ตอนที่ 214 ใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ
แม้จะปลูกพืชเหล่านี้ไว้หลากหลายชนิดแต่กลับมีอย่างละไม่มาก บางชนิดปลูกไว้ 1 หมู่ ในขณะที่บางอย่างปลูกไว้เพียงครึ่งหมู่เท่านั้น
ถึงจะเพิ่งทำงานไปได้ไม่นาน แต่ท่ามกลางอากาศร้อน ๆ เช่นนี้ ทุกคนต่างมีสภาพเหงื่อโซมกายกันถ้วนหน้า
จี้เจี้ยนอวิ๋นอุ้มแตงโม 2 ลูกใหญ่ลงจากภูเขา มันเป็นแตงโมที่ปลูกในสวน มีรสชาติไม่เลว และตอนนี้ก็ถูกแช่เย็นในน้ำจนเย็นได้ที่แล้ว
เมื่อเหล่าชายฉกรรจ์เห็นแตงโมสองลูกนี้เข้า ใบหน้าก็ฉายแววพึงพอใจทันที
“เย็นได้ที่แล้ว มากินเร็วเข้า ฉันเอามาแค่ไม่กี่ลูก” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก
วันนี้อากาศร้อนเสียจนทำให้เขาคิดว่าอีกไม่นานฝนคงจะตกหนัก ช่วงนี้เมื่อปีก่อนฝนก็ตกหนักเช่นกัน เขาเองไม่ได้รีบร้อนนัก เพราะเก็บเกี่ยวใกล้จะเสร็จแล้วด้วยสภาพอากาศช่วงนี้ ใช้เวลาเก็บเกี่ยวอีก 2-3 วันก็เสร็จ
หยางอ้ายเซินกับคนอื่น ๆ กลับขึ้นไปที่สวนหลังเลิกงาน จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงสั่งให้พวกเขามาเก็บเกี่ยวผลผลิตให้เสร็จโดยเร็วที่สุดก่อนที่จะได้หยุดพัก ด้วยคาดว่าฝนจะตกในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
เขาค่อนข้างมั่นใจในเรื่องนี้ จึงบอกให้ทุกคนเก็บธัญพืชที่ตากแดดไว้เข้าที่ร่ม ในคืนนั้นเองฝนก็เริ่มเทกระหน่ำลงมา ฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหว เรียกได้ว่าค่อนข้างรุนแรงทีเดียว
ซูตานหงถึงกับสะดุ้งตื่น จี้เจี้ยนอวิ๋นรีบเอ่ยปลอบ “ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรหรอกครับ”
“เหรินเหรินกับฉีฉีล่ะคะ?” ซูตานหงวิ่งไปดูลูก ๆ โดยสัญชาติญาณ แต่พวกเขากลับหลับปุ๋ยราวกับลูกหมู โดยไม่มีวี่แววจะตื่นแม้แต่น้อย
เธอโล่งใจเมื่อเห็นลูก ๆ นอนนิ่งเช่นนั้น แต่ก็ยังอุ้มพวกเขาไปนอนที่ห้องด้วยกัน
เหรินเหรินกับฉีฉีตื่นขึ้นมาอย่างร่าเริงในเช้าวันถัดมา เมื่อเห็นว่าพ่อแม่อุ้มมานอนด้วยกัน
“ฝนตกหนักเลยล่ะ”
สองพี่น้องลากเก้าอี้ไปนั่งดูฝนหลังจากเล่นกันอยู่ครู่หนึ่ง
ต้าเฮยเข้ามาหลบฝนในบ้านสุนัขแต่ไม่ได้เข้ามาในตัวบ้าน ส่วนลูกสุนัขอีก 2 ตัวถูกส่งไปเฝ้าที่อ่างเก็บน้ำหลังโตได้ระดับหนึ่ง วันหนึ่งเขาจะให้อาหาร 2 มื้อ บางมื้อซูอันปังเป็นคนให้ บางมื้อเขาก็เป็นคนให้
‘เปรี้ยง’
ทันใดนั้นเสียงฟ้าผ่าก็ดังลั่นขึ้น
ซูตานหงสะดุ้งโหยงและรีบออกไปดูลูกชาย นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะจิตแข็งถึงขนาดนี้ โดยเฉพาะคนเล็กที่ยังนั่งดูฟ้าผ่าได้อย่างไม่สะทกสะท้าน
จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้มพร้อมบอก “ลูกผมนี่ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ”
ซูตานหงมองค้อนใส่เขาก่อนหันไปถามลูกชาย “เช้านี้อยากกินอะไรจ๊ะ”
“โจ๊กเม็ดบัวครับ!” เหรินเหรินโพล่งขึ้น
“ใส่ไข่!” ฉีฉีว่าเสริม
หมายถึงให้เธอใส่ไข่ลงในโจ๊กเม็ดบัวด้วย
ซูตานหงไปทำโจ๊กตามคำเรียกร้องของลูก ๆ โดยใช้ข้าวที่ตัวเองปลูก ทำให้รู้สึกว่าหอมขึ้นมาก
ทั้งครอบครัวล้อมวงกันกินโจ๊กที่ทำเสร็จใหม่ ๆ อย่างพร้อมหน้า ส่วนต้าเฮยก็ได้กินโจ๊กข้น มันได้กินอาหารที่ดีกว่าเดิม เพราะในโจ๊กนั้นมีน้ำแกงเนื้อตุ๋นอยู่ด้วย
“ฝนตกมาพักใหญ่แล้วนะคะ ฉันกลัวว่าจะตกไม่หยุดจริง ๆ เลยค่ะ” ซูตานหงบอกระหว่างกินอาหาร
จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้าเห็นด้วย เขาคาดไว้แล้วว่าฝนน่าจะตกไปอีกหลายวัน โชคดีที่เก็บเกี่ยวผลผลิตทุกอย่างหมดแล้ว
“ที่อ่างเก็บน้ำจะมีปัญหาอะไรไหมคะ?” ซูตานหงถามด้วยความกังวล
จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้ม “ถึงฝนตกก็คงไม่หนักเกินกว่าที่ควรจะเป็นหรอกครับ”
เอาไว้ตกหนักจนปลากระโดดออกจากอ่างได้แล้วค่อยกังวลก็ยังไม่สาย ไม่เพียงแต่เขาจะไม่กังวลแต่ยังดูสบายใจเสียด้วย เพราะช่วงนี้อากาศร้อนเกินไปจึงต้องมีฝนลงมาดับร้อนบ้าง ไม่อย่างนั้นปลาในอ่างคงตายกันเป็นเบือแน่
เรียกได้ว่าเป็นฝนที่ตกมาได้จังหวะพอดี
ฝนตกต่อเนื่องราว 4 ถึง 5 วัน ระหว่างนี้มีชาวบ้านบางคนเป็นกังวลไม่น้อยเพราะเก็บเกี่ยวพืชผลไม่ทัน เดิมทีพวกเขาคิดว่าจะตกเพียงวันเดียว แต่หลังจากฝนตกติดต่อกัน ผลผลิตธัญพืชที่ยังไม่แห้งก็พากันงอกคาต้นหมด พวกเขาจะทำใจลงได้อย่างไรกัน?
ทันทีที่ฝนหยุด จี้เจี้ยนอวิ๋นก็ไปซื้อน้ำยาฆ่าเชื้อที่โรงพยาบาลในชานเมืองมาเป็นปริมาณมหาศาล เนื่องจากต้องเริ่มทำความสะอาดเล้าไก่ แกะ และหมู
ส่วนเรื่องอาหารการกินในช่วงนี้ ซูตานหงมักจะใส่สมุนไพรบางอย่างลงไปด้วย รวมถึงป่านหลานเกิน* ที่เก็บจากที่สวนมาตากแห้ง ซึ่งฤดูร้อนนี้เธอเอามาต้มกับน้ำอยู่บ่อยครั้ง ทั้งยังชงชาดอกสายน้ำผึ้งไว้ดื่มบ่อย ๆ
*ป่านหลานเกิน = รากแห้งของพืชที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Isatis indigotica ซึ่งมีผลในการฆ่าเชื้อไวรัสในการควบคุมโรคติดเชื้อ
เมื่อเห็นว่ายังมีเหลืออีกมากก็บอกให้สามีเอาไปฝากลุงจี้กับคนอื่น ๆ ให้เอาไปใส่ตอนทำอาหาร หรือจะเอาไปผสมให้หมูกับไก่กินก็ยังได้
ด้วยความที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขอนามัย พวกเขาจึงมีน้ำพุวิเศษไว้ใช้ทำความสะอาดไม่เคยขาด แม้แต่หลังช่วงฝนตกหนัก เล้าไก่ที่สวนทั้ง 2 แห่งก็ยังไม่สกปรกแต่อย่างใด
ส่วนคนงานทั้งหลายก็มีแนวทางปฏิบัติของตัวเอง จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงให้น้ำยาฆ่าเชื้อที่เหลือกับคนงานทุกคนกลับไปใช้ที่บ้าน
เพื่อให้มั่นใจว่าทุกอย่างสะอาดปลอดภัย
ลุงจี้เองก็ได้รับน้ำยาฆ่าเชื้อหนึ่งขวด เขาจึงหาเวลานำกลับไปให้ที่บ้าน
หากแต่ป้าหลี่กลับไม่นึกเห็นคุณค่า ด้วยคิดว่าน้ำยาฆ่าเชื้อไม่มีประโยชน์ ใครจะคิดว่าไม่กี่วันต่อมาหมูตัวโต 2 ตัวจะเกิดอาการเบื่ออาหาร ก่อนค่อย ๆ ล้มป่วยและตายภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งวัน
ไม่ใช่เพียงแค่หมู แต่ไก่ 7 ถึง 8 ตัวก็พบเจอชะตากรรมเดียวกัน
ข่าวนี้แพร่สะพัดเข้าหูชาวบ้านไปทั่ว โดยเฉพาะเมื่อป้าหลี่ออกมาร้องไห้ใหญ่โต
“แม่เป็นอะไรเหรอคะ? มีอะไรเหรอคะ?” ซูเจวียนเห็นนางวิ่งออกไปปล่อยโฮพร้อมกับทั้งร่างสั่นเทิ้มด้วยความเจ็บใจ
“หมูตายน่ะครับ แม่ก็เลยเสียใจยกใหญ่” จี้เจี้ยนเหอบอก
ในขณะที่ป้าหลี่คร่ำครวญอยู่ด้านนอก “ตายกันหมดแล้ว ทั้งหมูทั้งไก่ที่จะออกไข่ป่วยตายกันหมดเลย!”
ซูเจวียนอยากจะออกไปปิดปากนางเสียเดี๋ยวนี้ ก่อนขึ้นเสียงใส่สามี “อยู่เฉยทำไมล่ะคะ? ไปพาคุณแม่กลับเข้ามาสิ!”
“แล้วจะเอายังไงต่อไปล่ะครับ?” จี้เจี้ยนเหออดถามขึ้นไม่ได้
“เอายังไงน่ะเหรอ ไปถามแม่คุณเองสิ ถ้าไม่ไปป่าวประกาศก็คงไม่มีใครรู้ว่าหมูกับไก่บ้านเราตาย แล้วก็ยังพอจะแอบขายทิ้งได้ ตอนนี้รู้กันไปทั่วแล้ว ใครจะกล้ามาซื้ออีกล่ะ?” ซูเจวียนกัดฟันกรอด
จี้เจี้ยนเหอนิ่งงันไปเมื่อหล่อนว่าสำทับ “ไม่มีใครกล้ากินหมูที่ป่วยตายหรอก เดี๋ยวก็ได้ป่วยเหมือนกันน่ะสิ!”
“แต่นั่นมันเป็นแผนก่อนที่แม่คุณจะไปก่อเรื่องใหญ่โตแบบนี้ แล้วทีนี้ฉันจะกล้าเอาไปขายได้ยังไง? อยากเข้าไปกินข้าวแดงในคุกอย่างงั้นเหรอ?” ซูเจวียนโกรธจัด
เรื่องแม่ไก่ยังพอทน ทว่าเรื่องหมูซึ่งเดิมทีจะเอาไปเชือด แต่แม่สามีกลับบอกให้ขุนต่อจนถึงสิ้นปีแล้วค่อยฆ่า ทั้งที่ก็ไม่ต่างกันเท่าไรนักนี่สิ
นางเลี้ยงต่อโดยนึกไม่ถึงว่าจะกลายเป็นการใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ* หากแต่ประเด็นสำคัญคือการที่นางออกไปป่าวประกาศให้ชาวบ้านรู้กันทั่วต่างหาก น่าโมโหนัก!
*ใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ= พยายามทำสิ่งใดโดยเปล่าประโยชน์
“อย่าโมโหไปเลยนะครับ… ”
จี้เจี้ยนเหอว่าไม่ทันจบหล่อนก็เอ่ยขัด “คุณพ่อให้น้ำยาฆ่าเชื้อมาแล้วแต่แม่คุณก็ยังไม่ใส่ใจจะเอามาใช้ ตอนนี้สายเกินแก้แล้ว จะทำยังไงได้อีกล่ะ? ฉันทนไม่ไหวแล้วนะ ฉันจะกลับไปบ้านพ่อแม่ฉัน คุณกับแม่ก็อยู่สะสางเรื่องนี้ไปแล้วกันค่ะ!”