ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] – ตอนที่ 189 ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 189 ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว

  

หลังจากป้าหลี่กลับไป ภรรยาของจี้เจี้ยนเหอก็ตรงเข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้มทันที “คุณแม่ เป็นยังไงบ้างคะ ลุงสามพูดอะไรไหมคะ?”

จี้เจี้ยนเหอก็รอฟังข่าวอยู่เช่นกัน

ส่วนคุณลุงจี้ไปสวนผลไม้อีกครั้งหลังจากกินอาหารเย็นเสร็จ หากเทียบกับบ้านแล้ว เขาชอบอยู่ในสวนผลไม้มากกว่า

“เขาบอกว่ายังไม่ได้วางแผนจะรับสมัครคนงานที่อ่างเก็บน้ำเลย” ป้าหลี่กล่าว

“ทำไมถึงเขาไม่จ้างคนล่ะครับ อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ขนาดนี้ จะเลี้ยงปลาได้ยังไงถ้าไม่มีคนดูแล?” จี้เจี้ยนเหอพูดโพล่งขึ้นมา

รอยยิ้มบนใบหน้าภรรยาของเขาพลันเลือนหายไป “คุณแม่ไม่ได้ฟังผิดใช่ไหมคะว่าลุงสามไล่คุณแม่ออกมา?”

ทำไมถึงจะไม่จ้างคนเฝ้าอ่างเก็บน้ำล่ะ? ถ้าไม่มีคนดูแล ปลาก็จะถูกขโมยไปหมดนะ!

“พวกแกไม่รู้อะไร ตอนนี้เจี้ยนอวิ๋นเหลือเงินอยู่ไม่มาก ฉันเห็นตานหงนั่งปักผ้าอยู่ หล่อนไม่ได้ปักผ้าขายมานานแค่ไหนแล้วล่ะ?” ป้าหลี่พูด

แต่จี้เจี้ยนเหอกับภรรยารู้สึกกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เล็กน้อย

“พวกแกสองคนไม่ต้องกังวลไปหรอก ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทำงานที่อ่างเก็บน้ำ แต่เจี้ยนอวิ๋นสัญญากับแม่แล้วว่า ถ้าในอนาคตเขาทำสวนผลไม้อีก เขาจะจ้างเจี้ยนเหอแน่นอน” ป้าหลี่พูดต่อ

เมื่อกล่าวประโยคนี้ออกมา จี้เจี้ยนเหอและภรรยาของเขาต่างก็สบายใจขึ้น

“ลุงสามยังอยากจะทำสวนผลไม้อยู่เหรอคะ?” ภรรยาของจี้เจี้ยนเหอเอ่ยถามอย่างรีบร้อน

“ในหมู่บ้านยังมีอีก 2 ครอบครัวไม่ใช่เหรอที่ทำสวน ฟังดูแล้วเขาก็เหมือนจะคิดอยู่นิดหน่อย แต่ตอนนี้เขาไม่มีเงินเหลือในมือแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เขาจะทำได้อีก” ป้าหลี่ขมวดคิ้ว

ในตอนแรกจี้เจี้ยนเหอรู้สึกดีใจ แต่เมื่อได้ยินเรื่องนี้ เขาก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย จี้เจี้ยนอวิ๋นกำลังหลอกให้ความหวังกันอยู่รึเปล่า?

“จากธุรกิจที่ทำกำไรได้มากมายของลุงสามในตอนนี้ ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะทำสวนผลไม้ขึ้นมาอีก” ภรรยาของจี้เจี้ยนเหอรีบพูดขึ้น

“เขามีหนี้เยอะมากเลยนะ” จี้เจี้ยนเหอกล่าว

อ่างเก็บน้ำที่ทำสัญญายังคงเป็นหนี้อยู่มากกว่า 2,000 หยวน ซึ่งเขาไม่เคยเห็นเงินจำนวนมากขนาดนี้มาก่อนในชีวิต

“ก็แค่ 2,000 หยวน มันอาจจะมหาศาลสำหรับเรา แต่กับลุงสามจะนับเป็นอะไรได้กันคะ” ภรรยาของจี้เจี้ยนเหอแย้ง 

จากนั้นหล่อนก็เริ่มคำนวณรายได้ของจี้เจี้ยนอวิ๋น “ฉันได้ยินคุณพ่อบอกว่าหมูพวกนั้นดูดีมาก เมื่อพวกมันถูกเชือด อย่างน้อยก็ต้องน้ำหนัก 140 ถึง 150 ชั่งไม่รวมเลือด ตอนนี้ราคาเนื้อหมูเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เหมา เนื้อหมู 1 ชั่ง ราคา 80 เหมา ถ้าเป็นเนื้อหมูอย่างดีราคาจะแพงยิ่งกว่านี้อีก”

เนื้อหมูราคา 80 เหมาต่อ 1 ชั่ง หมูตัวหนึ่งน้ำหนัก 140 ชั่ง เท่ากับหมูตัวนั้นจะมีมูลค่ากว่า 120 หยวน ในสวนมีหมูอยู่ 21 ตัว เป็นเงินมากกว่า 2,000 หยวน!

ทันทีที่ภรรยาของจี้เจี้ยนเหอคำนวณเงินทั้งหมด ป้าหลี่กับลูกชายก็อ้าปากค้าง

แม้จะพอรู้อยู่บ้างว่าหมู 21 ตัว จะขายได้เงินจำนวนมาก แต่ไม่คาดคิดเลยว่ามันจะทำเงินได้มากขนาดนี้!

มากกว่า 2,000 หยวน หนี้ที่จี้เจี้ยนอวิ๋นติดค้างอยู่ก่อนหน้านี้ จะไม่จ่ายหมดในครั้งเดียวเลยหรือ? 

“ฉันบอกได้เลยว่าลุงสามจะต้องเปิดสวนผลไม้อีกครั้งในเร็ว ๆ นี้แน่ เจี้ยนเหอ คุณไม่ต้องกังวลหรอกนะคะ ถ้าถึงเวลาก็แค่ตั้งใจทำให้ดี” ภรรยาของจี้เจี้ยนเหอกล่าวให้กำลังใจ

“แล้วทำไมครอบครัวเราไม่เลี้ยงหมูดูบ้างล่ะ?” จี้เจี้ยนเหอเสนอความคิดขึ้นมา

เขาค่อนข้างโลภมาก ในเมื่อตอนนี้ตลาดขายหมูกำลังก้าวหน้า เนื้อหมูก็ขายได้ราคาดี หากพวกเขาเลี้ยงหมูสัก 4 ถึง 5 ตัว แล้วดูแลพวกมันอย่างดี น่าจะดีกว่าไปทำงานให้จี้เจี้ยนอวิ๋นและช่วยเขาเลี้ยงหมูโดยเปล่าประโยชน์!

“แกคิดว่าหมูมันเลี้ยงง่ายนักเหรอ ไม่ต้องพูดถึงหมูหลาย ๆ ตัวเลย แค่เลี้ยงสัก 2 ถึง 3 ตัว ตอนนอนหลับก็ได้กลิ่นขี้หมูแล้ว แถมยังมีหมูบางตัวที่เลี้ยงไม่โตอีก!” ป้าหลี่ตอกกลับอย่างอารมณ์ไม่ดี

เห็นได้ชัดว่าภรรยาของจี้เจี้ยนเหอไม่ต้องการเลี้ยงหมูที่บ้านเช่นกัน ลำพังเลี้ยงไก่ในสวนหลังบ้านก็มากเกินพอแล้วที่หล่อนจะต้องคอยทำความสะอาด หากเลี้ยงหมูอีกก็คงไม่พ้นต้องตกเป็นภาระของหล่อน ถ้าอย่างนั้นจะคาดหวังให้แม่สามีเห็นต่างกับสามีของเธอได้หรือไม่?

สิ่งสำคัญคือหมูพวกนี้เลี้ยงเพื่อขายเอาเงิน ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เงินก้อนนี้จะเข้ากระเป๋าของหล่อน!

“ใช่แล้วค่ะ เจี้ยนเหอ คุณไม่ต้องคิดมากหรอกนะคะ ยังไงคุณก็ได้เงินเดือนตั้ง 30 หยวน ฉันได้ยินมาว่าปีหน้าค่าจ้างจะเพิ่มขึ้นอีกแน่นอน ถึงตอนนั้นคุณจะมีเงินเยอะมาก อย่างน้อยครึ่งปีก็มีรายได้มากกว่า 200 หยวน แต่ถ้าเลี้ยงหมูคุณจะต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างหนักถึงครึ่งปี กว่าจะขายหมูได้มากถึง 100 หยวน ถ้าคุณไปทำงานก็จะมีเงินเพียงพอสำหรับเลี้ยงหมู 2 ตัวเลยนะคะ”

ภรรยาของจี้เจี้ยนเหอรีบพูดอย่างรวดเร็ว เพราะเกรงจะถูกมองว่าขี้เกียจ “อันที่จริงก็ดูเหมือนว่าลุงสามจะได้เงินมากมายจากการขายหมูในครั้งนี้ แต่คุณแม่กับเจี้ยนเหอลองคิดดูนะคะ ว่าลุงสามจ่ายเงินไปเท่าไหร่ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา? บนภูเขามีคนงาน 4 คน เดือนหนึ่งต้องจ่ายค่าจ้าง 120 หยวน หกเดือนต้องจ่ายถึง 720 หยวน ไหนจะเงินที่ซื้อมันเทศจากชาวบ้านอีก คงเป็นอีกหลายร้อยหยวนเลยไม่ใช่เหรอคะ? ฉันได้ยินมาว่ามีคนได้เงินตั้ง 70 หยวน หลายครอบครัวก็ได้เงินไป 50 ถึง 60 หยวน หักส่วนนี้แล้วเลี้ยงหมู 21 ตัว ในครึ่งปีจะเหลือเงินสักเท่าไหร่กัน? เงินนั่นมันก็เพียงพอสำหรับแค่จ้างคนมาทำงาน แต่ถ้าเลี้ยงหมูเอง ก็ต้องใช้เวลาทั้งวันอยู่ที่นั่น ไม่อย่างนั้นก็คงเลี้ยงมันไม่ได้” 

หลังจากฟังการวิเคราะห์ของหล่อนแล้ว จี้เจี้ยนเหอก็คิดเหมือนกัน หากหักค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าแรงไปแล้ว ก็เหลือเงินอยู่ไม่มากเลย

ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเขาได้ทำงานประจำ เขาก็จะสามารถเลี้ยงหมูได้ 2 ตัว

 

“พวกเราไม่ต้องเลี้ยงเยอะ เลี้ยงแค่ 2 ตัวก็พอดีไหม?” ขณะที่ภรรยาของจี้เจี้ยนเหอกำลังโล่งใจ ฝ่ายสามีก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง

“ถ้าอย่างงั้นก็เลี้ยงเถอะ” ป้าหลี่ตบโต๊ะเบา ๆ

แม้ว่าค่าใช้จ่ายจะไม่น้อย แต่นางก็โลภมาก ตอนนี้ต้องเลี้ยงหมูอย่างดี จะได้พร้อมขายในอีกครึ่งปี ถ้าเลี้ยงหมู 2 ตัว จะได้เงิน 200 หยวน หากปีหนึ่งเลี้ยงหมู 2 ครั้ง ก็จะได้เงินตั้ง 400 หยวน

นอกจากนี้สามีของนางยังได้เป็นลูกจ้างประจำ และลูกชายคนที่สองก็จะได้ทำด้วย ส่วนลูกชายคนโตที่แยกบ้านออกไปแล้ว ตอนนี้ไม่เคยได้รับเงินจากเขาเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นนางจึงไม่อยากนับลูกอกตัญญูคนนี้

แต่ถึงกระนั้น ภายในสิ้นปีนี้ก็จะมีรายได้เกือบ 1,000 หยวน!

ป้าหลี่รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ก่อนจะหันไปพูดกับภรรยาของจี้เจี้ยนเหอ “รออีกไม่กี่วัน ให้พ่อเธอไปหามาสัก 2 ตัว จากนั้นเธอต้องดูแลมันให้ดี!”

ภรรยาของจี้เจี้ยนเหอมีท่าทางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

ทั้งที่รู้ดีว่าแม่สามีมักจะตาลุกวาวเมื่อเห็นเงิน แต่ทำไมหล่อนถึงคำนวณรายได้ส่วนนี้ออกมากันนะ? สุดท้ายนี้มันก็ตกเป็นภาระของหล่อนเองไม่ใช่เหรอ? ถึงจะนับเป็นวันที่ดีก็จริง แต่ดูตัวหล่อนสิ!

คุณลุงจี้ไม่ได้รับรู้ว่าเกิดเรื่องราวอะไรขึ้นบ้างในครอบครัวตนเอง เขากำลังทำอาหารให้หมู เพราะอีกไม่นานนี้มันจะต้องถูกส่งไปโรงเชือด ทุกวันนี้พวกมันจึงไม่เคยถูกปล่อยให้ต้องทนหิว

หลังจากทำอาหารหมูเสร็จ เขาก็เทลงไปในตอนที่กำลังร้อน โดยปล่อยให้หมูกินไป ส่วนเขามองดูท่าทางหิวโหยของพวกมัน หมูเหล่านี้ส่งเสียงฮึมฮัมอย่างมีความสุข พลอยทำให้เขามีความสุขไปด้วย

แม้ว่าพวกมันจะไม่ใช่หมูของเขา แต่ก็เป็นของหลานชาย

จี้เจี้ยนอวิ๋นนำกาน้ำร้อนที่บรรจุชาเก๋ากี้ฝีมือซูตานหงขึ้นมาด้วย เขาทำอย่างนี้มากว่าครึ่งเดือนแล้ว เนื่องจากตอนนี้อากาศหนาวเย็น นอกจากจะมีกาของคุณพ่อจี้กับคุณแม่จี้ ซูตานหงยังต้มเพิ่มอีกกาสำหรับคุณลุงจี้

แม้ซูตานหงจะไม่มีความประทับใจที่ดีต่อป้าหลี่ แต่เธอยังคงให้ความเคารพลุงจี้ เพราะถึงอย่างไร เจี้ยนอวิ๋นก็ถือว่าเป็นหลานชายของเขา

“ไม่จำเป็นต้องเอามาให้หรอก ในกายังมีน้ำร้อนอยู่เลย” ลุงจี้พูดด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นหลานชายของเขาถือกาชาร้อนมาให้

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

Status: Ongoing
คุณหนูซูผู้มีชีวิตอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ยึดหลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรมมาตั้งแต่ยังเล็ก ยังไม่ทันจะได้ออกเรือนนำเกียรติมาให้วงศ์ตระกูลกลับจับไข้สิ้นลมกลางสายฝนยามสารทฤดู และมาเกิดใหม่ในปี 1980 นางไม่คิดเลยว่าวิถีกุลสตรีในชาติที่แล้วของตนจะกลายเป็นคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมในยุคนี้ เนื่องจากเจ้าของร่างเดิม ซูตานหง ผู้กระทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการกินยาฆ่าแมลงตายคนนี้ นอกจากนามสกุลเดียวกันแล้วก็ไม่มีอะไรดีเหมือนนางเลยสักด้าน ถึงอย่างนั้นคุณหนูซูก็ไม่สนใจ นางคิดเพียงว่าจะใช้ทักษะที่มีอยู่มาสร้างเงินทอง ปลูกต้นไม้ดอกไม้มีค่า เย็บปักถักร้อยวาดภาพภูเขาสายน้ำอันงดงาม ใช้ชีวิตในชาตินี้ให้เรียบง่ายสุขสบายตามอัตภาพเท่านั้นและนี่ก็คือเรื่องราวของคุณหนูสูงศักดิ์จากยุคโบราณผู้มาเกิดใหม่ในร่างหญิงสาวยุค 80 เพื่อทำสวนทำไร่และให้กำเนิดบุตร นางจะเอาชีวิตรอดในยุคที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างไรบ้าง เอาใจช่วยคุณหนูซูไปพร้อมๆ กันได้ในเรื่องนี้เลย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท