ตอนที่ 225 ไม่กิน
ภรรยาของเขาอยากไปดูกําแพงเมืองจีนที่ปักกิ่ง จี้เจี้ยนอวิ๋นมีหรือจะไม่เห็นด้วย?
หลายปีมานี้ภรรยาของเขาลําบากมาก ให้กําเนิดบุตรชาย 2 คนติดกัน ทั้งยังทํางานบ้านทั้งวันจนไม่มีเวลาว่าง เขาเห็นดังนั้นก็คิดแต่จะหาเงินให้มาก เพื่อที่ภรรยาของเขาจะได้มีชีวิตที่สุขสบายในอนาคต
เขาไม่เคยมีความคิดที่จะไปปักกิ่ง แต่เมื่อภรรยาเอ่ยปาก เขาจึงอยากพาเธอไปเที่ยวเล่น
ดังนั้นจี้เจี้ยนอวิ๋นจึงเริ่มเตรียมตัว
ตอนนี้เกือบจะสิ้นเดือนสิบเอ็ดแล้ว
หลังจากนี้ก็ไม่มีเรื่องให้ต้องจัดเตรียมมากนัก
การดําเนินงานประจําวันของเขาจะมอบให้เป็นหน้าที่ของผู้ใต้บัญชา ซึ่งเขาไม่จําเป็นต้องกังวลเรื่องนี้ เหลือแค่การใช้เวลาอยู่กับครอบครัวเท่านั้น
จี้เจี้ยนอวิ๋นขึ้นไปบนภูเขาเพื่อคุยกับพ่อแม่ของเขาเกี่ยวกับการไปปักกิ่ง
“ตอนนี้อากาศหนาวจัดแล้ว ถ้าจะไปก็ไปตอนฤดูใบไม้ผลิสิ ตอนนี้ที่ปักกิ่งหิมะตกแล้วรึเปล่า? จะมีอะไรให้น่าดูกัน?” คุณแม่จี้พูดขึ้นมา
“ถึงฤดูใบไม้ผลิคงไม่มีเวลาว่างแล้วครับ เลยจะถือโอกาสนี้ไปเดินเล่นกันแล้วค่อยกลับมาช่วงปลายเดือน” จี้เจี้ยนอวิ๋นกล่าว
“ไปเถอะ ไม่ต้องเสียดายเงิน ถ่ายรูปกลับมาฝากพ่อด้วยล่ะ” นี่คือสิ่งที่คุณพ่อจี้พูด เห็นได้ชัดว่าเขาก็ใฝ่ฝันถึงปักกิ่งเหมือนกัน
ตัวคนไปไม่ได้ ถ่ายรูปกลับมาให้ดูก็ยังดี
“ครั้งหน้าผมจะพาพ่อกับแม่ไปเที่ยวปักกิ่งด้วยนะครับ!” จี้เจี้ยนอวิ๋นกล่าว
“ไม่ต้องห่วงเรื่องที่บ้านหรอก เดี๋ยวคืนนี้ให้แม่ของแกกับเยียนเอ๋อร์ไปนอนที่บ้าน” คุณพ่อจี้บอก
จี้เจี้ยนอวิ๋นรับคํา แล้วเข้ามาคุยกับจี้เจี้ยนกั๋วและจี้เจี้ยนเยี่ย เพื่อขอให้พวกเขาช่วยกันตรวจตรา
หลังจากนั้น 3 วัน พวกเขาทั้งสองพาเหรินเหรินกับฉีฉีออกเดินทางไปยังปักกิ่งด้วยการเปลี่ยนรถไฟอยู่หลายเที่ยว
ทางด้านครอบครัวของซูตานหงไม่มีอะไรต้องกังวล พวกเขาไม่ได้ออกไปไหนนานแล้ว แถมการเดินทางยังสะดวกสบายเป็นอย่างมาก ในชาติที่แล้วเธอต้องใช้เวลาราวครึ่งปีในการเดินทางไกลแต่ละครั้ง แบบนั้นแล้วยังอยากจะกลับบ้านอยู่อีกเหรอ? เป็นไปไม่ได้หรอก
พวกเขาใช้เวลา 4 วันในการเดินทางไปปักกิ่ง เนื่องจากตอนนี้ยังไม่ถึงช่วงสิ้นปีจึงค่อนข้างผ่อนคลาย หากเป็นเดือนสิบสองการเดินทางจะพลุกพล่านมาก
แต่ถึงอย่างนั้น ซูตานหงก็เริ่มทนไม่ได้แล้วหลังจากนั่งรถไฟมาหลายวันติดต่อกัน
จี้เจี้ยนอวิ๋นเตรียมการเดินทางมาอย่างดี เขากังวลว่าซูตานหงจะทนไม่ไหว จึงเตรียมผลไม้ไว้กินระหว่างทาง นอกจากนี้ยังมีอาหารอื่น ๆ เช่น นมผงและนมมอลต์
ซูตานหงก็เตรียมของไว้ก่อนเดินทางเช่นกัน เธอทําขนมอบมาหลายกล่องสำหรับกินกับนมมอลต์ เพื่อเพิ่มความอร่อยในการกิน
แต่การเดินทางหลายวันที่ผ่านมานั้นยากลำบากจริง ๆ
เมื่อมาถึงปักกิ่งและลงจากรถไฟ เธอจึงรีบสูดอากาศภายนอกและรู้สึกว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่
เหรินเหรินกับฉีฉีต่างก็ได้รับการถ่ายทอดสุขภาพร่างกายที่ยอดเยี่ยมจากผู้เป็นพ่อจึงไม่เป็นอะไรทั้งนั้น เมื่อเห็นความแปลกใหม่ พวกเขาก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ
แต่เป็นเพราะมีพ่อแม่อยู่ด้วย เด็ก ๆ จึงรู้สึกปลอดภัย ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงร้องไห้ลั่นสถานีรถไฟโดยไม่หยุดเป็นแน่
“ที่นี่คือปักกิ่งสินะครับ” พอออกจากสถานีรถไฟ จี้เจี้ยนอวิ๋นก็ถอนหายใจเล็กน้อย เขาเคยผ่านมาที่นี่เมื่อหลายปีก่อน แต่เพียงไม่นานก็จากไป ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 2 ที่เขาได้มา
แม้ว่าเหรินเหรินจะยังเล็กอยู่ แต่เขาก็ได้ยินเรื่องกําแพงเมืองจีนจากจี้เสี่ยวตง ดังนั้นเขาจึงอยากไปดูให้ได้
“วันนี้พักผ่อนก่อน พรุ่งนี้ค่อยไปดูนะจ๊ะ” ซูตานหงกล่าว
ดังนั้นเหรินเหรินจึงเดินด้วยตัวเอง ส่วนฉีฉีนั่งบนรถเข็นโดยมีซูตานหงเป็นคนเข็น และจี้เจี้ยนอวิ๋นรับผิดชอบแบกสัมภาระ
จี้เจี้ยนอวิ๋นหาโรงแรมชั้นดีที่ราคาจะค่อนข้างสูง แต่การให้บริการก็น่าประทับใจ แตกต่างจากโรงแรมธรรมดาทั่วไป
เวลานี้อากาศที่ปักกิ่งนั้นหนาวเหน็บแม้หิมะจะยังตกไม่มาก เมื่อเทียบกับบ้านเกิดของพวกเขาแล้ว ปักกิ่งมีความเจริญรุ่งเรืองมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากอยู่บนรถไฟเป็นเวลานาน ซูตานหงก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เมื่อถึงโรงแรมเธอจึงรีบอาบน้ำให้สบายตัวและเข้านอน
พวกเขาไม่จำเป็นต้องประหยัดเงิน จึงเปิดห้องเตียงคู่ซึ่งมีขนาดใหญ่
หลังจากที่เธออาบน้ำเสร็จ จี้เจี้ยนอวิ๋นก็เข้าไปอาบน้ำให้เหรินเหรินกับฉีฉี ก่อนที่เขาจะอาบน้ำเป็นลำดับสุดท้าย
เมื่อเขาออกมา 3 คนแม่ลูกก็นอนกอดกันและผล็อยหลับไปแล้ว จี้เจี้ยนอวิ๋นมองดูด้วยความอ่อนโยนในหัวใจ แต่น่าเสียดายที่เตียงฝั่งนี้ถูกแม่ลูกยึดครองไปแล้ว เขาจึงต้องขยับไปนอนเตียงถัดไปเพียงลำพัง
ไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาเองก็รู้สึกเหนื่อยล้าอยู่เล็กน้อย
ในไม่ช้าจี้เจี้ยนอวิ๋นก็หลับสนิท
ซูตานหง เหรินเหริน และฉีฉีตื่นขึ้นมาอีกครั้งในตอนเกือบ 5 โมงเย็นด้วยความหิว เมื่อเธอเห็นจี้เจี้ยนอวิ๋นหลับอยู่ ก็รู้ว่าเขาเหนื่อยมาก หลายวันมานี้สามีของเธอคอยดูแลทุกคนจนแทบไม่ค่อยได้นอน
ส่วนเหรินเหรินกับฉีฉีต่างก็เงียบกริบ เดิมทีฉีฉีคิดจะก่อกวนพ่อของเขา แต่ถูกเหรินเหรินดึงไว้ พร้อมกระซิบด้วยเสียงแผ่วเบา “พ่อเหนื่อยมากและกำลังหลับอยู่ นายอย่ากวนพ่อเลยนะ”
ฉีฉีจึงไม่คิดรบกวนพ่อของเขาอีกต่อไป
ซูตานหงพาพวกเขาไปล้างหน้าล้างตาและสวมใส่เสื้อผ้าหนา ๆ เนื่องจากตอนนี้ข้างนอกอากาศหนาวมาก จากนั้นทั้ง 3 คนแม่ลูกก็ออกไปรับประทานอาหารกันก่อน
หลังจากอิ่มแล้วก็ห่อเกี๊ยวกลับมา
จี้เจี้ยนอวิ๋นถูกปลุกให้ตื่น เมื่อเห็นเกี๊ยวก็ยิ้มออกมาทันที เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าภรรยาและลูกตื่นตั้งแต่เมื่อใด นี่เขาหลับลึกขนาดไหนกัน?
แต่หลังจากได้นอนเต็มอิ่มตลอดทั้งบ่าย เวลานี้เขารู้สึกสบายตัวขึ้นมาก
เขาลุกขึ้นแปรงฟันและกินเกี๊ยวด้วยความอิ่มเอมใจ
จากนั้นก็เก็บทำความสะอาด ก่อนจะสวมเสื้อคลุมและพาแม่ลูกออกไปเดินเล่น
“คืนนี้เราไปกินเป็ดปักกิ่งกัน” จี้เจี้ยนอวิ๋นกล่าว
“อร่อยไหมครับ?” เหรินเหรินกับฉีฉีถามขึ้นพร้อมกัน
“อร่อยมากครับ กลิ่นหอมเชียวล่ะ” จี้เจี้ยนอวิ๋นตอบลูกชาย
แม้เหรินเหรินกับฉีฉีเพิ่งจะกินเกี๊ยวเสร็จ แต่ก็รู้สึกว่าท้องหิวขึ้นมาบ้างแล้ว
ซูตานหงยิ้มและดื่มด่ำไปกับบรรยากาศของกรุงปักกิ่งอันเก่าแก่แห่งนี้ สถานที่นี้ยังคงมีกลิ่นอายของประวัติศาสตร์หลงเหลืออยู่ ร้านค้าเหล่านี้ต่างก็มีชีวิตชีวามากด้วยผู้คนมากมาย
“ชอบที่นี่ไหมครับ?” จี้เจี้ยนอวิ๋นเห็นว่าเธอสนใจมากจึงถามด้วยรอยยิ้ม
“ชอบมากค่ะ ได้ยินพี่หงบอกว่าที่นี่มีมหาวิทยาลัยชิงหัวกับมหาวิทยาลัยปักกิ่งที่ดีที่สุดในประเทศด้วย” ซูตานหงตอบ
“ถึงตอนนั้นค่อยให้เหรินเหรินกับฉีฉีมาสอบเข้าที่นี่แล้วกันครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นกล่าว
ซูตานหงได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ “จะสอบได้ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอคะ?”
“ได้สิครับ ในอนาคตผมจะต้องสอบเข้าที่นี่ให้ได้!” เหรินเหรินพูดกับพ่อและแม่ของเขา
ชายชราคนหนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ ได้ยินก็หัวเราะเช่นกันเมื่อมองดูครอบครัวนี้ แม้จะรู้ว่าพวกเขามาจากต่างถิ่น แต่พ่อแม่นั้นดูดีมาก ส่วนเด็กทั้ง 2 คนต่างก็หน้าตาน่ารัก “ถ้าอยากสอบเข้ามหาวิทยาลัยชิงหัวและมหาวิทยาลัยปักกิ่งล่ะก็ คนที่ทะเบียนบ้านอยู่ต่างเมืองต้องใช้คะแนนสูงกว่าปกติมาก เจ้าหนู กลับไปหนูต้องพยายามให้หนักนะ ไม่อย่างนั้นจะสอบไม่ได้”
“ผมรู้ครับคุณลุง ต่อไปผมจะตั้งใจให้มากขึ้น!” เหรินเหรินพูดกับเขา
“กินเกาลัดเชื่อมไหม?” ชายชราที่มีท่าทางเป็นคนปักกิ่งเอ่ยถามเขา
“ขอบคุณครับคุณลุง แต่ผมไม่กินดีกว่าครับ” เหรินเหรินส่ายหน้า
ฉีฉีเองแม้จะตะกละเล็กน้อย แต่เขาก็จดจำคำสอนของแม่เมื่อต้องอยู่ข้างนอกได้ จึงพยักหน้าอย่างแรง “ใช่ ไม่กิน!”