ตอนที่ 211 รุม 5 ต่อ 1 ก็ยังไหว
นอกจากนี้ที่บ้านยังมีแต่คนที่เอาแต่งอมืองอเท้า หล่อนไม่อยากโดนอีกฝ่ายถากถางอีกแล้ว!
เมื่อเห็นสีหน้ากังวลของคุณแม่อวิ๋น อวิ๋นลี่ลี่ก็ส่งยิ้มให้ “แม่คะ ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ เจี้ยนเหวินกับฉันไม่ได้ขัดสนอะไร”
“งั้นก็ดีแล้ว” นางไม่ได้เอ่ยอะไรอีก
สะใภ้อวิ๋นเห็นหล่อนยืนกรานจะใช้หนี้ให้ได้ก็ไม่พูดอะไร แม้ว่าจะควรจ่ายคืนมาตั้งนานแล้วก็ตาม!
อวิ๋นลี่ลี่อยู่ต่ออีกสักพัก ก่อนจะขอตัวกลับไปตรวจการบ้านนักเรียน
หล่อนบอกกับจี้เจี้ยนเหวินเมื่อกลับถึงบ้าน “เจี้ยนเหวิน ฉันบอกแม่ไปแล้วนะคะว่าจะยืมเงินพี่สามมาคืนให้”
เขาถึงกับชะงักไป “เราก็ผ่อนบ้านหมดแล้วไม่ใช่เหรอ? ต่อไปเดี๋ยวเราก็จะคืนให้อยู่แล้วนี่”
หลังทำงานหนักกันมานาน ในที่สุดพวกเขาก็ผ่อนบ้านงวดสุดท้ายหมดเมื่อเดือนที่แล้ว ต่อไปก็จะมีเงินไปจ่ายคืนแม่ของหล่อนโดยที่ไม่ต้องไปหยิบยืมพี่สาม
“แต่ฉันกลับบ้านไปเจอพี่สะใภ้พูดกดดันแม่แล้วฉันไม่สบายใจเลยนี่คะ” หล่อนอาจดูเข้มแข็งเมื่ออยู่ข้างนอก แต่พอถึงบ้านอวิ๋นลี่ลี่กลับไม่คิดกลั้นน้ำตาไว้อีกต่อไป
ตอนนี้ในบ้านแทบไม่มีใครเห็นหัวแม่ของหล่อนแล้ว
จี้เจี้ยนเหวินรู้ดีว่าปัจจุบันเงิน 500 หยวนไม่ได้มีมูลค่ามากเท่าหลายปีก่อน เมื่อเห็นภรรยาตกอยู่ในสภาพนี้จึงบอก “วันเสาร์นี้ผมจะกลับไปเยี่ยมเยียนเอ๋อร์ เดี๋ยวผมจะไปขอยืมพี่สามมาให้แล้วกันนะครับ”
เขารู้สึกผิดกับแม่ยายจากใจจริง แต่ในตอนนั้นเขากับภรรยาก็ต้องการบ้านหลังนี้มากเช่นกัน แม้จะมีพื้นที่เพียง 80 ตารางเมตรก็ตาม!
ถึงได้ยอมเห็นแก่ตัวยืมเงินจากพ่อแม่ตัวเองมาถึงคนละ 500 หยวน
ทั้งสองครอบครัวจึงต่างมีปัญหา สุดท้ายทั้งสองก็ได้บ้านมาครอง และตอนนี้ช่วงที่ยากลำบากก็ได้ผ่านพ้นไปแล้ว
จี้เจี้ยนเหวินไม่ได้ออกความเห็นเรื่องที่คืนเงินบางส่วนให้พ่อแม่ของตัวเองก่อน ถึงอย่างไรต่อไปพวกเขาก็มีรายได้พอใช้หนี้ส่วนที่เหลือคืนแล้ว
วันเสาร์นี้เขาจะกลับบ้าน ส่วนอวิ๋นลี่ลี่ต้องไปสอนชดเชยให้นักเรียนเพื่อหารายได้พิเศษ
เมื่อเห็นเขากลับมาคุณแม่จี้ก็มีความสุขมาก เยียนเอ๋อร์ก็เช่นกัน เรียกได้ว่าลูกสาวติดพ่ออย่างเขาไม่น้อย
จี้เจี้ยนเหวินมาถึงวันเสาร์ก่อนกลับไปในวันอาทิตย์ เขามาขอยืมเงิน 500 หยวนจากพี่ชายกลับไปให้ภรรยาเอาไปคืนแม่ของเธอ
“เจี้ยนเหวิน ถึงเราจะติดเงินทางบ้านคุณอีก 800 หยวนแต่ทำไมฉันกลับรู้สึกโล่งใจขึ้นเยอะเลยล่ะคะ?” อวิ๋นลี่ลี่บอกกับสามีหลังไปคืนเงินให้แม่
จี้เจี้ยนเหวินส่งยิ้มตอบ “น่าจะเพราะปีหน้าเราจะใช้หนี้หมดแล้วมั้งครับ ถึงตอนนั้นก็คงใช้เงินเดือนได้ตามใจอยากแล้ว!”
อวิ๋นลี่ลี่มีท่าทางสุขล้น ทั้งคู่วาดฝันถึงอนาคตอันสดใสด้วยกัน พวกเขาต่างมีอาชีพมั่นคง ไม่ต้องกังวลว่าจะลำบากในภายภาคหน้า อีกทั้งตอนนี้ยังมีบ้านเป็นของตัวเอง เมื่อใช้หนี้หมดแล้วหล่อนเองก็อยากจะเริ่มสร้างเนื้อสร้างตัวบ้าง
หล่อนเบื่อที่ต้องกินข้าวที่โรงอาหารทุกวันจนแทบจะทนไม่ไหวแล้ว
ตัดกลับมาที่บ้านเกิด ซูตานหงก็เอ่ยกับจี้เจี้ยนอวิ๋น “ครอบครัวน้องสี่คงลำบากน่าดูเลยนะคะ”
ทั้งที่ติดหนี้มากขนาดนั้นแต่กลับได้ขึ้นเงินเดือนเป็นเพียง 40 หยวน แล้วจะไปพอใช้ได้อย่างไรกัน? คงเป็นอยู่ยากลำบากไม่น้อย
“เขาก็เกือบใช้หนี้หมดแล้วนะ ตอนนี้เหลือแค่ที่ต้องจ่ายคืนพ่อแม่อีก 300 หยวน กับส่วนของผมอีก 500 หยวน ไม่ถึงปีก็คงจะจ่ายครบแล้วหละครับ”
เขากลับคิดว่าตอนนี้ความเป็นอยู่ของเจี้ยนเหวินสุขสบายดี แม้จะยังมีหนี้อยู่แต่ก็คงใช้คืนจนครบภายในปีนี้ แล้วพวกเขาจะได้เริ่มสร้างเนื้อสร้างตัวกันได้เสียที คนหนุ่มสาวได้ผ่านประสบการณ์ยากลำบากบ้างถือเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ
พวกเขาจะได้ยิ่งภาคภูมิใจเมื่อผ่านพ้นวันคืนแสนเข็ญมาได้
ซูตานหงยกยิ้มและไม่ได้เอ่ยขัด ก่อนถามขึ้น “วันนี้คุณจะหยุดพักหรือเปล่าคะ?” ช่วงนี้เขางานยุ่งเสียเหลือเกิน
“เอาอย่างนั้นก็ดีครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นตอบ
ช่วงนี้เขาเหนื่อยสายตัวแทบขาด วัน ๆ ต้องขับรถไปทั่วจนไม่มีเวลาว่าง อีกทั้งยังมีผลไม้ในสวนที่ต้องเก็บเกี่ยวจำนวนมาก
เห็นสามีเหนื่อยถึงเพียงนี้เธอก็อดเสนอขึ้นไม่ได้ “คุณจะไม่จ้างคนขับรถเพิ่มจริง ๆ เหรอคะ?”
“จะดีเหรอครับ?” จี้เจี้ยนอวิ๋นถามกลับ
“ซูอันปังบอกว่ามีเพื่อนว่างงานอยู่ 2 คน แถมยังไม่แต่งงานด้วยนะคะ” ซูตานหงบอก
“เชื่อใจได้เหรอครับ?” เขาถามเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ถ้าเชื่อใจไม่ได้เขาก็คงไม่กล้ามาบอกฉันหรอกค่ะ” เธอยิ้ม
จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้มตอบพลางสบตาภรรยา “นี่คุณกำลังพยายามเป่าหูผมอยู่เหรอ?”
“ก็แค่พูดให้ฟังเฉย ๆ ค่ะ” เธอหัวเราะและเถียงกลับ
“ถ้าเป็นคนอื่นผมคงไม่ยอมทำตามหรอก แต่สำหรับคุณผมยอมทุกอย่างเลยครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ย
ก่อนที่เธอจะถูกเขาอุ้มไปรังแกบนเตียง
ถึงปากจะบอกอย่างนั้นแต่จี้เจี้ยนอวิ๋นก็ไปเจอว่าที่คนงานใหม่ด้วยตนเอง
“พวกนายหางานอยู่ใช่ไหม?” ่จี้เจี้ยนอวิ๋นเรียกอีกฝ่ายมาพบที่อ่างเก็บน้ำและถามเข้าเรื่องทันที คนหนึ่งมาจากหมู่บ้านต้าวาเหมือนกับลุงสวี่ ในขณะที่อีกคนมาจากหมู่บ้านซูเจี่ย
สวี่เหอซานมาจากหมู่บ้านต้าวา ปีนี้อายุได้ 23 ปีแล้ว และยังเป็นญาติห่าง ๆ กับลุงสวี่ที่คอยดูแลอ่างเก็บน้ำอยู่ด้วย
ส่วนคนที่มาจากหมู่บ้านซูเจี่ยอายุ 22 ปี ชื่อว่าซูจูเหมา* ถึงจะฟังเหมือนชื่อเล่นแต่มันคือชื่อจริงของเขา
*จูเหมา = ขนหมู
ทั้งสองคนร่างเล็กกว่าซูอันปังเล็กน้อย ในขณะที่ซูอันปังศีรษะเล็กกว่าพวกเขา
พวกเขายังไม่แต่งงานกันทั้งคู่ ด้วยสมัยนี้อายุเท่านี้ถือว่ายังหนุ่ม และไม่นิยมแต่งงานกันตั้งแต่ตอนนี้
ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวของสวี่เหอซานหรือซูจูเหมาล้วนค่อนข้างยากจน หากทั้งสองไว้ใจไม่ได้ ซูอันปังคงไม่กล้ามาแนะนำกับซูตานหงแน่
“ใช่ครับ! เถ้าแก่” พวกเขาขานรับโดยพร้อมเพรียงกัน
“งั้นมาดูกันก่อนว่าพวกนายจะล้มฉันได้หรือเปล่า” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยพร้อมตั้งท่า
ทั้งสองนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง
“ทำไม ต่อสู้ไม่เป็นเหรอ?” ่จี้เจี้ยนอวิ๋นว่าสำทับ
“เป็นครับ!” เด็กตามหมู่บ้านอย่างพวกเขาจะต่อสู้ไม่เป็นได้อย่างไร
“งั้นก็เข้ามา” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอกพลางจ้องหน้าอีกฝ่าย
“พี่ไปก่อนสิ” ซูจูเหมาพูดกับสวี่เหอซาน
สวี่เหอซานพยักหน้ารับ ขณะที่เสียงของจี้เจี้ยนอวิ๋นดังขึ้น “เข้ามาพร้อมกันนั่นแหละ ถ้าทุ่มสุดแรงแล้วสู้ฉันไม่ไหวภายใน 3 กระบวนก็กลับบ้านไปซะ!”
พวกเขาไม่คิดออมมืออีกต่อไป และร่วมมือกันเข้าโจมตี หากแต่เมื่อโดนลูกเตะของจี้เจี้ยนอวิ๋นไปไม่ถึง 3 ที ทั้งหมดก็ลงไปร้องโอดโอยบนพื้น
ซูอันปังเห็นแล้วรู้สึกเจ็บแทนไม่น้อย ส่วนลุงสวี่ได้แต่กระพริบตาปริบ ๆ ได้ยินมาว่าจี้เจี้ยนอวิ๋นเป็นทหารมาก่อน ด้วยร่างกายและฝีมือขนาดนี้ อย่าว่าแต่ 2 คนเลย ต่อให้รุมกัน 5 ต่อ 1 คนก็ยังเอาชนะได้อย่างง่ายดาย