ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] – ตอนที่ 220 ใช้เงินไปตั้งเท่าไหร่ล่ะ

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 220 ใช้เงินไปตั้งเท่าไหร่ล่ะ?

จี้เจี้ยนอวิ๋นคัดเลือกผู้ชายมามากกว่า 20 คน หนึ่งคนได้รับเงินเดือน 30 หยวน หนึ่งเดือนก็ 600 กว่าหยวน แล้วยังมีปูน หิน ทราย แล้วก็เครื่องมือเครื่องไม้ต่าง ๆ อีก ของพวกนั้นไม่นับว่าเป็นเงินเหรอ?

ในการซ่อมอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่เช่นนี้ขึ้นมาใหม่ คุณแม่จี้ประเมินเงินในขั้นต้นไว้แล้วว่าจะต้องใช้ประมาณ 2,000 หยวนอย่างต่ำ!

มื้อเที่ยงของวันแรกนั้น ทุกคนต่างพากันพออกพอใจ แต่พอเข้าวันที่สองก็คงไม่มีอะไรแบบนี้แล้ว

แต่มันก็ยังคงมีเนื้อ คุณแม่จี้พาหวังหงฮวา ย่าของจี้เฟิงทำหมั่นโถวต่อไป แต่กับข้าวเปลี่ยนเป็นหมูผัดผักดอง

ผักดองมากหน่อยส่วนเนื้อก็น้อยลงมาหน่อย

ต่อมาราคาเนื้อก็เพิ่มขึ้น ซึ่งก็ถือว่าแพงมากเลยทีเดียว ครึ่งชั่งก็ราคา 2.5 หยวนเข้าไปแล้ว จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่ต้องการที่จะออกไปซื้อเนื้อข้างนอก จึงขึ้นไปล้มหมูตัวหนึ่งที่เลี้ยงไว้บนภูเขาแทน แล้วก็เอาเนื้อพวกนั้นมาทำอาหารให้คนงานกิน

เพราะแบบนี้เองที่ทำให้จี้เจี้ยนอวิ๋นโดนแม่ของเขาตำหนิ บอกว่าเขาเป็นนายจ้างที่ดีจริง ๆ เดือนหนึ่งให้เงินตั้ง 30 หยวนนับว่าไม่น้อยเลย ถ้าพ้นความยุ่งวุ่นวายนี้ไปทุกคนก็กลับไปว่างงานอีกเหมือนเคย ถ้าเงินเดือน 30 หยวนไม่รวมอาหารก็คงเร่งทำงานกันดีกว่านี้

แต่กลับให้เงิน 30 หยวนพร้อมอาหารไปด้วยมันต้องใช้เงินไปตั้งเท่าไหร่?

อาหารสำหรับผู้ชาย 20 กว่าคน พวกนางนึ่งหมั่นโถวกันจนอาบเหงื่อต่างน้ำแล้ว!

จี้เจี้ยนอวิ๋นกล่าวยิ้ม ๆ “เป็นคนหมู่บ้านเดียวกันทั้งนั้น ให้พวกเขาได้กินดี ๆ หน่อยก็ไม่เป็นอะไรหรอกครับ อีกหน่อยถ้าพวกเรามีปัญหาอะไร เรียกพวกเขามาช่วยก็คงจะง่ายขึ้น”

จี้เจี้ยนอวิ๋นคิดว่าจะต้องรักษาความสัมพันธ์ที่ดีในหมู่บ้านแห่งนี้เอาไว้ โดยเฉพาะตอนนี้ที่เขามีของมากขึ้นเรื่อย ๆ ช่วงเวลานี้ยิ่งต้องจับมันไว้ให้ดี ๆ ของที่ให้ไปมันก็จะกลับคืนมามากขึ้นกว่าเดิม

การใจกว้างให้กับคนอื่น ๆ ไม่เพียงแค่เขาจะได้รับคำชมที่ดี เขายังได้รับการยกย่องจากภรรยาว่าเป็นนักธุรกิจใหญ่หลังอธิบายเรื่องนี้ให้เธอฟังอีกด้วย

เธอปล่อยให้เขาได้ทำในสิ่งที่เขาคิด ไม่ต้องสนใจว่าเธอจะคิดเห็นเช่นไร

ซูตานหงกล่าวเอาไว้เช่นนี้ กับความคิดที่เป็นผู้ใหญ่ของสามีแล้ว เธอจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่เขาคิดจะทำ

เพราะว่าเขาเองก็ทำมันออกมาได้ดี อย่างเช่น การมอบเส้นก๋วยเตี๋ยวและไข่ ให้กับครอบครัวต่าง ๆ ในหมู่บ้านในวันขึ้นปีใหม่ ซูตานหงทำเพียงสนับสนุน ถือเสียว่าเป็นการทำเพื่อลูกชายทั้งสองคนของเธอกับลูกที่ยังไม่เกิดมา

ขณะเดียวกันในหมู่บ้าน การกระทำของจี้เจี้ยนอวิ๋นนั้นได้รับการยกย่องเป็นอย่างมาก อยู่หมู่บ้านเดียวกันใครจะไม่ได้รับความลำบากกันบ้างละ?

การที่จี้เจี้ยนอวิ๋นทำแบบนี้ เป็นการบอกว่าเขาไม่ได้ลืมรากเหง้าของตัวเอง เขากำลังพัฒนามากขึ้น แต่เขาก็ไม่ลืมคนในหมู่บ้าน จึงนำของพวกนั้นมาแจกจ่ายให้กับทุกคน

แน่นอนว่าคนที่ไม่เข้าใจก็จะเอาเรื่องนี้ไปนินทากันลับหลัง แต่ไม่กล้าพูดออกไปตรง ๆ เพราะว่าคนส่วนใหญ่โดยเฉพาะผู้สูงอายุ คำพูดของคนที่เป็นผู้ใหญ่นั้นมีอำนาจมากกว่าและพวกเขาต่างชื่นชมจี้เจี้ยนอวิ๋น

แล้วก็ยังมีราคามันเทศในปีนิ้ ซึ่งจี้เจี้ยนอวิ๋นพูดไปแล้วถึงเรื่องการเก็บมันเทศของหมู่บ้าน และเขาก็ให้ราคามากกว่ามันเทศที่ส่งมาจากหมู่บ้านอื่นถึง 2 เฟิน

นี่ไม่เรียกว่าดูแลคนในหมู่บ้านอีกงั้นเหรอ? คนในหมู่บ้านต่างพากันดีใจ รู้สึกภาคภูมิใจที่อยู่หมู่บ้านเดียวกัน

วันนี้เมื่อทำงานเสร็จทุกคนก็กลับบ้านของตนเอง

“ตอนกลางวันของวันนี้ได้กินอะไรเหรอคะ?” เมื่อเห็นสามีกลับมาบ้าน คนเป็นภรรยาก็เอ่ยถาม

“ยังเป็นหมั่นโถวอยู่ แต่กับข้าวกลายเป็นหมูผัดผักดองไปแล้ว รสชาติอร่อยใช้ได้เลย” ชายหนุ่มตอบกลับ

ถึงแม้จะทำงานมาเพียงวันเดียว แต่มันก็เหนื่อยเอาการอยู่ ทว่าจะไม่พูดถึงอาหารกลางวันว่าช่างอุดมสมบูรณ์นักก็คงจะไม่ได้ เพียงแค่หมั่นโถวก็อิ่มแล้ว ถึงแม้กับข้าวจะเป็นหมูผัดผักดองที่เนื้อหมูไม่ได้มีมากมาย แต่ก็หอมน่ารับประทานมาก หอมกว่าอาหารที่บ้านอีก!

ภรรยาบางคนก็พอจะเข้าใจดีว่าการที่ผู้ชายไปซ่อมอ่างเก็บน้ำนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดขัดอะไร ก็เป็นเพราะทำงานที่นั่นหนึ่งเดือนได้เงินตั้ง 30 หยวน

ที่พวกเขาอาศัยอยู่ตอนนี้ เงิน 30 หยวนสามารถใช้ได้นานพอสมควร

“แล้วทำไมถึงไม่เอากลับมาด้วยล่ะคะ?” ภรรยาบางคนกลับมาคำถามนี้ขึ้นมา

“เอากลับมาอะไรกัน? คนไปกินไม่ใช่น้อย ๆ ผมไปกินยังรู้สึกเกรงใจเลย แล้วจะเอาหน้าที่ไหนไปเอากลับมาอีก แถมวันทั้งวันยังทำงานเหนื่อยสุด ๆ แขนผมล้าไปหมดแล้ว!” ฝ่ายสามีตอกกลับไปเช่นนั้น

“แล้วทำไมคุณถึงไม่หาวิธีเอากลับมาสักหน่อยล่ะ?” ภรรยาถามกลับไป

“ทุกคนก็กินกันไม่ใช่น้อย อีกอย่างนี่เป็นการไปทำงานนะ ไม่มีใครเขาเอากลับมาบ้านกันหรอก อ่างเก็บน้ำของจี้เจี้ยนอวิ๋น ถือเป็นการทำงานเพื่อส่วนรวม เพราะทุกคนสามารถไปใช้ด้วยกันได้” ผู้เป็นสามีพูดถึงภาพรวม

“ไปใช้ด้วยกันอะไร ตอนนี้มันกลายเป็นของเขาไปแล้ว!” ฝ่ายภรรยาไม่ได้สนใจอะไรมากนัก รีบหันมาคิดถึงผลประโยชน์ทันที

“เป็นของเขาแล้วยังไง? เขาไม่ได้ซื้อมันไปเสียหน่อย อ่างเก็บน้ำนี่จะไม่ซ่อมมันก็ได้ ที่ทำเอาไว้ก็เพื่อกักเก็บน้ำฝนเอาไว้ใช้ อีกหน่อยก็ต้องใช้น้ำทำนา จะไปเอามาจากที่ไหน ถึงเขาจะไม่ให้เงิน ให้แค่ข้าวกลางวัน คนอื่น ๆ ก็คิดจะไปช่วยเขาอยู่แล้ว” สามีพูดขึ้น

คำพูดพวกนี้ไม่ใช่แค่คนเดียว แต่มีผู้ชายไม่น้อยที่พูดถึงเรื่องนี้

โดยเฉพาะภรรยาบางคนที่ไม่เข้าใจ ว่าทำไมสามีมีของดี ๆ กินแต่ไม่ห่อของกินกลับมาด้วยเลยเอาแต่ตะโกนด่า

พอด่าจนพอใจก็ค่อยสงบลง และไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก

การสร้างอ่างเก็บน้ำสำหรับทุกคนที่ได้เงินต่อเดือน 30 หยวน แถมอาหารกลางวันเป็นหมั่นโถวและเนื้อตบท้ายด้วยซุปกระดูกหมู ถ้ายังห่อกลับไปให้ที่บ้านอีก มันก็คงจะเกินไป

ท่ามกลางสายตาคนมากมาย หากพูดออกไปจะขายหน้าขนาดไหน?

ถ้าทำแบบนั้นจริง เกิดจี้เจี้ยนอวิ๋นมีงานให้พวกเขาทำอีก พวกเขาคงไม่ถูกเลือกแน่ ๆ

จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่ได้รับรู้เรื่องทางบ้านของชายหนุ่มพวกนี้ แต่ต่อให้เขารู้ก็ไม่สนใจ เขาทำถึงขนาดนี้ก็นับว่าดีมากพอแล้ว หมูที่เขาล้มไปนั่นมีน้ำหนักราว 300 ชั่งเชียวนะ

ถ้าใครยังมีความเห็นที่ไม่ตรงกัน ครั้งหน้าเขาจะคัดออกให้หมด

แต่ผู้ชายพวกนั้นก็ไม่ยอมเสียหน้า ไม่อยากทำให้ตัวเองเสียความเชื่อถือไป

บรรดาชายฉกรรจ์ต่างซ่อมอ่างเก็บน้ำมาเป็นเวลา 27 วันแล้ว จนในที่สุดก็เสร็จสิ้นภารกิจ

ถึงจะบอกว่าเป็นการซ่อมอ่างเก็บน้ำ แต่ที่จริงแล้วเป็นการสร้างเขื่อนขึ้นมาใหม่ต่างหาก เป็นเพราะว่าอาหารกลางวันที่ทำให้ผู้ชายร่วม 20 คนทำงานออกมาได้อย่างดีเยี่ยม อีกทั้งคนที่จี้เจี้ยนอวิ๋นเลือกมานั้นล้วนใช้งานได้เป็นอย่างดี การทำงานของพวกเขาล้วนได้รับการจัดอันดับ ไม่เช่นนั้นจี้เจี้ยนอวิ๋นเองก็คงไม่เลือกมา ที่เขาเลือกคนในหมู่บ้านเพราะรู้ไส้รู้พุงกันเป็นอย่างดี ถ้าเป็นคนหมู่บ้านอื่น เขาคงต้องเดินทางไปหาผู้ใหญ่บ้านด้วยตัวเอง

หลังทำงานเสร็จแล้ว ซูตานหงก็จัดการเรื่องเงินกับพวกหวังหงฮวา

จี้เฟิงกับย่าของเขาไม่ได้รับเงินในส่วนนี้ แต่ก็ได้อาหารสำหรับช่วงเช้ากับเที่ยงไปแล้ว นั่นก็ถือว่าเป็นการใช้เงินเหมือนกัน เด็กน้อยผู้ยากจนก็มีความต้องการอาหารไม่ต่างจากผู้ใหญ่

ดังนั้นจึงไม่ได้คิดค่าแรง

“พ่อแกขึ้นไปดูมาให้แล้วนะ บอกว่าทำเขื่อนออกมาได้ดีมาก”คุณแม่จี้พูดขึ้นมา

จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้มรับ “ผมไปปรึกษากับหลี่จื้อมาแล้ว เขาให้คำแนะนำมาเยอะเลยครับ”

สำหรับหลี่จื้อน้องเขยคนนี้ จี้เจี้ยนอวิ๋นค่อนข้างชอบใจเลยทีเดียว

“ใช้เงินไปตั้งเท่าไหร่ล่ะ” คุณแม่จี้เอ่ยถาม ด้วยมีเพียงเรื่องนี้ที่นางกังวลใจ

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ให้แค่เงินเดือนกับฟรีอาหารกลางวันชั้นเลิศก็ถือว่าดีสุด ๆ แล้ว บรรดาแม่คุณเหล่านี้ยังจะต้องการอะไรอีก เดี๋ยวก็โลภมากลาภหายหรอก

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

Status: Ongoing
คุณหนูซูผู้มีชีวิตอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ยึดหลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรมมาตั้งแต่ยังเล็ก ยังไม่ทันจะได้ออกเรือนนำเกียรติมาให้วงศ์ตระกูลกลับจับไข้สิ้นลมกลางสายฝนยามสารทฤดู และมาเกิดใหม่ในปี 1980 นางไม่คิดเลยว่าวิถีกุลสตรีในชาติที่แล้วของตนจะกลายเป็นคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมในยุคนี้ เนื่องจากเจ้าของร่างเดิม ซูตานหง ผู้กระทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการกินยาฆ่าแมลงตายคนนี้ นอกจากนามสกุลเดียวกันแล้วก็ไม่มีอะไรดีเหมือนนางเลยสักด้าน ถึงอย่างนั้นคุณหนูซูก็ไม่สนใจ นางคิดเพียงว่าจะใช้ทักษะที่มีอยู่มาสร้างเงินทอง ปลูกต้นไม้ดอกไม้มีค่า เย็บปักถักร้อยวาดภาพภูเขาสายน้ำอันงดงาม ใช้ชีวิตในชาตินี้ให้เรียบง่ายสุขสบายตามอัตภาพเท่านั้นและนี่ก็คือเรื่องราวของคุณหนูสูงศักดิ์จากยุคโบราณผู้มาเกิดใหม่ในร่างหญิงสาวยุค 80 เพื่อทำสวนทำไร่และให้กำเนิดบุตร นางจะเอาชีวิตรอดในยุคที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างไรบ้าง เอาใจช่วยคุณหนูซูไปพร้อมๆ กันได้ในเรื่องนี้เลย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท