ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] – ตอนที่ 160 หุ้นส่วน 50 เปอร์เซ็นต์

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 160 หุ้นส่วน 50 เปอร์เซ็นต์

  

“เห็นแล้วจ้ะ ฉีฉีเป็นเด็กดีมาก ตอนนี้กำลังนอนอยู่ในห้อง” เจินเหมียวหงพูดด้วยรอยยิ้ม

“อืม ตอนนี้เขายังเด็กเลยนอนทั้งวัน ถ้าโตขึ้นเขาคงไม่เป็นแบบนี้แล้วครับ” เหรินเหรินเอ่ยเจื้อยแจ้ว

นี่เป็นการอธิบายให้หล่อนเข้าใจว่าทำไมน้องชายของเขาถึงไม่ออกมาต้อนรับแขก

เจินเหมียวหงรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงเด็กเล็กและไม่คิดอะไรมาก แต่ด้วยความเฉลียวฉลาดของเขาจึงทำให้ปฏิบัติต่อหล่อนแตกต่างออกไป

“ตานหง เธอสอนลูกยังไงเหรอ?” เจินเหมียวหงซึ่งมีลูกชายสองคน ลูกสาวอีกหนึ่งคน มองไปยังซูตานหงที่กำลังทำอาหารด้วยแววตาชื่นชม

“ฉันจะสอนอะไรได้ล่ะคะ ทั้งหมดนั้นพ่อเขาเป็นคนสอนค่ะ” ซูตานหงยิ้ม

แต่ลูกชายของพวกเขาฉลาดกว่าเด็กคนอื่นจริง ๆ

“ตอนนี้ผมกำลังเรียนรู้อยู่ครับ ผมยังรู้จักคัมภีร์สามอักษรและวาดรูปได้อีกด้วยนะครับ” เหรินเหรินพูด

“ยอดเยี่ยมอะไรอย่างนี้?” เจินเหมียวหงชื่นชม

ด้วยจำนวนคำที่ไม่เยอะจนเกินไป ดังนั้นเหรินเหรินจึงสามารถท่อง 2 ถึง 3 ประโยคแรกของคัมภีร์สามอักษรได้ เพียงเท่านี้ก็นับว่าน่าทึ่งมาก

เด็กทั่วไปที่อายุ 1 ขวบครึ่งอาจจะยังพูดไม่คล่องด้วยซ้ำ แต่ลูกบุญธรรมของหล่อนเกือบจะตามทันเด็กวัย 3 ถึง 4 ขวบได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเขายังสามารถท่องคัมภีร์สามอักษรได้อีกด้วย!

“เหรินเหรินอ่านหนังสือเก่งมาก เหมือนว่าจะต้องส่งเขาไปเรียนให้เร็วขึ้นหน่อยแล้วล่ะ” เจินเหมียวหงพูดกับซูตานหง

“ตอนนี้เขายังเล็กอยู่เลยค่ะ ฉันจะส่งไปเรียนตอนที่เขาโตกว่านี้ ปล่อยให้เขาได้เล่นสนุกตามวัยอีกสัก 2 ถึง 3 ปีก่อนค่ะ” ซูตานหงยิ้ม

ตอนนี้เจ้าตัวเล็กวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานในสวนผลไม้บนภูเขาทุกวัน ตกกลางคืนก็นอนหลับเหมือนลูกหมูที่ไม่มีอะไรต้องกังวล

แต่ถึงเขาจะฉลาด ซูตานหงก็ไม่อยากจะจำกัดขอบเขตกับเขามากเกินไป สิ่งที่เขาควรเรียนรู้ต้องได้รับการอบรมสั่งสอน ส่วนเรื่องอื่น ๆ ปล่อยให้เขาเรียนรู้ด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตามลูกชายของเธอกับเจี้ยนอวิ๋นจะไม่มีวันเติบโตมาเป็นคนที่ไม่ซื่อตรงแน่นอน  

ธรรมชาติของเด็กคือปล่อยให้เขาเติบโตด้วยตัวเอง ทั้งเธอและเจี้ยนอวิ๋นต่างไม่ได้วางแผนที่จะควบคุมเขา

จี้เจี้ยนอวิ๋นกำลังตัดฟืนในสวนหลังบ้าน เขาทำงานพวกนี้มาตลอด โดยไม่ปล่อยให้มือของซูตานหงได้มาแตะต้อง เนื่องจากวันนี้เจินเหมียวหงมาเป็นแขกที่บ้าน จึงต้องทำอาหารเพิ่มอีก 2 จาน

มื้อเที่ยงวันนี้จึงเพิ่มต้นผักกาดผัดไข่สีเขียวเหลืองหน้าตาน่ารับประทานเข้าไป และยังนึ่งปลาที่จับมาได้จากแม่น้ำ โดยมีถ้วยซอสเล็ก ๆ ของแต่ละคนสำหรับจิ้มเพื่อเพิ่มรสชาติความอร่อยอีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีซี่โครงตุ๋นไข่ ผัดผักกวางตุ้ง และซุปสาหร่ายใส่กุ้งแห้งรสชาติเข้มข้น

“ทำเยอะเกินไปแล้ว” เจินเหมียวหงกล่าวขึ้นทันที

“ตอนที่พี่ไม่มา พวกเราทำอาหารกินกันแค่ 2-3 จาน ไม่ได้ทำเยอะหรอกค่ะ” ซูตานหงพูด

“พี่หงดื่มสักหน่อยไหมครับ?” จี้เจี้ยนอวิ๋นถามด้วยรอยยิ้ม

“ถ้าจะไม่ดื่มสักหน่อยก็คงไม่เหมาะ” หงเจี่ยยิ้มอย่างจริงใจ

จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงเข้าไปหยิบเหล้าออกมา

“เหมาไถ*เหรอ? เหล้าชั้นดีนี่ ราคาหลายสิบหยวนเลยใช่ไหม?” หงเจี่ยยิ้มเมื่อเห็นเหล้าที่จี้เจี้ยนอวิ๋นถือมา

*เหล้าชื่อดังของจีน เอาไว้สำหรับต้อนรับแขก

สำหรับคนรุ่นหลังในตอนนี้ เหล้าเหมาไถนับว่าเป็นเหล้าชั้นดี จี้เจี้ยนอวิ๋นซื้อมา 2 ขวดจากเมืองมหาวิทยาลัย ก่อนจะยกให้คุณพ่อจี้ 1 ขวด เพราะเขาชอบดื่ม แต่ก่อนคุณพ่อจี้เคยดื่มแต่เหล้าองุ่นรสชาติแย่ ตอนนี้มีเงินมากขึ้นแล้ว จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงซื้อเหล้าเหมาไถให้เขา

และยังเก็บไว้สำหรับดื่มเองอีกขวด

ซูตานหงไม่ดื่มเหล้าเนื่องจากตอนนี้เธอยังต้องให้นมลูก

จี้เจี้ยนอวิ๋นและหงเจี่ยจึงไม่มีอะไรต้องกังวล ทั้งสองจึงสนทนากันเรื่องการพัฒนาบ้านเมืองขณะที่ดื่มไปด้วย

“ที่อื่นพี่ไม่รู้นะ แต่เมืองของเรากำลังจะมีการพัฒนาครั้งใหญ่ ฝั่งเราเป็นปราการคมนาคมและอยู่ไม่ไกลจากทะเลมากนัก ในอนาคตเราสามารถขับรถจากที่นี่ไปเที่ยวทะเลได้” หงเจี่ยบอก

“ผมก็ได้ยินมาว่าถนนส่วนใหญ่ของเมืองเราอยู่ระหว่างการปรับปรุง” จี้เจี้ยนอวิ๋นพูด

“ไม่ใช่แค่ปรับปรุงถนน เธอไปดูเมืองเจียงสุ่ยที่อยู่อีกฝั่งของเมืองมหาวิทยาลัยเถอะ ว่ามีทางเท้ามากมายเท่าไหร่? แต่ก่อนสิ่งเหล่านั้นต้องมาจากทางตอนใต้ของเซี่ยงไฮ้ แต่ตอนนี้สามารถซื้อได้เลยจากฝั่งเรา จะว่าไปแล้วการปฏิรูปและเปิดกว้างนั้นดีขึ้นเยอะ!” หงเจี่ยถอนหายใจ

จี้เจี้ยนอวิ๋นเองก็รู้สึกคล้อยตามเช่นกัน

  

ผ่านมาเพียงไม่กี่ปี แต่สภาพแวดล้อมทางสังคมเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากที่เคยเข้มงวดและควบคุมทุกอย่าง ตอนนี้สิ่งเหล่านั้นไม่สำคัญแล้ว ตราบใดที่ไม่ก่ออาชญากรรมร้ายแรง ในช่วงที่ผ่านมาผู้ต่างไม่ให้ความสนใจเรื่องการลงทุนและการเก็งกำไรนัก

ทว่าตอนนี้เศรษฐกิจดีขึ้น ผู้คนส่วนใหญ่จึงหาเงินได้มากมาย

“โรงงานบางแห่งของที่นี่กำลังจะเลิกกิจการแล้วด้วยนะคะ” ซูตานหงกล่าว

“สินค้าที่โรงงานพวกนั้นผลิตออกมาไม่สอดคล้องกับยุคสมัยใหม่ เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะต้องปิดตัวลง อย่าว่าแต่โรงงานพวกนั้นเลย ห้างสรรพสินค้าในเมืองเรา คิดว่าอีกไม่นานก็คงจะปิดตัวลงเหมือนกัน” หงเจี่ยพูดถึงปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้น

“กำลังจะล้มละลายแล้วค่ะ พี่เหอเองก็ไม่ได้ไปทำงานแล้ว” ซูตานหงกล่าว

“จะว่าไปแล้ว พวกเธอเคยคิดเรื่องห้างสรรพสินค้าไหม?” หงเจี่ยถามขึ้น

ซูตานหงกับจี้เจี้ยนอวิ๋นต่างมองหน้ากัน “พี่หงหมายถึง?”

“บอกตามตรงนะ พี่มีความคิดเรื่องห้างสรรพสินค้า พี่กำลังคิดว่าถ้าสร้างห้างสรรพสินค้าขึ้นมาจะเป็นยังไง?” หงเจี่ยมองพวกเขาและพูดต่อ

“ถ้าทำได้ต้องดีแน่ครับ ผมเห็นอะไรใหม่ ๆ มากมายในเมืองมหาวิทยาลัย แต่ที่นี่ยังไม่มี” จี้เจี้ยนอวิ๋นกล่าวเสริม

“เธอมีร้านค้าและมีลูกจ้างอยู่ที่นั่นแล้ว ถึงตอนนั้นก็ให้เขาไปเรียนขับรถ เธอไม่ต้องเดินทางไปมาเพื่อขนส่งสินค้า พอเขามารับของก็แค่ให้เงินเขาไป” หงเจี่ยพูดต่อ “ว่ายังไง? พวกเธอสองคนลองคิดดู ถ้าอยากทำก็ลงทุนเป็นหุ้นส่วนกัน พี่พอรู้อยู่ว่าพวกเธอกำลังยุ่ง พี่เลยจะดูแลเรื่องการตกแต่งและรับสมัครงาน ต่อไปจะรับผิดชอบเรื่องจัดซื้อสินค้าและไปดูห้างสรรพสินค้าบ่อย ๆ เพราะพี่คงไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้ตลอดเวลา”

จี้เจี้ยนอวิ๋นดื่มอวยพรให้กับหล่อนและเอ่ยถามขึ้น “ถ้าจะทำต้องใช้เงินเท่าไหร่เหรอครับ?”

“ไม่มากหรอก พวกเธอลงทุน 1,000 หยวน พี่จะแบ่งให้พวกเธอ 30 เปอร์เซ็นต์ แล้วให้ลูกบุญธรรมของฉันอีก 20 เปอร์เซ็นต์ ทั้งหมดคิดเป็น 50 เปอร์เซ็นต์” หงเจี่ยพูดอย่างมีความสุข

“แบบนี้ไม่ดีหรอกครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นส่ายหัวเมื่อได้ยินคำพูดของหล่อน

แม้แต่ตัวเขาเองยังรู้ดีว่าหากต้องการสร้างห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ เงิน 1,000 หยวนจะเพียงพอได้อย่างไร? เขาคงรับส่วนแบ่งหุ้นส่วน 50 เปอร์เซ็นต์ไม่ได้อย่างแน่นอน

“อีก 20 เปอร์เซ็นต์ที่ฉันยกให้ลูกบุญธรรมของฉัน เพราะหวังว่าในอนาคตเขาจะได้เคารพฉันให้มาก ๆ ไง” หงเจี่ยบอก 

“เขาต้องเคารพแม่ทูนหัวของเขาอยู่แล้วค่ะ แต่ไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องแย่งชิงส่วนแบ่งของแม่ทูนหัวเลย” ซูตานหงพูดด้วยรอยยิ้ม

“พี่หง เรื่องนี้ผมขอคิดดูก่อนนะครับ แล้วอีก 2 ถึง 3 วัน ผมจะให้คำตอบพี่อีกที” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอกกับหล่อน

“ตกลง” หงเจี่ยพยักหน้า นี่เป็นเรื่องใหญ่ จึงไม่สามารถตัดสินใจได้ในทันที

ทั้งแขกและเจ้าบ้านต่างเพลิดเพลินกับมื้อเที่ยงวันนี้ เมื่อกินข้าวเสร็จหงเจี่ยเข้ามาพักผ่อนที่ห้องรับแขก ซูตานหงรินน้ำให้หล่อนดื่มและปล่อยให้พักผ่อน ส่วนตัวเองก็กลับห้องไป

จี้เจี้ยนอวิ๋นเองก็ดื่มไปมาก อารมณ์ของซูตานหงจึงค่อนข้างขุ่นมัว “ทำไมถึงพาพี่หงดื่มเยอะขนาดนี้คะ?” เหล้าเหมาไถพร่องไปเกือบทั้งขวด

“เป็นเพราะภรรยาทำอาหารอร่อย ผมเลยดื่มเยอะไปหน่อยครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้มให้ภรรยาด้วยใบหน้าแดงก่ำ

“น่าไม่อาย” ซูตานหงตวัดสายตามองเขา เธอรินน้ำใส่แก้วให้เขาดื่มก่อนจะปล่อยให้สามีนอนพักผ่อน

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

อีกหน่อยคงได้ร่วมหุ้นกันเปิดห้างแน่เลยค่ะ ขอให้การค้าเจริญรุ่งเรืองนะคะ

ไหหม่า(海馬)

Next

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

Status: Ongoing
คุณหนูซูผู้มีชีวิตอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ยึดหลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรมมาตั้งแต่ยังเล็ก ยังไม่ทันจะได้ออกเรือนนำเกียรติมาให้วงศ์ตระกูลกลับจับไข้สิ้นลมกลางสายฝนยามสารทฤดู และมาเกิดใหม่ในปี 1980 นางไม่คิดเลยว่าวิถีกุลสตรีในชาติที่แล้วของตนจะกลายเป็นคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมในยุคนี้ เนื่องจากเจ้าของร่างเดิม ซูตานหง ผู้กระทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการกินยาฆ่าแมลงตายคนนี้ นอกจากนามสกุลเดียวกันแล้วก็ไม่มีอะไรดีเหมือนนางเลยสักด้าน ถึงอย่างนั้นคุณหนูซูก็ไม่สนใจ นางคิดเพียงว่าจะใช้ทักษะที่มีอยู่มาสร้างเงินทอง ปลูกต้นไม้ดอกไม้มีค่า เย็บปักถักร้อยวาดภาพภูเขาสายน้ำอันงดงาม ใช้ชีวิตในชาตินี้ให้เรียบง่ายสุขสบายตามอัตภาพเท่านั้นและนี่ก็คือเรื่องราวของคุณหนูสูงศักดิ์จากยุคโบราณผู้มาเกิดใหม่ในร่างหญิงสาวยุค 80 เพื่อทำสวนทำไร่และให้กำเนิดบุตร นางจะเอาชีวิตรอดในยุคที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างไรบ้าง เอาใจช่วยคุณหนูซูไปพร้อมๆ กันได้ในเรื่องนี้เลย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท