ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] – ตอนที่ 152 เหอเจี่ย

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 152 เหอเจี่ย

ตกเย็นซูตานหงได้พาเหรินเหรินกับฉีฉีไปที่สวนผลไม้ และฝากให้คุณแม่จี้ช่วยดูแลพวกเขาสักครู่ เนื่องจากเธอจะตามจี้เจี้ยนอวิ๋นไปยังภูเขาลูกข้าง ๆ

เมื่อคุณแม่จี้เห็นว่าเธอถือบัวรดน้ำอันเล็กติดมือไปด้วย ก็รับรู้อยู่ในใจและรับปากโดยไม่กล่าวอะไร เธอจะได้ไม่ต้องรีบร้อนกลับมา ถึงอย่างไรค่อยกลับมาพร้อมจี้เจี้ยนอวิ๋นก็ได้

ซูตานหงยิ้มให้แม่สามีอย่างซาบซึ้งใจ 

เมื่อมาถึงภูเขาลูกข้าง ๆ ก็พบว่าจี้เจี้ยนอวิ๋นกำลังทำงานอย่างขะมักเขม้น ตอนนี้เพิ่งจะสี่โมงครึ่ง ด้วยเงื่อนไขของเวลาและพระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน เขาจึงสามารถทำงานต่อไปได้จนถึงห้าโมงครึ่ง อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้สั่งงานมากนัก นอกจากขอให้หยางอ้ายเซิน สวี่เจี้ยนกั๋วและหวังต้ากังช่วยกันลงต้นกล้าผลไม้ครึ่งหนึ่งของที่เพิ่งขนส่งมาวันนี้ ส่วนอีกครึ่งที่เหลือเก็บไว้ปลูกในเช้าวันรุ่งขึ้น

ประสิทธิภาพในการทำงานของชายฉกรรจ์ทั้งสามนับว่าดีมาก ต้นกล้าผลไม้เดิมบนภูเขาแห่งนี้ถูกรื้อถอนออกไปจนหมดภายใน 2 วัน

หากชาวบ้านคนไหนต้องการต้นกล้าผลไม้ที่ถูกถอนออกก็สามารถมารับไปได้ แต่พวกเขาก็เอาต้นกล้าผลไม้กลับไปไม่มากนัก เพียงคนละ 2-3 ต้นเท่านั้น ซึ่งซูจิ้นตั๋งยังส่งต้นกล้าสภาพดีจำนวน 4 ต้นไปให้คุณแม่ซูอีกด้วย มีของราคาไม่ใช่น้อยให้มาเปล่า ๆ แบบนี้ ผู้คนในหมู่บ้านจึงยิ้มแย้มแจ่มใสกันถ้วนหน้า

หากปลูกไว้ในสวนหลังบ้านและเติบโตได้ดี พวกเขาก็ยังเก็บผลไม้ไว้กินเองที่บ้านได้อีกไม่ใช่หรือ?

ต้นกล้าผลไม้ที่เพิ่งขนส่งมาใหม่ล้วนมีคุณภาพดีมาก ทั้งเขาและเหล่าฉินต่างตรวจสอบด้วยตัวเองมาแล้ว หลังจากเหล่าฉินยุ่งอยู่กับเขาเป็นเวลาหลายวัน จวบจนบัดนี้เหล่าฉินก็สามารถวางมือได้แล้ว จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงมอบไก่ตัวเล็กจำนวนสองตัวครึ่งให้แก่เขา และขอให้เหล่าฉินกลับไปพักผ่อน แต่เหล่าฉินไม่ยอมรับสิ่งตอบแทนใด ๆ ทั้งยังบอกว่าจี้เจี้ยนอวิ๋นเกรงใจเกินไป พี่น้องกันจะไม่ช่วยเหลือกันได้อย่างไร?

นี่ไม่ใช่งานหนักจำพวกแบกขนผลไม้ ทั้งยังมีหวังต้ากัง หยางอ้ายเซินและคนอื่น ๆ อีก ดังนั้นเขาจึงเบาแรงไปได้มาก

จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้มและไม่สนใจคำปฏิเสธของเขา ต่อให้เขาจะยืนกรานเพียงใด

ตอนนี้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว จะดียิ่งขึ้นหากสามารถปลูกผลไม้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

ต้นกล้าหลากหลายชนิดถูกเพาะปลูกในครั้งนี้ หากพวกมันสามารถเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ของเขา ก็มีแนวโน้มว่าจะปลูกเพิ่มอีก

อย่างไรก็ตามผลไม้ที่ปลูกเยอะที่สุดคือเชอร์รี่ เนื่องจากขายดีเป็นพิเศษทั้งยังให้ราคาสูง ดังนั้นเขาจึงปลูกเพิ่มขึ้นอีกในครั้งนี้ จนพื้นที่สองในห้าของภูเขาทั้งหมดปกคลุมไปด้วยต้นเชอร์รี่

แม้ว่าที่อื่นก็ปลูกผลไม้เช่นเดียวกัน ทว่าครอบครัวของเขาไม่ได้กังวลในเรื่องการขาย ผลไม้ที่ถูกขนส่งออกไปล้วนขายหมดอย่างรวดเร็ว มีผู้คนเข้ามาถามไถ่ถึงการเพิ่มปริมาณผลไม้มาขายให้มากขึ้น แต่ไม่มีใครบอกว่าเขาส่งมาขายมากเกินไปจนอาจจะขายไม่ได้

ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงประเด็นที่ผู้ปลูกผลไม้รายอื่นต้องพิจารณา

อีกทั้งในปีนี้เขายังมีความคิดว่าควรซื้อร้านในตลาดอีกฟากหนึ่งของตัวเมืองมหาวิทยาลัยเพื่อความมั่นคงดีหรือไม่?

แต่หากซื้อร้านมาแล้วจะให้ใครช่วยดูแล? ของแบบนี้ต้องส่งต่อให้คนที่ไว้ใจได้เท่านั้น

จี้เจี้ยนอวิ๋นขมวดคิ้วมุ่นเมื่อครุ่นคิดถึงปัญหานี้ เดิมทีอวิ๋นอวิ๋นน้องสาวของเขาถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่ตอนนี้เขารู้สึกผิดหวังในตัวของน้องสาวอยู่นิดหน่อย จึงไม่เชื่อใจหล่อนในเรื่องนี้

ตอนนี้เขาจึงทำได้เพียงระงับความคิดนี้ไปก่อน ยังไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ เรื่องนี้ค่อยดูอีกทีในภายหลังได้ 

ขณะที่จี้เจี้ยนอวิ๋นกำลังทำงานกับคนอื่น ๆ ก็เห็นว่าภรรยาของเขากำลังเดินมาหา

“ภรรยา คุณมาทำอะไรที่นี่ครับ?” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยถามพร้อมกับรอยยิ้มในทันที

“ฉันแค่มาดูเฉย ๆ ค่ะ คุณปลูกต้นไม้เป็นอย่างไรบ้างคะ?” ซูตานหงถามและคลี่ยิ้ม

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับ ไปครับ ผมจะพาคุณไปเดินเล่นชมสวนเชอร์รี่ ผมว่าต้นไม้พวกนี้สวยมากเลย” เมื่อจี้เจี้ยนอวิ๋นเห็นบัวรดน้ำในมือของเธอ เขาก็รับรู้ได้ทันทีโดยปริยาย

“ได้ค่ะ” ซูตานหงยิ้มทักทายหยางอ้ายเซิน สวี่เจี้ยนกั๋ว หวังต้ากังและลุงจี้ถัง ก่อนจะเดินตามจี้เจี้ยนอวิ๋นไป

พวกเขาทั้งคู่ต่างช่วยกันปกปิดความลับเล็ก ๆ นี้ไว้

ซูตานหงพูดขึ้นขณะรดน้ำต้นไม้ “เจี้ยนอวิ๋น ถ้าสวนของเราเพาะปลูกเสร็จแล้วและมีผลไม้มากมายในอนาคต คุณเคยคิดถึงปัญหาด้านการขายบ้างไหมคะ?”

“ถ้าถึงเวลานั้น ผมคิดว่าจะส่งผลไม้ไปขายที่เมืองมหาวิทยาลัย อย่างไรก็ขายได้แน่นอน” จี้เจี้ยนอวิ๋นกล่าว

“แต่คุณจะตั้งแผงลอยตลอดไปไม่ได้หรอกนะคะ” ซูตานหงแย้งขึ้น

“ผมก็อยากไปซื้อร้านค้าในย่านเมืองมหาวิทยาลัย สำหรับขายผลผลิตของเราโดยเฉพาะ แต่ยังหาคนที่เหมาะสมมาจัดการเรื่องนี้ไม่ได้” จี้เจี้ยนอวิ๋นกล่าวพลางส่ายศีรษะ

ซูตานหงจึงกล่าวขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม “ฉันมีตัวเลือกที่ดีค่ะ”

“ใครเหรอครับ?” จี้เจี้ยนอวิ๋นมองตรงไปที่เธอ

“จำครั้งแรกที่ฉันส่งเสื้อผ้าไปให้คุณได้ไหมคะ?” ซูตานหงพูดอย่างเขินอาย

“จำได้ครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นมองดูเธอด้วยความขบขันระคนเอ็นดูที่รู้ว่าเธอกำลังเขินอาย

ก่อนหน้านี้ภรรยาของเขาเคยเป็นคนไร้เหตุผล ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อรู้ว่าโหวหวาจือได้กินแผ่นไข่ทอดมากกว่า เธอถึงกับดื่มยาฆ่าแมลงเพื่อฆ่าตัวตาย แต่หลังจากนั้นเธอก็ได้เรียนรู้ที่จะปรับปรุงพฤติกรรม ทั้งยังเปิดใจมากยิ่งขึ้น ตอนนี้ทุกอย่างเป็นปกติดีแล้ว ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลกับเรื่องในอดีต

หลังจากแต่งงานกันได้ 3 ปี นั่นเป็นครั้งแรกที่เธอส่งสิ่งของและเสื้อผ้าไปให้เขา

“ตอนนั้นฉันไปซื้อผ้าที่ห้างสรรพสินค้า ครั้งแรกที่ไปฉันยังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ แต่ก็ได้คำแนะนำจากเหอเจี่ย แถมหล่อนยังช่วยสอนฉันถักเสื้อกันหนาวอีกด้วยนะคะ” ซูตานหงกล่าว

“เหอเจี่ย คนที่ฝากหงเจี่ยเอาเสื้อผ้าเด็กเล็กมาให้ครั้งก่อนใช่ไหมครับ?”

“ใช่ค่ะ” ซูตานหงพยักหน้า

ชื่อของเหอเจี่ยคือเหอจาวตี้ หล่อนเคยทำงานในห้างสรรพสินค้ามาก่อน แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ห้างสรรพสินค้าได้ตกอยู่ในภาวะถดถอย เริ่มมีวิสาหกิจเอกชนต่าง ๆ ผุดขึ้นมาแทนที่ เหอเจี่ยทำงานนี้มาหลายปีแล้วและตอนนี้ก็กำลังจะตกงาน

เหอเจี่ยกำลังขาดแคลนรายได้ ในขณะที่ลูกชายสองคนกำลังเรียนอยู่ในระดับมัธยม ลูกสาวอีกคนเรียนอยู่ชั้นประถม นับว่าเป็นภาระค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างหนักพอสมควร

ส่วนสามีของเธอทำงานอยู่ในเขตเมือง เมื่อก่อนสองสามีภรรยาต่างช่วยกันหารายได้ จึงทำให้มีชีวิตที่ดี แต่ตอนนี้หล่อนแทบไม่ได้ไปทำงานแล้ว จึงทำให้ทั้งครอบครัวต้องพึ่งพาสามีของหล่อนเป็นหลัก

เหอเจี่ยเองก็นับว่าเป็นคนมีความสามารถ มีพนักงานขายในห้างสรรพสินค้าคนใดบ้างที่ไม่เย่อหยิ่งและดูถูกผู้คน? แต่เมื่อเธอเข้าไปในห้างครั้งแรก เหอเจี่ยกลับอัธยาศัยดีมาก ไม่เพียงพาเธอไปซื้อผ้าเท่านั้น แต่ยังสอนให้เธอถักเสื้อกันหนาวอีกด้วย

ด้วยความที่เหอเจี่ยเป็นคนจิตใจดี ตามหลักการที่ว่าจึงส่งผลให้เพื่อนรอบข้างอีกหลายคนเป็นคนดีด้วย ทุกครั้งที่ซูตานหงเข้าเมืองมักจะไปสนทนากับเหอเจี่ยอยู่เป็นประจำ หน้าผลไม้ของปีที่แล้วเธอก็นำผลผลิตไปฝากเหอเจี่ย

แต่ในวันนี้ เธอไปหาเหอเจี่ยที่ห้างสรรพสินค้า กลับพบว่าเหอเจี่ยไม่ได้กลับมาทำงานแล้ว เธอจึงยกสตรอเบอรี่ให้กับหญิงสาวที่พาหงเจี่ยไปดูร้านแทน

เมื่อถึงตอนที่เธอให้กำเนิดเหรินเหรินกับฉีฉี เหอเจี่ยก็รู้ว่าที่บ้านของเธอมีฟาร์มไก่และไม่ขาดแคลนอาหาร จึงไม่ได้ส่งอะไรมาให้นอกจากเสื้อผ้าเด็กคุณภาพดีหลายชุด

แม้ว่าหล่อนจะไม่ได้เป็นแม่บุญธรรมของเหรินเหรินเหมือนหงเจี่ย แต่ก็นับว่าหล่อนทำดีต่อเขาเป็นอย่างมาก

“ผมเกรงว่าเหอเจี่ยจะดูแลครอบครัวของหล่อนได้ไม่สะดวกนักน่ะสิครับ” แม้จี้เจี้ยนอวิ๋นจะคล้อยตาม แต่เขาก็ยังลังเล

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

อ่าน ๆ ไปก็ตกใจชาแทบพุ่งเมื่อเห็นว่าตอนแรกเจี้ยนอวิ๋นคิดจะให้ยัยอวิ๋นอวิ๋นมาดูแลร้านใหม่ อย่าเชียวนะเจี้ยนอวิ๋น ถ้าไม่อยากเจ๊งก็อย่าให้นังน้องสาวคนนี้มายุ่งอะไรด้วยเด็ดขาดเลย

เชียร์เหอเจี่ยค่ะ อย่างน้อยเคยเป็นพนักงานขายมาก่อน ประสบการณ์เหนือกว่านังอวิ๋นอวิ๋นเยอะ แถมทำงานเต็มประสิทธิภาพไม่ไก่กาเหมือนนังอวิ๋นอวิ๋นด้วย

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

Status: Ongoing
คุณหนูซูผู้มีชีวิตอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ยึดหลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรมมาตั้งแต่ยังเล็ก ยังไม่ทันจะได้ออกเรือนนำเกียรติมาให้วงศ์ตระกูลกลับจับไข้สิ้นลมกลางสายฝนยามสารทฤดู และมาเกิดใหม่ในปี 1980 นางไม่คิดเลยว่าวิถีกุลสตรีในชาติที่แล้วของตนจะกลายเป็นคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมในยุคนี้ เนื่องจากเจ้าของร่างเดิม ซูตานหง ผู้กระทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการกินยาฆ่าแมลงตายคนนี้ นอกจากนามสกุลเดียวกันแล้วก็ไม่มีอะไรดีเหมือนนางเลยสักด้าน ถึงอย่างนั้นคุณหนูซูก็ไม่สนใจ นางคิดเพียงว่าจะใช้ทักษะที่มีอยู่มาสร้างเงินทอง ปลูกต้นไม้ดอกไม้มีค่า เย็บปักถักร้อยวาดภาพภูเขาสายน้ำอันงดงาม ใช้ชีวิตในชาตินี้ให้เรียบง่ายสุขสบายตามอัตภาพเท่านั้นและนี่ก็คือเรื่องราวของคุณหนูสูงศักดิ์จากยุคโบราณผู้มาเกิดใหม่ในร่างหญิงสาวยุค 80 เพื่อทำสวนทำไร่และให้กำเนิดบุตร นางจะเอาชีวิตรอดในยุคที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างไรบ้าง เอาใจช่วยคุณหนูซูไปพร้อมๆ กันได้ในเรื่องนี้เลย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท