ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] – ตอนที่ 193 มัน…ไม่เร็วเกินไปเหรอ

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 193 มัน…ไม่เร็วเกินไปเหรอ?

เนื้อส่วนที่เหลืออยู่คือไส้หมูและเครื่องในส่วนอื่น ๆ

จี้เจี้ยนอวิ๋นแจกจ่ายให้คนอื่น ๆ ทันที ครั้งนี้ป้าหลี่ไม่ได้โวยวายแต่อย่างใด เพราะคุณลุงจี้ได้หัวหมูปริมาณมาก ซึ่งเพียงพอสำหรับคนทั้งครอบครัวกลับบ้านมาด้วย

ส่วนตับกับหัวใจนั้นตกเป็นของคนงานที่สวน เขาเก็บไว้กินเองแค่เนื้อสามชั้นเท่านั้นและไม่ได้แยกส่วนอื่นออกไปอีก นอกจากนี้ยังยกหัวหมูส่วนที่เหลือให้แม่ยายด้วย

มีหมูทั้งหมด 5 ตัว ซึ่งซูจิ้นตั๋งกับเหล่าฉินก็เอาหัวหมูไปขายคนละหัวแล้ว

เหลือหัวหมูเพียง 3 หัวที่เอาไปขายที่เมืองมหาวิทยาลัยได้ แต่เขาก็แบ่งให้คนขายเนื้อหลี่ คุณลุงจี้ และแม่ยายของเขา

ยังเหลือหมูอยู่ตั้ง 16 ตัว จะมากังวลว่าพวกเขาจะไม่มีกินทำไมกันล่ะ?

ส่วนของหัวใจกับปอด จี้เจี้ยนอวิ๋นก็ยกให้คนอื่นหมดเช่นกัน

มีชาวบ้านหลายคนมาเพื่อดูการชำแหละหมู ซึ่งพวกเขาต่างได้ส่วนแบ่งนั้นไป

เพราะเครื่องในแค่นี้แบ่งกันในวันเดียวก็เสร็จ หากจะแบ่งก็แบ่งได้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

แต่ส่วนที่เหลือนอกเหนือจากนั้นจี้เจี้ยนอวิ๋นก็ไม่คิดจะแบ่งใครอีก พวกมันเป็นส่วนที่จะเอาไปขายที่เมืองมหาวิทยาลัย และน่าจะขายดีเลยทีเดียว

เป็นอย่างที่คาดไว้ เมื่อจี้เจี้ยนเยี่ยนำเนื้อหมูทั้งสามตัวมาส่งที่ร้าน ก็มีแต่คนจองขาหมูกับเนื้ออีกครึ่งตัว จนหมูสามตัวมีไม่พอขาย

สุดท้ายจี้เจี้ยนเยี่ยจึงต้องใช้วิธีเดิมโดยจำกัดให้ซื้อเพียงคนละ 10 ชั่งเท่านั้น

คงมีการบอกกันปากต่อปากกันเช่นเคยว่าให้ลองซื้อกลับไปชิมดู ไม่อย่างนั้นน้องสามของเขาจะขายดีขนาดนี้ได้อย่างไร? ใช่ว่าทุกคนจะรู้ว่ามันเป็นของดีเสียหน่อย

แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ซื้อได้เพียง 10 ชั่งเท่านั้น

“ทำไมถึงไม่มีหัวหมูเลยล่ะ?” คุณลุงเกาผู้ไม่เห็นหัวหมูหลังจากยืนสำรวจมานานได้ถามขึ้น เขาโปรดปรานหัวหมูซึ่งหอมอร่อยเป็นพิเศษมาก!

“พอดีว่าเจี้ยนอวิ๋นยกให้คนอื่นไปแล้วน่ะครับ” จี้เจี้ยนเยี่ยบอก

“เจ้าเด็กนั่นใจป้ำจริง ๆ หัวหมูหนักตั้งหลายสิบชั่งเลยไม่ใช่เหรอ?” คุณลุงเกาเอ่ย

“หนักหลายสิบชั่งจริงครับ เจี้ยนอวิ๋นก็มีน้ำใจอย่างนี้แหละ เรื่องแค่นี้เขาไม่คิดเล็กคิดน้อยหรอกครับ” จี้เจี้ยนเยี่ยเอ่ยพร้อมแย้มยิ้ม

เขาอาจจะไม่สนิทใจกับน้องสี่อย่างจี้เจี้ยนเหวินไปบ้าง แต่สำหรับน้องสามอย่างจี้เจี้ยนอวิ๋น เขานั่นไม่มีอะไรจะพูด

อีกทั้งลูกสาวทั้งสองคนก็รักอากับอาสะใภ้สามมาก และพวกเขาก็ดูแลเด็ก ๆ เป็นอย่างดี จึงไม่คิดมีปัญหากับอีกฝ่ายแต่อย่างใด

ค่าเรียนขับรถของเขาแพงมาก แต่จี้เจี้ยนอวิ๋นก็เป็นออกให้ทั้งหมด ก่อนจะจ้างเขาเป็นพนักงานส่งของอีกต่างหาก

งานรัดตัวมากเหลือเกิน แต่แม้จะงานยุ่งจนไม่มีเวลาว่างมากแค่ไหน เงินที่ได้มาก็ช่วยให้ตั้งตัวได้มาก หากตั้งใจเก็บหอมรอมริบก็สามารถเก็บได้ถึง 50 ถึง 60 หยวน นับได้ว่าเป็นเงินก้อนใหญ่ทีเดียว

ตอนนี้เขาขับรถเป็นแล้ว มีทักษะเป็นของตัวเอง ต่อให้แยกตัวออกมาคนเดียวก็ไม่ต้องกังวลว่าจะตกงาน จะสมัครไปเป็นคนขับรถที่ไหนก็ย่อมได้

แต่แน่นอนว่าเขาไม่คิดจะเลิกทำงานนี้ เขายังมีจิตสำนึกอยู่ น้องชายเป็นคนออกเงินค่าเรียนจนมีทักษะติดตัวให้ เขาคงหนีไปโดยไม่อยู่ช่วยอีกฝ่ายไม่ลงหรอก

“ฝากไปบอกเขาด้วยนะ พรุ่งนี้เก็บเอาไว้ให้ลุงหัวหนึ่งด้วย อย่าเพิ่งให้ใครหมดล่ะ” คุณลุงเกาบอกพลางยิ้มให้

เขารู้ว่าจี้เจี้ยนอวิ๋นเป็นทหารมาก่อน จะต้องรักษาคำพูดอย่างแน่นอน

ไม่อย่างนั้นในตอนนั้นคุณลุงเกาคงไม่ยอมขายร้านนี้ให้ แม้จี้เจี้ยนอวิ๋นจะซื้อร้านไปนานแล้ว แต่หากต้องขายตอนนี้ เจ้าตัวก็คงจะขาย 5,000 หยวนเหมือนก่อน ไม่คิดโก่งราคาอย่างแน่นอน

หากแต่คุณลุงเกาไม่ได้ติดใจแต่อย่างใด ก่อนหน้านี้เขาเสนอราคาให้คนอื่นแพงกว่า 5,000 ไม่ว่าจะต่อรองอย่างไรก็ลดให้ได้เพียง 5,200 หยวนเท่านั้น ไม่น้อยไปกว่านี้

หากแต่เพราะถูกชะตากับจี้เจี้ยนอวิ๋นจึงยอมลดให้ถึง 5,000 หยวน

คุณลุงเกาไม่คิดเสียดายแต่อย่างใด แม้ตอนนี้ร้านจะกำลังเจริญรุ่งเรืองก็ตาม ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็มีร้านถึง 2 แห่ง แม้ไม่ใหญ่โตแต่ก็อยู่ในทำเลทอง

เมื่อกลางปีที่ผ่านมาเขาเพิ่งปล่อยให้ลูกชายคนโตเช่า ตอนนี้จึงทำเพียงเก็บค่าเช่า

“ได้ครับ เดี๋ยวผมจะบอกน้องชายให้นะครับ” จี้เจี้ยนเยี่ยรับปาก

เขาปล่อยให้ซุนต้าซานกับเหอเจี่ยช่วยดูแลลูกค้าต่อ หลังมอบหมายและจัดการทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ทำให้มั่นใจว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด เขาก็ขับรถไปซื้อของมาขายต่อตามรายการที่สั่ง

ทั้งหมดเป็นสินค้าสำหรับขายที่ห้างในเมือง ซึ่งจี้เจี้ยนอวิ๋นสั่งให้มาซื้อ

ซื้อเสร็จแล้วจี้เจี้ยนเยี่ยก็ขับรถกลับ

เขาไปส่งสินค้าที่ห้าง ก่อนจะขับรถไปบอกสิ่งที่คุณลุงเกาฝากมากับจี้เจี้ยนอวิ๋น และเดินทางกลับบ้าน

เวลาล่วงเลยมาจนบ่าย 2 โมงแล้ว

เขายังไม่ได้กินมื้อเที่ยงเพื่อประหยัดเงิน ช่วงนี้อาหารในเมืองมหาวิทยาลัยแพงขึ้นมาก บะหมี่เกี๊ยวชามหนึ่งขึ้นราคามาตั้ง 2 เหมา ตอนนี้ตกราคาชามละ 5 เหมาแล้ว เขาได้ค่าแรงแค่ 1 หยวนจะไปมีปัญญากินบะหมี่เกี๊ยวราคาเท่านั้นได้อย่างไร?

เมื่อกลับมาถึงบ้านเขาก็เห็นไส้ทอดตั้งอยู่บนโต๊ะ สายตาพลันฉายแววเปลี่ยนไปทันที “เจี้ยนอวิ๋นเอามาให้เหรอ?”

“ค่ะ” เมื่อได้ยินเขาถาม จี้มู่ตานที่กำลังถักเสื้อไหมพรมก็อยู่ขานรับโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเขา “หมูขายดีไหมคะ?”

“ดีสิ ถึงพวกเขาจะยังไม่เคยชิมแต่ก็ขอซื้อกันยกใหญ่ ทำเอาผมกังวล ต้องจำกัดจำนวนซื้อต่อคน ไม่อย่างนั้นคงไม่พอขายแน่” จี้เจี้ยนเยี่ยเอ่ยชม “ไส้ทอดอันนี้หอมอร่อยมากเลย!”

“อาหารที่ทำจากสินค้าของน้องสามก็อร่อยทั้งนั้นแหละค่ะ ไม่แปลกที่ลูกค้าจะแห่มาซื้อกัน” จี้มู่ตานพูดขึ้นมาลอย ๆ “ก่อนหน้านี้น้องสามเอาน้ำผึ้งมาให้ 2 ขวด ฉันแบ่งไปให้ที่บ้านขวดหนึ่ง พ่อก็บอกว่ากินแล้วดับกลิ่นปากได้ดี เลยขอให้ฉันเอากลับไปฝากอีก”

“ถ้าพ่อคุณอยากได้ก็เอาไปฝากท่านหน่อยเถอะ” เพราะเป็นแค่น้ำผึ้งไม่ใช่เงิน จี้เจี้ยนเยี่ยจึงไม่ได้ใส่ใจนัก

“งั้นตอนกลับบ้านช่วงปีใหม่ฉันจะเอาไปฝากแล้วกันค่ะ” จี้มู่ตานเอ่ย

จี้เจี้ยนเยี่ยไม่ได้ใส่ใจนัก ก่อนที่จี้มู่ตานจะกล่าวต่อ “เจี้ยนเยี่ย คุณบอกว่าน้องสามมีที่อยู่ตั้ง 30 หมู่ คิดจะจ้างคนมาดูแลบ้างหรือเปล่าคะ?”

จี้เจี้ยนเยี่ยเข้าใจทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น “พอเถอะน่า เราไม่มีสิทธิ์ไปเจ้ากี้เจ้าการให้เจี้ยนอวิ๋นทำอะไรเสียหน่อย จะจ้างหรือไม่จ้างก็เรื่องของเขา ไม่ต้องไปยุ่งด้วยหรอก”

ทำไมเขาจะไม่รู้ทันภรรยาตัวเองล่ะ? คงไม่พ้นอยากแนะนำให้จ้างคนในครอบครัวหล่อนเองสิน่า หากแต่เจี้ยนเยี่ยก็ยืนกรานไม่เห็นด้วย

จี้มู่ตานเห็นว่าเขาไม่พอใจนักก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีก แม้ในใจจะยังตั้งใจเสนอเรื่องนี้อีกในปีหน้าก็ตาม

ด้านคุณพ่อกับคุณแม่จี้ก็กำลังวุ่นวาย คงไม่เหมาะจะไปพูดเรื่องนี้ด้วยตอนนี้

มีเรื่องต้องจัดการมากมาย ทั้งเรื่องชำแหละหมูของจี้เจี้ยนอวิ๋น และการหมั้นหมายของจี้อวิ๋นอวิ๋น ตอนนี้จะมีใครคิดสนใจครอบครัวของหล่อนกันล่ะ?

ในขณะเดียวกันคุณแม่จี้ก็มาหาลูกสาว

นางไม่อาจคาดเดาความในใจของลูกสาวที่มีต่อว่าที่ลูกเขยได้เมื่อเห็นท่าทางของหล่อน แม้จะทำได้เพียงคาดเดาไปต่าง ๆ นานา แต่ตอนนี้ก็ใกล้ถึงเวลาแต่งงานแล้ว จึงเอ่ยด้วยหัวอกคนเป็นแม่ “อวิ๋นอวิ๋น ถ้าแกมีใจให้เขาก็บอกมา แม่จะได้ให้น้าไช่ไปคุยให้”

จี้อวิ๋นอวิ๋นกัดริมฝีปากทั้งใบหน้าแดงเรื่อก่อนบอก “มัน…ไม่เร็วเกินไปเหรอคะ?”

“รีบ ๆ นี่แหละดี หลี่จื้ออายุตั้ง 26 ย่าง 27 แล้ว ยังอยากจะยื้อเวลาไปกว่านี้อีกเหรอ?” คุณแม่จี้ขึ้นเสียง “ถ้าไม่อยากแต่งก็ปล่อยเขาไป ให้เขาไปหาคนอื่นดีไหมล่ะ? จะได้ไม่ต้องทำให้เขาเสียเวลาไง”

“งั้นเอาตามใจแม่เลยค่ะ” จี้อวิ๋นอวิ๋นรีบโพล่งขึ้นทันที

คุณแม่จี้ถึงได้ยิ้มออกมา “ก็แค่นั้นแหละ เดี๋ยวแม่จะไปบอกให้น้าไช่จัดการให้แล้วกัน”

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

Status: Ongoing
คุณหนูซูผู้มีชีวิตอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ยึดหลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรมมาตั้งแต่ยังเล็ก ยังไม่ทันจะได้ออกเรือนนำเกียรติมาให้วงศ์ตระกูลกลับจับไข้สิ้นลมกลางสายฝนยามสารทฤดู และมาเกิดใหม่ในปี 1980 นางไม่คิดเลยว่าวิถีกุลสตรีในชาติที่แล้วของตนจะกลายเป็นคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมในยุคนี้ เนื่องจากเจ้าของร่างเดิม ซูตานหง ผู้กระทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการกินยาฆ่าแมลงตายคนนี้ นอกจากนามสกุลเดียวกันแล้วก็ไม่มีอะไรดีเหมือนนางเลยสักด้าน ถึงอย่างนั้นคุณหนูซูก็ไม่สนใจ นางคิดเพียงว่าจะใช้ทักษะที่มีอยู่มาสร้างเงินทอง ปลูกต้นไม้ดอกไม้มีค่า เย็บปักถักร้อยวาดภาพภูเขาสายน้ำอันงดงาม ใช้ชีวิตในชาตินี้ให้เรียบง่ายสุขสบายตามอัตภาพเท่านั้นและนี่ก็คือเรื่องราวของคุณหนูสูงศักดิ์จากยุคโบราณผู้มาเกิดใหม่ในร่างหญิงสาวยุค 80 เพื่อทำสวนทำไร่และให้กำเนิดบุตร นางจะเอาชีวิตรอดในยุคที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างไรบ้าง เอาใจช่วยคุณหนูซูไปพร้อมๆ กันได้ในเรื่องนี้เลย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท