ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] – ตอนที่ 129 ฉากปะทะระหว่างสะใภ้

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 129 ฉากปะทะระหว่างสะใภ้

ทันทีที่จี้อวิ๋นอวิ๋นพูดออกมาแบบนั้น ซูตานหงก็ไม่เอ่ยอะไร คุณพ่อกับคุณแม่จี้ถึงกับมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก โดยเฉพาะคุณแม่จี้ที่จ้องมองลูกสาวเขม็งและเอ่ยขึ้น “แค่มะม่วงนี่ยังไม่พออีกเหรอ?”

จี้อวิ๋นอวิ๋นทำตาโตเมื่อเห็นว่าแม่ของหล่อนทำท่าราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แม้ในใจจะรู้สึกหวาดกลัว แต่หล่อนก็ยิ่งรำคาญใจมากขึ้น และเอ่ยด้วยคำพูดที่ฟังดูเบาลง “แม่คะ หนูก็แค่พูดเฉย ๆ ไม่ได้หมายความอะไรอย่างอื่นเลยค่ะ”

“ปิดเทอมหน้าร้อนนี้แกไปทำงานพิเศษมาไม่ใช่เหรอ? อยากกินก็ไปซื้อเองสิ ทีตอนสวนผลไม้ของพี่สามแกยุ่ง ๆ แกก็ไม่เห็นมาช่วยงานอะไรเลย แต่พอเป็นของกินนิด ๆ หน่อย ๆ แกกลับจริงจังขึ้นมาซะงั้น” คุณแม่จี้เทศน์

วันนี้เป็นวันปีใหม่ นางจึงไม่อยากลงมือสั่งสอนอะไรหนักนัก แต่ก็ไม่พอใจเด็กสาวคนนี้อยู่ในใจเหมือนกัน อุตส่าห์เลี้ยงดูหล่อนแบบตามใจสารพัด ทำไมถึงโตมาเป็นคนดื้อด้านขนาดนี้กันนะ?

ตานหงออกจะเป็นคนดีเสียขนาดนี้ เพื่อจะทำให้พวกเขามีความสุขแล้ว ไม่เพียงแต่เธอจะทำอาหารจานหนักมาให้สองจาน ยังถือมะม่วงถุงใหญ่มาให้พวกเขากินหลังมื้ออาหารอีกด้วย ทุกคนต่างมีความสุขที่ได้กิน แต่ดูลูกสาวคนนี้ของนางสิ หล่อนมาเพื่อสร้างปัญหาชัด ๆ!

หล่อนไม่เห็นเหรอว่าในบรรดาพี่สะใภ้ทั้งหมด พี่สะใภ้สามเป็นคนดีที่สุดแล้ว คนโตกับคนรองเพิ่งก่อเรื่องไปเพียงเพราะอาหารน้อยนิด ส่วนคนสี่ก็ไม่เอาอะไรกลับมาให้เลยในวันสิ้นปี

หลังจากนี้แล้วยังจะคาดหวังอะไรได้อีก?

ไม่คาดหวังว่าพี่สะใภ้สามจะมาดูแลพวกเขาในอนาคตหน่อยเหรอ?

“แม่พูดแบบนี้กับลูกสาวตัวเองได้ยังไงคะ? หาว่าหนูเป็นคนตะกละอยู่เหรอ? เรื่องนี้พี่สะใภ้สามก็รู้ด้วยใช่ไหมคะ?” จี้อวิ๋นอวิ๋นมองตรงมาที่ซูตานหง

ซูตานหงเหลือบมองหล่อนแล้วก็พูดเสียงเบา “เมื่ออวิ๋นอวิ๋นพูดแบบนี้ พี่ก็จะบอกให้พี่สามเอามาให้ทีหลังนะ”

“ตานหง อย่าไปสนใจนังเด็กคนนี้เลย” คุณแม่จี้พูดรัวเร็ว

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่ส้มไม่กี่ลูก ถ้าหล่อนอยากกินก็ให้หล่อนกิน ฉันกินน้อยลงก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” ซูตานหงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“นี่มันเยี่ยมไปเลยไม่ใช่เหรอคะ?” จี้อวิ๋นอวิ๋นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

จี้เจี้ยนอวิ๋นมองน้องสาวของเขาแล้วก็เอ่ยขึ้น “ไม่ได้เด็ดขาด เธอน่ะกินให้น้อย ๆ หน่อย พี่สะใภ้ของเธอกำลังท้องอยู่ หล่อนจะต้องกินเยอะ ๆ”

จี้อวิ๋นอวิ๋นไม่คิดว่าพี่สามของหล่อนจะพูดแบบนี้ หล่อนมองพี่ชายสามด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ “พี่สาม พี่ยังเป็นพี่ชายของฉันอยู่ไหมคะเนี่ย?”

“เธอเคยเห็นฉันเป็นพี่ชายเธอด้วยเหรอ? เรื่องนี้เธอรู้อยู่แก่ใจดี” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก

“พี่สาม ฉันไม่ทันได้พูดอะไรกับหล่อนเลยนะ ก็แค่ส้มไม่กี่ลูกไม่ใช่เหรอ? ไม่ให้กินก็ไม่ให้กิน ใครจะไปง้อกันล่ะ!” จี้อวิ๋นอวิ๋นเอ่ย หลังพูดจบน้องสามีคนนี้ก็กลับเข้าห้องไป

“นังเด็กคนนี้นี่!” คุณแม่จี้โมโหจัดอย่างเห็นได้ชัด

“คุณแม่อย่าร้อนใจไปเลยค่ะ ถ้าหล่อนโตขึ้นแต่งงานออกไปแล้วได้บทเรียนเสียบ้าง หล่อนคงรู้เองล่ะค่ะว่าอะไรดีไม่ดี” ซูตานหงบอก

นี่ไม่ใช่เพราะเธอรอดูความผิดพลาดของจี้อวิ๋นอวิ๋น แต่เธอกำลังพูดความจริง

ตอนนี้เธอไม่ฟังทุกคนที่บอกว่าหล่อนเป็นน้องสาวคนเล็กของครอบครัวแล้ว หล่อนมีความคิดเป็นของตัวเอง ปีนี้ก็อายุ 20 ปีแล้ว อีก 2-3 ปีหลังจากนั้นเป็นอย่างมากก็ต้องแต่งงานออกไป

หลังแต่งงานไปแล้วจะมีชีวิตอย่างที่เป็นอยู่นี้ได้หรือ?

คิดว่าเธอยังอยากจะเต็มใจช่วยอีกเหรอ? ในตอนที่จี้อวิ๋นอวิ๋นร้องไห้ซมซานกลับมา

“ตานหง อย่าไปสนใจนังเด็กนั่นเลย หล่อนแค่เป็นคนไม่มองอะไรยาว ๆ อีกหน่อยได้เห็นโลงศพก็จะหลั่งน้ำตาเอง!” คุณแม่จี้บอกเธอ

“คุณแม่คะ เรื่องนี้ฉันไม่เก็บมาใส่ใจหรอกค่ะ” ซูตานหงบอก

จากนั้นเธอก็คุยกับคุณแม่จี้เรื่องที่จะปลูกสตรอเบอรี่กับแตงโมในปีหน้า

คุณแม่จี้ถึงกับลืมเรื่องลูกสาวไปพักหนึ่งและเล่าถึงแผนที่คิดไว้ให้เธอฟัง

ปีที่แล้วคุณแม่จี้มีโชคอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นสตรอเบอรี่หรือแตงโมล้วนมีรสชาติเยี่ยม และเป็นที่นิยมอย่างยิ่งเช่นกัน

ในปีนี้นางจึงจะปลูกเพิ่มอีกหลายพันธุ์ อย่างน้อยก็มีพื้นที่ว่างพอจะปลูกอยู่มาก

ทั้งแม่สามีลูกสะใภ้ต่างคุยกันอย่างออกรส ขณะที่สะใภ้อีกสามคนถูกปล่อยให้เงียบหงอยชืดชา พูดคุยกันไม่ถึงประโยคก็เงียบ ส่วนเด็ก ๆ นั้นไม่ต้องบอกเลยว่ามีความสุขกับการกินมะม่วงขนาดไหน

ส่วนบรรดาผู้ชายก็มีเรื่องคุยกันมากมาย

ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นพี่น้องกัน ต่อให้ห่างเหินกันบ้างเพราะภรรยาของตัวเอง แต่ในเมื่อวันนี้เป็นวันสิ้นปี ทุกคนต่างก็อยากจะจบปีนี้กันด้วยดีถูกไหม?

ส่วนจี้อวิ๋นอวิ๋นที่อยู่ในห้องนั้นไม่มีใครสนใจหล่อนเลย ปล่อยให้หล่อนทำหน้าตาบูดบึ้งอยู่คนเดียว

ครั้นหล่อนเดินออกมาเพื่อดื่มน้ำ หล่อนก็ได้ยินพี่สะใภ้รองกำลังถามซูตานหง “ตานหง นี่ท้องที่สองแล้วใช่ไหมจ๊ะ?”

“ค่ะ ถึงเวลานั้นก็คงจะเสียค่าปรับหลายร้อยหยวนอยู่ทีเดียว” ซูตานหงยิ้ม

เธอจะไม่รู้หรือว่าจี้มู่ตานหมายความว่าอย่างไร? แต่สิ่งที่เธอตอบกลับไปก็แสดงให้เห็นว่าเธอสามารถจ่ายค่าปรับไหว จึงปล่อยให้ท้องนี้อยู่ต่อไปได้ หากอยากจะมีลูกอีกก็สามารถมีได้ เพียงแค่ต้องจ่ายค่าปรับไหวเท่านั้น

ความจริงแล้วครอบครัวของจี้มู่ตานก็เคยผ่านเรื่องนี้มาครั้งหนึ่ง แต่นั่นก็เป็นเพราะคุณพ่อคุณแม่จี้ช่วยออกค่าปรับให้ หลังคลอดเสี่ยวเจินแล้วหล่อนก็อยากได้ลูกชายจึงมีอีกคน แต่พอคลอดเสี่ยวอวี้แล้วหล่อนก็ไม่มีลูกอีก

เมื่อเห็นว่าซูตานหงมีลูกชายแล้วหนึ่งคนแต่ยังเก็บลูกอีกคนไว้ หล่อนก็อดไม่ได้ที่จะบ่น

ทันทีที่จี้อวิ๋นอวิ๋นออกจากห้อง หล่อนก็ได้ยินคำพูดที่ว่าต้องเสียค่าปรับเป็นร้อยหยวนพอดี นั่นทำให้หล่อนรู้สึกอิจฉาขึ้นมาในทันใด

ผู้หญิงคนนี้ใช้เงินมากถึงขนาดนี้เพื่อจะมีลูกอีกคนเลยเหรอ เงินจำนวนมากขนาดนี้ถ้าให้หล่อนแล้วมันก็เป็นค่าสินเดิมของหล่อนได้เลย!

“พูดถึงเรื่องนี้แล้ว เป็นคุณพ่อคุณแม่ใช่ไหมคะที่ออกเงินค่าปรับให้พี่สะใภ้รอง?”

ในตอนนี้เอง อวิ๋นลี่ลี่ก็พูดขึ้นเบา ๆ

เมื่อคำพูดเหล่านี้ดังขึ้น ซูตานหงก็รู้แล้วว่ามันจะต้องเป็นเรื่องแย่แน่นอน และเป็นคุณพ่อคุณแม่จี้ที่ให้เงินมากขนาดนั้น

“ลี่ลี่ เรื่องนี้มันตั้งแต่เมื่อไหร่แล้ว!”

จี้เจี้ยนเหวินพลันส่งสายตาเตือนหล่อนมาแต่ไกล

อวิ๋นลี่ลี่กำลังจะโจมตี แต่เมื่อเห็นสายตาของสามีหล่อน หล่อนก็รู้ว่าถ้าเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นในค่ำนี้ พวกเขาสองคนจะต้องทะเลาะกันใหญ่โตแน่

ไม่คุ้มหรอกที่จะสอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนนอก!

อวิ๋นลี่ลี่จึงยิ้ม “ฉันรู้แล้วค่ะ ที่ฉันกำลังจะพูดก็คืออย่างไรเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน อาจจะอยู่กันยาวหรืออยู่กันสั้นก็ได้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องถือสาหาความอะไรกันหรอกถูกไหมคะ? พี่สะใภ้รองคิดว่าที่ฉันพูดมาเข้าท่าอยู่ไหมคะ?”

ถ้าเป็นเรื่องฝีปากแล้ว อวิ๋นลี่ลี่ไม่แพ้ใครแน่นอน!

จี้มู่ตานรู้สึกเหมือนถูกตบหน้า แต่ก็ยังสู้หล่อนด้วยรอยยิ้ม “ที่ลี่ลี่ว่ามานั้นถูกแล้วจ้ะ ก่อนหน้านี้พี่คิดเล็กคิดน้อยเกินไปจริง ๆ”

“นั่นก็ดีแล้วค่ะ อย่างไรเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน แล้วครั้งนี้ฉันก็เป็นฝ่ายผิด แต่จะเรื่องไหนนั้นก็ค่อยคุยเป็นการส่วนตัวดีกว่าค่ะ ถ้าเราส่งเสียงเอะอะขึ้นมาจะไม่ทำให้คุณพ่อคุณแม่ไม่สบายใจเหรอคะ? ฉันเองก็ยังเด็ก บางเรื่องที่ฉันยังไม่รู้ความก็ต้องรบกวนให้พี่สะใภ้รองสั่งสอนแล้วล่ะค่ะ” อวิ๋นลี่ลี่พูด

คำพูดเหล่านี้ฟังดูถ่อมตัวและมีการศึกษาก็จริง แต่ความจริงแล้วมันคือการตีรันฟันแทงกันโดยไม่ปรานีแต่อย่างใด!

เมื่อเห็นว่าพ่อแม่สามีจะพลอยถูกลูกหลงไปด้วย ซูตานหงจึงเอ่ยขึ้น “น้องสะใภ้สี่กับน้องสี่ไม่ได้กลับมาเมื่อปีที่แล้ว เลยพลาดช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตไป ผลไม้ต่าง ๆ รสชาติดีมากเลยนะจ๊ะ แต่ปีนี้พี่ก็ยุ่งเหลือเกินจนไม่มีเวลาได้ใส่ใจ ปีหน้าถ้าเจี้ยนอวิ๋นไปขายที่เมืองเจียงสุ่ย พี่จะให้เธอได้ลองชิมก็แล้วกันนะจ๊ะ”

มันไม่ง่ายเลยที่หล่อนจะพูดต่อหลังถูกเบี่ยงประเด็นไปแบบนี้ และต่อให้หล่อนไม่ชอบซูตานหง หล่อนก็คิดว่าบรรยากาศตอนคุยกับเธอนั้นดีกว่าตอนคุยกับสะใภ้อีกสองคนมาก แถมยังจะให้หล่อนได้ชิมผลไม้ของเธอเองอีก เรื่องนี้หล่อนจะไม่ยินดีได้อย่างไรล่ะ

อวิ๋นลี่ลี่ยิ้มแล้วพูดว่า “ปีนี้บังเอิญจริงค่ะ ก่อนหน้านี้ฉันก็จัดตั้งโรงเรียนกวดวิชาอยู่ ตอนนั้นแจกใบปลิวอยู่ตลอด ไม่อย่างนั้นก็คงได้กลับมาช่วยพี่สะใภ้สามทำสวนแล้วล่ะค่ะ”

………………………………………

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

Status: Ongoing
คุณหนูซูผู้มีชีวิตอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ยึดหลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรมมาตั้งแต่ยังเล็ก ยังไม่ทันจะได้ออกเรือนนำเกียรติมาให้วงศ์ตระกูลกลับจับไข้สิ้นลมกลางสายฝนยามสารทฤดู และมาเกิดใหม่ในปี 1980 นางไม่คิดเลยว่าวิถีกุลสตรีในชาติที่แล้วของตนจะกลายเป็นคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมในยุคนี้ เนื่องจากเจ้าของร่างเดิม ซูตานหง ผู้กระทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการกินยาฆ่าแมลงตายคนนี้ นอกจากนามสกุลเดียวกันแล้วก็ไม่มีอะไรดีเหมือนนางเลยสักด้าน ถึงอย่างนั้นคุณหนูซูก็ไม่สนใจ นางคิดเพียงว่าจะใช้ทักษะที่มีอยู่มาสร้างเงินทอง ปลูกต้นไม้ดอกไม้มีค่า เย็บปักถักร้อยวาดภาพภูเขาสายน้ำอันงดงาม ใช้ชีวิตในชาตินี้ให้เรียบง่ายสุขสบายตามอัตภาพเท่านั้นและนี่ก็คือเรื่องราวของคุณหนูสูงศักดิ์จากยุคโบราณผู้มาเกิดใหม่ในร่างหญิงสาวยุค 80 เพื่อทำสวนทำไร่และให้กำเนิดบุตร นางจะเอาชีวิตรอดในยุคที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างไรบ้าง เอาใจช่วยคุณหนูซูไปพร้อมๆ กันได้ในเรื่องนี้เลย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท