ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] – ตอนที่ 232 ไม่เคยปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 232 ไม่เคยปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม

  

ไม่น่าแปลกที่พวกเขาต้องทำงานอย่างหนัก เนื่องจากเงิน 500 หยวนที่ยืมจากจี้เจี้ยนอวิ๋นครั้งก่อนยังไม่ได้ชำระคืน หากจ่ายเงินครบแล้วถึงจะถือว่าสิ้นสุดกันอย่างแท้จริง   

เมื่อกลับมาในครั้งนี้ พวกเขาไม่ได้กล่าวถึงเรื่องการคืนเงินแต่อย่างใด ทว่าจี้เจี้ยนอวิ๋นก็ไม่ได้พูดอะไร ซูตานหงเองก็ไม่สนใจเช่นกัน   

จี้เจี้ยนเหวินน้องสามีกลับมาเพื่อขอยืมเงินพี่สามของเขาเป็นการส่วนตัว นับว่าเป็นเรื่องของพี่น้อง เธอจึงไม่เข้าไปยุ่ง แต่หากเป็นอวิ๋นลี่ลี่ เธอจะต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดการเรื่องนี้อย่างแน่นอน  

เมื่อสองสามีภรรยากลับมาก็หิ้วของติดไม้ติดมือมาไม่น้อย  

 

ไม่ว่าจะเป็นชุดใหม่ให้เหรินเหรินกับฉีฉี ส่วนจี้เสี่ยวตงและน้องสาวของเขาเสี่ยวเจินกับเสี่ยวอวี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าสมุดเขียนการบ้านและปากกาคนละ 2 ด้าม  

ในวันรุ่งขึ้น จี้เจี้ยนเหวินกับอวิ๋นลี่ลี่ก็พาเยียนเอ๋อร์ออกไปซื้อของด้วยกัน   

แม้ว่าจี้เจี้ยนอวิ๋นจะเชือดหมู ครอบครัวของพวกเขาจึงไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีเนื้อให้กิน แต่หลังจากเกิดเรื่องขึ้น จี้เจี้ยนเหวินก็ยังคงออกไปซื้อเนื้อหมูกลับมาอีกหลายชั่ง ซึ่งใช้เงินไปไม่น้อย ตอนนี้เนื้อหมู 1 ชั่งมีราคา 3 หยวนครึ่งแล้ว  

 

แต่ถึงอย่างไรเขาก็ต้องกัดฟันซื้อมา   

อวิ๋นลี่ลี่ไม่พูดอะไร ตอนนี้สถานการณ์ทางการเงินของทั้งคู่ไม่ค่อยบีบคั้นมากนัก ดังนั้นจึงซื้อมันเพื่อนำกลับมาฉลองปีใหม่อย่างสงบสุข 

 

วันต่อมาจี้เจี้ยนเหวินก็ยืมสามล้อของพี่ชายขับไปเยี่ยมจี้อวิ๋นอวิ๋นที่อยู่ในเมือง 

“ไม่คิดเลยว่าพี่กับพี่สะใภ้สี่จะมีใจมาเยี่ยมฉันทันทีที่กลับมา” จี้อวิ๋นอวิ๋นให้การต้อนรับเป็นอย่างดี 

“พี่กับพี่สี่ของเธอต้องสอนพิเศษให้นักเรียน ไม่อย่างนั้นคงกลับมาเร็วกว่านี้ อวิ๋นอวิ๋นแพ้ท้องรึเปล่า? กินอะไรได้ไหม?” อวิ๋นลี่ลี่แอบดึงจี้อวิ๋นอวิ๋นมาพูดเรื่องส่วนตัวเล็กน้อย 

“ไม่แพ้ท้องเลยค่ะ เด็กในท้องแข็งแรงดี” จี้อวิ๋นอวิ๋นกล่าว  

“ตอนนี้พี่กับพี่สี่ติดหนี้อย่างอื่นอยู่ไม่น้อย เลยไม่มีของมาให้เธอมากนัก อวิ๋นอวิ๋นอย่ารังเกียจเลยนะ” อวิ๋นลี่ลี่พูดขึ้นอีกครั้ง   

คราวนี้หล่อนเอาเนื้อมา 1 ชั่ง กับถั่วเหลืองอีก 2 ชั่งที่ซื้อจากชาวบ้าน ความจริงแล้วเป็นเพราะบ้านตระกูลจี้มีความเป็นอยู่ที่ดี ของเหล่านี้หากนำไปให้บ้านอื่น คงนับว่าเป็นของดีอย่างมาก

“พี่สะใภ้สี่ ฉันรู้ว่าพวกพี่ยังค้างเงินค่าบ้านอีกเยอะ ทันทีที่กลับมาก็รีบมาเยี่ยมแล้วยังมีของฝากอีกด้วย จะรังเกียจได้ยังไงคะ?” จี้อวิ๋นอวิ๋นพูด จากนั้นก็ยิ้มเยาะ “พี่สะใภ้สี่คงไม่รู้ ตั้งแต่ฉันท้องพี่สามก็ไม่เคยเอาอะไรมาให้ ผู้หญิงคนนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ฉันไม่ได้กินไข่ของหล่อนแม้แต่ฟองเดียวเลยด้วยซ้ำ!”  

 

อวิ๋นลี่ลี่ไม่อยากฟังหล่อนพูดเรื่องนี้ แม้จี้อวิ๋นอวิ๋นจะไม่ได้กิน แต่ลูกสาวของตนได้กินมันทุกวัน “ไม่เป็นไรหรอก พี่คิดว่าน้องเขยเป็นคนมีความสามารถ หลังปีใหม่นี้เขาน่าจะได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นอีกเยอะ ถึงตอนนั้นถ้าอยากซื้ออะไร ทำไมจะซื้อไม่ได้?”  

“แต่ฉันก็ไม่อยากซื้อเหมือนกัน” จี้อวิ๋นอวิ๋นพูด “พี่ดูห้องแคบ ๆ ที่พวกฉันอยู่นี่สิ ขนาดไม่ถึง 20 ตารางเมตรเลยด้วยซ้ำ จะเทียบกับบ้านของพี่สะใภ้สี่ในเมืองเจียงสุ่ยได้ยังไง? ที่นั่นกว้างตั้ง 80 ตารางเมตร”  

ความจริงแล้ว ขนาด 80 ตารางเมตรนับว่าเล็กที่สุดในชุมชน แต่ถึงแม้จะเล็กที่สุดก็ยังใหญ่กว่าบ้านของพวกเขา อย่างน้อยจี้อวิ๋นอวิ๋นก็พอใจมากกว่าเมื่อได้อยู่ที่นั่น  

หล่อนก็อยากมีบ้านแบบนั้นเป็นของตัวเอง ดังนั้นจึงต้องประหยัดเงินไม่ใช่เหรอ?  

เงินเดือนแค่นั้นจะเก็บได้มากสักเท่าไหร่ แล้วถ้ายังไม่ประหยัดอีกจะทำอย่างไรได้?   

เมื่อได้ยินเช่นนี้ อวิ๋นลี่ลี่ก็เข้าใจในทันที “อวิ๋นอวิ๋นอยากซื้อบ้านเหรอ? แต่ในเมืองของเราไม่ค่อยมีบ้านสำหรับอยู่อาศัยขายนะ”  

“ถ้าถึงเวลาที่มีเงินพอ ให้หลี่จื้อย้ายไปซื้อบ้านอยู่ที่เมืองเจียงสุ่ย และไปสอนที่นั่นก็น่าจะได้?” จี้อวิ๋นอวิ๋นพูด   

อวิ๋นลี่ลี่ตะลึงงัน “การเปลี่ยนงานไม่ใช้เรื่องง่ายเลย อีกอย่างน้องเขยสอนอยู่ที่นี่ก็ดีไม่ใช่เหรอ?” 

“ที่นี่จะดีเหมือนเมืองเจียงสุ่ยได้ยังไงคะ? ถ้าเขาไม่ย้ายไปที่นั่นฉันจะย้ายไปเอง ปล่อยให้เขาอยู่ที่นี่คนเดียวไปเถอะ!” จี้อวิ๋นอวิ๋นแค่นเสียง  

อวิ๋นลี่ลี่ขมวดคิ้ว “อวิ๋นอวิ๋นอย่าเอาแต่ใจเลย พี่คิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับน้องเขยนะ”  

 

หล่อนและจี้เจี้ยนเหวินต่างก็สอนหนังสือ จึงรู้ดีว่ามันไม่ง่ายเลย ในเมืองเจียงสุ่ยมีการควบคุมอย่างเข้มงวด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถหละหลวมในการทำงานได้ หากขี้เกียจน่ะเหรอ? นั่นหมายความว่าคุณไม่อยากสอนอีกต่อไป 

เมื่อเทียบกันแล้ว ในเมืองนี้มีความผ่อนปรนกว่ามาก แต่เนื่องจากหลี่จื้อเป็นครูสอนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เขาจึงไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องของความผ่อนปรนนี้   

แต่ดูจากความหมายของน้องสามี หล่อนคิดว่าการย้ายที่ทำงานใช้เวลาภายในไม่กี่นาทีงั้นหรือ?   

“มันไม่ง่ายสำหรับเขา แล้วการที่ฉันให้กำเนิดลูกของเขานี่มันง่ายนักเหรอคะ ถ้ายังให้ฉันอยู่ในที่ห่างไกลแบบนี้ ฉันจะแยกทางกับเขา!” จี้อวิ๋นอวิ๋นกล่าว

เมื่ออวิ๋นลี่ลี่ได้ยินดังนั้น หล่อนจึงไม่โต้แย้งอะไรอีก “ถ้าอย่างนั้นพี่กับพี่สี่ของเธอจะช่วยกันเก็บเงินให้ก้อนหนึ่ง เพื่อที่เธอจะนำไปเป็นเงินดาวน์ แต่อาจจะช่วยได้ไม่มากนะ”  

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ถึงตอนนั้นฉันจะไปหาพ่อกับแม่” จี้อวิ๋นอวิ๋นพูดอย่างมั่นใจ  

อวิ๋นลี่ลี่พลางคิดในใจ หากหล่อนสามารถขอเงินจากแม่ของหล่อนได้ ก็จะยอมรับนาง

ครั้งนี้ตอนที่อวิ๋นลี่ลี่บอกแม่สามีว่าจะมาเยี่ยมจี้อวิ๋นอวิ๋น หล่อนคิดว่าแม่สามีจะไปจับไก่และเก็บไข่มาให้เพื่อที่หล่อนกับเจี้ยนเหวินจะได้ดูดีขึ้นอีกสักหน่อย ทว่าหญิงชรากับส่งเสียงตอบรับในลำคอ โดยไม่มีท่าทางอื่นใด 

 

หล่อนคาดเดาได้ว่าน้องสามีน่าจะไม่เป็นที่ชื่นชอบอีกต่อไป  

แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา หล่อนกับเจี้ยนเหวินนั่งคุยกันต่ออีกราวครึ่งชั่วโมง จากนั้นจึงพาเยียนเอ๋อร์กลับบ้าน  

“เวลาอาหญิงกลับบ้านมักจะทำให้คุณย่าอารมณ์เสียตลอดเลยค่ะ” แม้ว่าเยียนเอ๋อร์จะยังเด็กแต่เธอก็รู้ความ ตอนนี้เด็กหญิงอายุเกือบ 6 ขวบแล้ว ทั้งยังเฉลียวฉลาดเป็นอย่างมาก 

“อาหญิงทำอะไรเหรอ?” อวิ๋นลี่ลี่ถาม  

 

“หล่อนเอาแต่พูดว่าคุณนายสามไม่ดี ไม่น่าฟังเลยสักนิด คุณนายสามไม่ดีตรงไหนกัน? ฮึ่ม!” เยียนเอ๋อร์บ่น   

แม้ว่าเธอจะมีพ่อแม่อยู่แล้ว แต่สถานะของคุณนายสามในใจของเธอไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้เป็นพ่อและแม่เลย   

“ตอนคุณนายสามพาพวกน้องชายไปเที่ยวปักกิ่ง ยังซื้อต่างหูทองคำกลับมาให้คุณย่าด้วย ป้า ๆ หลายคนอิจฉาคุณย่ามาก หล่อนเลยบอกว่าคุณนายสามใช้เงินเยอะมากตอนไปเที่ยวปักกิ่ง!” เยียนเอ๋อร์กล่าว   

เมื่ออวิ๋นลี่ลี่กลับมาถึงบ้าน หล่อนก็จดจ่ออยู่กับต่างหูทองคำที่หูของแม่สามี ต่างหูคู่นี้ซื้อมาจากปักกิ่ง คาดว่าราคาน่าจะราว ๆ 200 ถึง 300 หยวนกระมัง?

  

หล่อนไม่อยากเสียเงินจึงไม่เอ่ยถาม จี้เจี้ยนเหวินเองก็ไม่สนใจ เมื่อเห็นแล้วจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น “เยียนเอ๋อร์บอกว่าพี่สะใภ้สามซื้อต่างหูคู่นี้มาจากปักกิ่งให้คุณแม่เหรอคะ?” 

“ใช่แล้ว แม่บอกสะใภ้สามแล้วว่าไม่ต้องสิ้นเปลืองเงิน แต่หล่อนก็ไม่สนใจ ในเมื่อซื้อมาแล้ว เลยต้องใส่สักหน่อย” คุณแม่จี้พูดด้วยรอยยิ้ม  

“รอพวกผมหมดหนี้ ต่อไปจะซื้อให้คุณแม่อีกคู่นะครับ!” จี้เจี้ยนเหวินกล่าว   

“มีคู่เดียวก็พอแล้ว จะซื้อมาเยอะแยะทำไม ไม่ต้องหรอก” คุณแม่จี้โบกมือปฏิเสธ  

การที่นางบอกเรื่องซูตานหงซื้อต่างหูให้ ไม่ได้หมายความว่าอยากได้สิ่งของจากลูกชายคนเล็ก ถึงอย่างไรทั้งบ้านใหญ่ และบ้านรองต่างก็ไม่มีอะไรให้ เพียงต้องการอธิบายว่าซูตานหงนั้นดีกับแม่สามีอย่างนางมาก แม้ว่าพวกเขาสองผู้เฒ่าจะช่วยลูกสะใภ้ทำงานอยู่บนภูเขา แต่ก็ไม่ควรมีเรื่องให้ตำหนิกัน จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่เพียงแต่ดูแลเรื่องอาหารการกินเท่านั้น แต่ซูตานหงก็ไม่เคยปฏิบัติต่อนางอย่างไม่เป็นธรรมเลยเช่นกัน!

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

Status: Ongoing
คุณหนูซูผู้มีชีวิตอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ยึดหลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรมมาตั้งแต่ยังเล็ก ยังไม่ทันจะได้ออกเรือนนำเกียรติมาให้วงศ์ตระกูลกลับจับไข้สิ้นลมกลางสายฝนยามสารทฤดู และมาเกิดใหม่ในปี 1980 นางไม่คิดเลยว่าวิถีกุลสตรีในชาติที่แล้วของตนจะกลายเป็นคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมในยุคนี้ เนื่องจากเจ้าของร่างเดิม ซูตานหง ผู้กระทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการกินยาฆ่าแมลงตายคนนี้ นอกจากนามสกุลเดียวกันแล้วก็ไม่มีอะไรดีเหมือนนางเลยสักด้าน ถึงอย่างนั้นคุณหนูซูก็ไม่สนใจ นางคิดเพียงว่าจะใช้ทักษะที่มีอยู่มาสร้างเงินทอง ปลูกต้นไม้ดอกไม้มีค่า เย็บปักถักร้อยวาดภาพภูเขาสายน้ำอันงดงาม ใช้ชีวิตในชาตินี้ให้เรียบง่ายสุขสบายตามอัตภาพเท่านั้นและนี่ก็คือเรื่องราวของคุณหนูสูงศักดิ์จากยุคโบราณผู้มาเกิดใหม่ในร่างหญิงสาวยุค 80 เพื่อทำสวนทำไร่และให้กำเนิดบุตร นางจะเอาชีวิตรอดในยุคที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างไรบ้าง เอาใจช่วยคุณหนูซูไปพร้อมๆ กันได้ในเรื่องนี้เลย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท