือนสมบัติ ดังนั้นอย่าทะเลาะกันเลยค่ะ ในภายหน้าคุณพ่อกับคุณแม่จะมากินข้าวที่บ้านสามของฉันเอง”

“พี่สะใภ้สาม เป็นแบบนี้ไม่ได้หรอกครับ พ่อแม่ก็เป็นส่วนหนึ่งของเราเหมือนกัน” จี้เจี้ยนเหวินพูดรัวเร็ว เขาเองก็ยังอยากได้หน้าอยู่เช่นกัน จะเห็นด้วยกับเรื่องนี้ได้อย่างไร

“ไม่มีทาง มันยังไม่ถึงจุดที่ต้องดูแลคุณพ่อคุณแม่แบบนั้นหรอก” จี้มู่ตานไม่เข้าใจซูตานหงเลย แม้จะได้เงินบางส่วนแล้วหล่อนก็ยังทนไม่ได้และเอ่ยเสียดสีขึ้นมา

“ต่อให้คุณพ่อคุณแม่ยังไม่ถึงจุดนั้นก็จริง แต่ก็มีวันที่พวกท่านจะถึงจุดนั้นเหมือนกัน ทำไมพวกพี่ถึงต้องมาสร้างปัญหากันที่นี่? พี่เอาข้าวโพดบดมาเท่าไหร่เดี๋ยวเอากลับไปเท่านั้นเลยนะคะ แล้วภายหน้าอย่าเอามาอีก คุณพ่อคุณแม่ไม่ใช่หนุ่มสาวกันแล้ว ไม่ได้พร้อมรับมือกับการที่พี่เอาข้าวโพดบดมาให้แล้วสร้างปัญหาหรอกค่ะ!” ซูตานหงเอ่ยเบา ๆ

ครั้งนี้เธอพูดแบบไม่เกรงใจแล้ว

อวิ๋นลี่ลี่ยังเคืองอยู่เล็กน้อย หล่อนผิดก็จริงที่ไม่นำของอะไรมาให้เลยตอนกลับมาเยี่ยมในวันปีใหม่ แต่จี้มู่ตานทำถูกแล้วเหรอ? อยู่หมู่บ้านเดียวกันแท้ ๆ แต่กลับนำข้าวโพดบดของทั้งปีมาให้ ชวนทะเลาะกันแบบนี้ไม่อายบ้างหรือ?

“ใช่สิ ครอบครัวฉันไม่ได้รวยเหมือนครอบครัวเธอในตอนนี้นี่ เธอถึงได้มั่นใจที่จะพูดแบบนี้ได้!” จี้มู่ตานแค่นเสียง

“ใช่ค่ะ ครอบครัวฉันรวยแล้ว แต่กว่าที่เจี้ยนอวิ๋นจะหาเงินได้ทีละน้อยนั่นก็ลำบากไม่น้อย เขาไม่ได้ขโมยหรือฉ้อโกงใคร แล้วเขาก็ตรงไปตรงมามากกว่าใครหลาย ๆ คนด้วย!” ซูตานหงเอ่ยเบา ๆ

จี้มู่ตานถึงกับสำลัก

“เห็นว่าทุกคนอยู่ที่นี่กันหมด งั้นฉันจะพูดเรื่องนี้แล้วกันนะคะ คุณพ่อคุณแม่อยู่ที่นี่แล้ว พวกคุณจะเคารพพวกท่านหรือไม่นั่นก็เรื่องของพวกคุณ แต่ถ้ามีเจี้ยนอวิ๋นอยู่ พวกท่านก็ไม่มีวันอดอยาก นับจากนี้ไปฉันจะเป็นคนให้ของพวกนี้เพื่อทำให้พวกท่านรู้สึกเป็นกังวลน้อยลง ฉันไม่คิดว่าใครจะให้อะไรน้อยกว่าใครหรอกค่ะ ถ้าคุณอยากเรียนรู้ก็ทำตาม แค่รู้อยู่แก่ใจตัวเองก็พอ ไม่อย่างนั้นก็ใช้ชีวิตอย่างตัวใครตัวมันไป ในเมื่อปีหนึ่งได้เจอกันแค่ครั้งเดียวแล้ว ก็อย่าก่อเรื่องวิวาทจนดูน่าเกลียดเพราะเรื่องเล็กน้อยนี้เลยค่ะ!” ซูตานหงเอ่ยตรง ๆ

จี้เจี้ยนอวิ๋นมองพี่ชายคนโตกับพี่ชายคนรองด้วยสีหน้านิ่งสงบ และเอ่ยขึ้น “พี่ใหญ่ พี่รอง พวกพี่จะว่าอย่างไรครับ?”

จี้เจี้ยนกั๋วกับจี้เจี้ยนเยี่ยต่างมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ส่วนเฝิงฟางฟางกับจี้มู่ตานต่างมีสีหน้าสงบลง

เฝิงฟางฟางย่อมมีความคิดอยู่ในใจอยู่แล้ว เพียงแต่หล่อนไม่อยากงัดข้อกับซูตานหง จึงได้แต่เงียบไว้

ส่วนจี้มู่ตานได้เอ่ยสิ่งที่ต้องการเอ่ยออกไปแล้ว จึงไม่มีอะไรต้องพูดอีก

“นับจากนี้แม่พวกเธอกับฉันจะทำงานให้เจี้ยนอวิ๋นและกินอาหารที่บ้านของเขา พวกเธอทั้งสามใช้ชีวิตของตัวเองไป ไม่ต้องเอาของอะไรมาให้ที่นี่อีก” คราวนี้เองคุณพ่อจี้ที่เงียบอยู่นานก็พูดขึ้น

เมื่อเขาเอ่ยขึ้น ทุกคนก็เงียบกริบ

“คุณพ่อพูดถูก นับจากนี้พวกเราจะกินข้าวที่บ้านของเจี้ยนอวิ๋น ส่วนพวกเธอก็มีชีวิตของตัวเองไป ส่วนข้าวโพดบดที่เอามาให้ก็ค่อยเอากลับไปทีหลังแล้วกัน”

“แม่ครับ รับของไว้บ้างเถอะครับ” จี้เจี้ยนกั๋วเอ่ย

จี้เจี้ยนเยี่ยเองก็เอ่ยละล่ำละลัก “แม่ครับ เดี๋ยวคราวหลังผมจะเอามาให้มากกว่านี้นะครับ!”

คุณแม่จี้ไม่เอ่ยอะไร

คุณพ่อจี้ลุกขึ้นและเอ่ยออกมา “เอาล่ะ ทีนี้ก็แยกย้ายกันได้แล้ว”

เมื่อคุณพ่อจี้เอ่ยดังนั้น เขาก็ลุกขึ้นคนแรกและไม่อยู่ที่บ้านนานนัก แต่เดินขึ้นไปบนภูเขา แม้จะรู้สึกเศร้าใจ แต่เขายังมีงานต้องทำอีกมากบนภูเขา เล้าไก่ของเจี้ยนอวิ๋นยังต้องการคนดูแล เพื่อที่เจี้ยนอวิ๋นจะได้ขับรถขนพวกมันไปขายในเมืองมหาวิทยาลัยในฤดูใบไม้ผลิหน้าได้

หลังจากคุณพ่อจี้กลับไป จี้เจี้ยนกั๋วกับจี้เจี้ยนเยี่ยก็พาภรรยาของพวกตนกลับบ้าน

ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกหรือความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง พวกมันต่างก็ถึงจุดแตกหักร้าวฉานแล้ว และไม่รู้ว่ารอยร้าวฉานนี้จะสามารถสมานกันได้ในภายภาคหน้าหรือไม่

“พี่สาม เรื่องนี้เป็นความผิดของผมเองครับ” จี้เจี้ยนเหวินถอนหายใจ

จี้เจี้ยนอวิ๋นมองเขา “ก็จริงที่นายทำไม่ถูก เรื่องผ่อนค่าบ้านถือเป็นเรื่องใหญ่ นายอยู่ในสภาพกดดันแบบนั้นจะเลี้ยงพ่อกับแม่ไหวเหรอ? แต่ของตอบแทนจะน้อยจะมากมันก็มีความหมาย มันไม่น่าเกลียดหรอกถ้าจะนำมาด้วย!”

ในสายตาของจี้เจี้ยนอวิ๋น เรื่องนี้เป็นความผิดของน้องชายอย่างชัดเจน สะใภ้สี่ไม่ใช่คนใจกว้าง แต่น้องสี่ก็ไม่ทำอะไรให้ชัดเจนเช่นกัน พวกเขาไม่รู้หรืออย่างไรว่าอีกสองบ้านจะไม่พอใจถ้าพวกเขาไม่เอาอะไรมาด้วย บทเรียนปีที่แล้วก็มีอยู่ให้เห็น แต่ปีนี้ก็ยังทำผิดซ้ำสองอีก!

ส่วนพี่ชายอีกสองคนนั้นก็ใช่ว่าจะดีนัก พี่ชายคนโตทั้งสองช่างไม่มีความเป็นลูกผู้ชาย ปล่อยให้สองสะใภ้นี้มาหาเรื่องกันได้!

“ให้พวกเขาเอาข้าวโพดบดกลับไปเถอะ” คุณแม่จี้พูด

“คุณแม่คะ ในเมื่อมันอยู่ที่นี่แล้วก็รับไว้เถอะค่ะ” ซูตานหงบอก

มันคงจะดูน่าเกลียดหากจะส่งคืนกลับไปอีกครั้ง แล้วเพื่อนบ้านจะพากันหาว่าเป็นเรื่องน่าเกลียดที่ทะเลาะกันเพียงเพราะของเล็กน้อยนี้ได้ นี่ไม่ใช่ยุคอดอยากเมื่อก่อนหน้านั้นนะ

คุณแม่จี้ไม่เอ่ยอะไร

จี้เจี้ยนอวิ๋นกลับไปพร้อมกับซูตานหงในเวลาไม่นาน แต่เห็นชัดว่าเขามีอารมณ์ไม่ค่อยสู้ดีนัก

“อย่าโมโหไปเลยค่ะ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ขนาดนั้นหรอก” ซูตานหงบอก

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

รู้สึกเหนื่อยใจกับครอบครัวนี้ ปีใหม่ทีไรต้องสวดมนต์ภาวนาว่าอย่าตีกันทุกครั้งเลยสิน่า

ผู้แปลมีเรื่องจะแจ้งค่ะ ในตอนนี้เองสำนักพิมพ์ของเราก็ได้ฤกษ์เปิดตัวนิยายเรื่องใหม่พอดี ชื่อว่า “ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน” เรื่องนี้ก็เป็นแนวทะลุมิติอีกเรื่องหนึ่งเหมือนกัน แต่เป็นสาวยุคปัจจุบันทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวในยุคจีนโบราณมาทำไร่ทำสวน เธอจะฝ่าฟันกับความลำบากในยุคโบราณอย่างไรบ้าง โปรดติดตามกันด้วยนะค้า

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

Status: Ongoing
คุณหนูซูผู้มีชีวิตอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ยึดหลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรมมาตั้งแต่ยังเล็ก ยังไม่ทันจะได้ออกเรือนนำเกียรติมาให้วงศ์ตระกูลกลับจับไข้สิ้นลมกลางสายฝนยามสารทฤดู และมาเกิดใหม่ในปี 1980 นางไม่คิดเลยว่าวิถีกุลสตรีในชาติที่แล้วของตนจะกลายเป็นคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมในยุคนี้ เนื่องจากเจ้าของร่างเดิม ซูตานหง ผู้กระทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการกินยาฆ่าแมลงตายคนนี้ นอกจากนามสกุลเดียวกันแล้วก็ไม่มีอะไรดีเหมือนนางเลยสักด้าน ถึงอย่างนั้นคุณหนูซูก็ไม่สนใจ นางคิดเพียงว่าจะใช้ทักษะที่มีอยู่มาสร้างเงินทอง ปลูกต้นไม้ดอกไม้มีค่า เย็บปักถักร้อยวาดภาพภูเขาสายน้ำอันงดงาม ใช้ชีวิตในชาตินี้ให้เรียบง่ายสุขสบายตามอัตภาพเท่านั้นและนี่ก็คือเรื่องราวของคุณหนูสูงศักดิ์จากยุคโบราณผู้มาเกิดใหม่ในร่างหญิงสาวยุค 80 เพื่อทำสวนทำไร่และให้กำเนิดบุตร นางจะเอาชีวิตรอดในยุคที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างไรบ้าง เอาใจช่วยคุณหนูซูไปพร้อมๆ กันได้ในเรื่องนี้เลย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท