ตอนที่ 198 ชื่นมื่น
คุณแม่จี้ขายหน้าอย่างถึงที่สุด ลูกสาวคนนี้ช่างเอาแต่ใจจนนางรู้สึกอายแทน เลี้ยงลูกชายมาตั้ง 4 คน แม้คนโตกับคนรองจะไม่เก่งกาจเท่า 2 คนหลัง แต่พวกเขาก็ยังขยันและมีจิตสำนึกอยู่บ้าง แล้วเหตุใดลูกสาวถึงโตมาแบบนี้ได้ล่ะ?
ทั้งที่นางกับสามีก็ไม่มีใครนิสัยก้าวร้าวแบบนี้แท้ ๆ!
“ตอนนี้อยู่ที่บ้านยังเอาแต่ใจได้ พอหล่อนไปเป็นภรรยาบ้านนั้นก็คงคิดได้เองแหละค่ะ” จี้มู่ตานบอก
ส่วนซูตานหงยังคงไม่ออกความเห็นนอกจากเรื่องกระติกน้ำร้อนเช่นเคย
“ว่าแต่เรื่องเรียนของอวิ๋นอวิ๋นเป็นยังไงบ้างล่ะ?” เฝิงฟางฟางหันมาถามอวิ๋นลี่ลี่ ด้วยถึงอย่างไรอวิ๋นลี่ลี่ก็สนิทสนมกับจี้อวิ๋นอวิ๋นที่สุด
อวิ๋นลี่ลี่ยอมรับออกมาตามตรง “ฉันเองก็ไม่ค่อยรู้นักหรอกค่ะ”
เทียบกันแล้ว เรื่องนี้จี้เจี้ยนเหวินซึ่งเป็นพี่ชายแท้ ๆ ควรเป็นคนพูดมากกว่า เขาจึงเอ่ยขึ้นมา “หล่อนก็ไม่ได้บอกว่าเรียนไม่ไหวตรง ๆ หรอก แต่ก็ไม่ยอมไปเรียนเหมือนกัน เลยว่าจะสอบเทียบวุฒิเอาน่ะครับ”
“ไม่ไปเรียนแล้วจะเรียบจบได้เหรอ?” จี้มู่ตานถามกลับ
ไม่ใช่ว่าหล่อนเป็นคนหัวไม่ดี หากแต่หล่อนคงเหมาะกับการออกไปทำงานหาเงินมากกว่า แล้วจะเคี่ยวเข็ญให้หล่อนไปเรียนในมหาวิทยาลัยเพื่ออะไรกันล่ะ?
แทนที่จะเสียเงินเล่าเรียน สู้แต่งงานออกไปหาเงินเลี้ยงครอบครัวจะดีกว่า
หงุดหงิดใจกับหล่อนไปก็เปล่าประโยชน์ จี้มู่ตานคิดแล้วก็รู้สึกว่ามีแต่จะทำให้แม่สามีไม่สบายใจ
อีกทั้งยังไม่มีใครตอบคำถามของหล่อนสักคน
จี้เจี้ยนเหวินกับอวิ๋นลี่ลี่ไม่ได้ตอบ ทั้งสองรู้ดีว่าผลการเรียนของจี้อวิ๋นอวิ๋นเป็นอย่างไร ตอนนี้ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่อยากเรียนหนังสือต่อแล้ว
แต่มันไม่ใช่ประเด็นหลักในตอนนี้ ที่สำคัญคือการแต่งงานของหล่อนต่างหาก
หล่อนต้องย้ายไปอยู่บ้านสามีหลังแต่งงาน และหลี่จื้อก็คงรับมือกับหล่อนไม่ไหว
จี้อวิ๋นอวิ๋นกลับเข้ามาในห้องด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ ในขณะที่สมาชิกครอบครัวที่เหลือนั่งคุยกันอยู่ด้านนอก
เฝิงฟางฟางกับจี้มู่ตานเอาแต่ชื่นชมซูตานหงว่าเลี้ยงลูกได้ดี ทั้งเหรินเหรินกับฉีฉีถูกเลี้ยงมาอย่างดีจนไม่ต่างจากเด็กในเมืองสักนิด
ลูก ๆ ของพวกหล่อนไม่ว่าจะเป็นจี้เสี่ยวตง เสี่ยวเจิน และเสี่ยวอวี้ พวกเขาต่างเคยผ่านการเลี้ยงดูจากซูตานหงทั้งนั้น
โดยเฉพาะจี้เสี่ยวตง ด้วยเฝิงฟางฟางแทบไม่มีเวลาดูแลลูกเพราะต้องไปทำงานที่ห้าง อีกทั้งจี้เสี่ยวตงยังไม่ชอบอาหารฝีมือพ่อจึงมาหาข้าวกินที่บ้านซูตานหงบ่อย ๆ
ซูตานหงไม่ได้คิดเล็กคิดน้อย ทำเพียงหยิบตะเกียบมาให้เขากินข้าวอีกคู่ นอกจากนี้หลานคนโตอย่างเสี่ยวตงยังสามารถสอนน้อง ๆ อ่านเขียนหนังสือ และนับเลขได้อีกด้วย แค่ข้าวเย็นมื้อเดียวไม่ใช่เรื่องที่จะมาถือสาอะไร
เป็นเฝิงฟางฟางที่นึกขอบคุณเธอ ด้วยเห็นลูกชายโตวันโตคืน ไม่ได้ซูบผอมแต่ยังหุ่นกำลังดี และดูร่าเริงกว่าแต่ก่อนมาก
หล่อนได้เงินเดือนถึง 30 หยวนจึงส่งงาดำ 3 ถึง 4 ชั่งมาให้เป็นการขอบคุณ
ฝ่ายซูตานหงก็รับมาเพื่อไม่ให้เสียน้ำใจ
ทั้งสองครอบครัวพึ่งพากันหลายเรื่องจึงมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน
ส่วนจี้เจี้ยนเยี่ยสามีของจี้มู่ตานก็มีรายได้มั่นคงจนทำให้เก็บเงินได้ทุกเดือน อีกทั้งลูกสาวของหล่อนยังแวะไปรบกวนกินข้าวที่บ้านซูตานหงบ่อย ๆ หล่อนจึงส่งถั่วลิสงเลาะเปลือกแล้วไปให้ และซูตานหงก็รับไว้ด้วยความยินดี
เพราะได้ผลประโยชน์จากอีกฝ่าย ถึงได้ไม่มีเรื่องบาดหมางใจกัน
เมื่อเห็นเฝิงฟางฟางกับจี้มู่ตานทำเช่นนั้น อวิ๋นลี่ลี่ก็แสดงความขอบคุณซูตานหงต่อหน้าทุกคนออกมาบ้าง
แม้จะบอกไปเป็นการส่วนตัวแล้ว แต่ต่อหน้าจี้เจี้ยนอวิ๋นและพ่อแม่สามีก็ควรต้องทำให้เห็นอีกครั้ง
“ใช่แล้วค่ะ ปีนี้เยียนเอ๋อร์โตขึ้นมาก ต้องขอบคุณสะใภ้สามที่คอยดูแลแกให้ด้วยนะคะ” อวิ๋นลี่ลี่กล่าว
“เยียนเอ๋อร์เป็นเด็กว่าง่าย ฉันไม่ต้องคอยดูแลเลย เสี่ยวตง เสี่ยวเจิน กับเสี่ยวอวี้ต่างหากที่เป็นคนคอยสอนเธออ่านเขียนหนังสือน่ะค่ะ” ซูตานหงตอบอย่างถ่อมตัว
เรียกได้ว่าในวันส่งท้ายปีเก่านี้ นอกจากจี้อวิ๋นอวิ๋นแล้ว บรรยากาศในวงสนทนาของทุกคนก็ดูชื่นมื่น
รอยยิ้มปรากฎขึ้นบนใบหน้าของคุณพ่อกับคุณแม่จี้
ตอนนี้พวกเขาหมดห่วงลูกชาย 2 คนโตแล้ว ลูกคนที่สามก็มีอนาคตไกล มีทรัพย์สมบัติเป็นของตนเองกันหมดแล้ว อีกทั้งยังมีหลานชายและหลานสาวอีกถึงอย่างละ 3 คน จะมีอะไรดีไปกว่านี้กันล่ะ?
ติดอยู่เพียงเรื่องเดียวที่ยังเป็นห่วงคือลูกสาวคนเล็ก แต่เดี๋ยวหล่อนก็จะแต่งงานแล้ว จึงไม่ใช่หน้าที่ของนางที่จะมาคอยเป็นห่วงอีก
จี้เจี้ยนเหวินถามถึงแผนในปีหน้าของจี้เจี้ยนอวิ๋น “พี่สาม เห็นปีหน้าจะเลี้ยงหมูตั้ง 30 ตัวใช่ไหมครับ?”
“อืม ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่เหรอครับ?” จี้เจี้ยนเหวินยิ้มกริ่ม “พี่สามไม่ได้เลี้ยงหมูแค่ 30 ตัว แต่ยังต้องจัดการที่ดินอีก 30 หมู่ แล้วก็อ่างเก็บน้ำด้วยนี่ครับ”
เขาไม่คิดว่าพี่ชายจะมีความสามารถขนาดนี้ ปีเดียวขยายกิจการได้มากถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกันนะ?
นอกจากที่เขาบอกก็ยังมีห้างในเมืองอีก แม้จะไม่ได้เป็นเจ้าของห้างทั้งหมดแต่ก็ถือหุ้นอยู่ เขาเคยไปเดินชมครั้งหนึ่ง เรียกได้ว่าใหญ่โตและมีสินค้าเทียบเท่ากับเมืองเจียงสุ่ยเลยทีเดียว ถือเป็นโอกาสดีที่จะซื้อของจากเมืองมหาวิทยาลัยกลับไป
อีกทั้งยังมีร้านค้าในเมืองมหาวิทยาลัย ที่สงสัยว่าพี่สามน่าจะซื้อขาดมามากกว่าขอเช่า
หากแต่ต่อให้เช่าก็ยังถือว่าเป็นกิจการของเขาอยู่ดี
“ปีหน้าคงมีเรื่องต้องจัดการเยอะ ทุกคนก็คงจะงานยุ่งกัน” จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้า
ไม่อย่างนั้นเขาจะกล้ารับปากขึ้นเงินเดือนให้ทุกคนได้อย่างไรกันล่ะ? เขาไม่ได้ขึ้นโดยไร้เหตุผลอยู่แล้ว แม้ว่าเงินเดือน 30 หยวนจะนับว่าสูงสำหรับพื้นที่แถบนี้ แต่ค่าแรงในเมืองมหาวิทยาลัยก็ขึ้นมามากแล้ว
ด้วยเหตุนี้เขาจึงตัดสินใจขึ้นค่าแรงให้เช่นกัน
ตราบใดที่ตั้งใจทำงานเขาก็ยอมขึ้นเงินเดือนให้ด้วยความยินดี
อีกทั้งคนงานของเขาก็ล้วนมีฝีมือจนไม่ต้องคอยกำกับแต่อย่างใด
บรรยากาศการพูดคุยกันในครอบครัวเป็นไปอย่างสนุกสนาน ตั้งแต่เรื่องการงานอาชีพไปจนถึงแผนในอนาคต แม้แต่อวิ๋นลี่ลี่ก็ยังเข้าร่วมวงสนทนาด้วย
จนกระทั่งเหรินเหรินกับฉีฉีออกอาการงัวเงีย จี้เจี้ยนอวิ๋นกับซูตานหงจึงต้องพากลับบ้านไปนอน
จี้เจี้ยนอวิ๋นตักน้ำร้อนมานั่งแช่เท้ากับภรรยา หลังพาลูก ๆ เข้านอนเสร็จ
หลังผ่านพ้นปีที่แสนวุ่นวายในที่สุดพวกเขาก็ได้มีเวลาพักผ่อนบ้างเสียที นาน ๆ ทีจะมีเวลาอยู่ด้วยกัน จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงคิดอยากรังแกภรรยาขึ้นมา
“ลูกยังอยู่ในห้องนะคะ” ซูตานหงปรามพลางอมยิ้ม
“ลูกหลับไปแล้วครับ” สายตาจี้เจี้ยนอวิ๋นฉายแววเจ้าเล่ห์เล็กน้อย
ซูตานหงจึงยอมตามใจเขาและคงเป็นอีกคืนที่เธอต้องนอนดึกอย่างเลี่ยงไม่ได้
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
พออวิ๋นอวิ๋นไปแล้วบรรยากาศถึงค่อยหายอึดอัดหน่อย มีชีวิตอยู่อย่างไรให้เป็นตัวปัญหาคะเธอ?
แหม่ มันนึกครึ้มใจอะไรขึ้นมาคะพี่จี้
ไหหม่า(海馬)