ตอนที่ 234 จับคู่
หลังปีใหม่นี้สวี่เหอซานจะมีอายุ 24 ปี ส่วนซูจูเหมาอายุน้อยกว่าเขา 1 ปี ดังนั้นจึงอายุ 23 ซึ่งถือว่าไม่น้อยแล้ว
สำหรับเรื่องที่ซูอันปังพูด จี้เจี้ยนอวิ๋นเองก็กลับไปคุยกับซูตานหง
ซูตานหงพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันไม่รู้จักผู้หญิงที่ถึงวัยแต่งงานเลยค่ะ”
แน่นอนว่าเธอเข้าใจถึงความหมายที่จี้เจี้ยนอวิ๋นจะบอก และไม่ใช่ว่าไม่อยากช่วย แต่เธอแค่ไม่อยากข้องเกี่ยวในเรื่องการแต่งงาน หากช่วยแล้วดีก็ดีไป แต่ถ้าไม่ดีคงต้องมีเรื่องให้วุ่นวายตลอดชีวิต ซึ่งเธอไม่อยากพลอยรับเคราะห์ไปด้วย
“แค่ให้คุณช่วยดูหน่อยว่าเหมาะสมกันไหม จากนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาไปคุยกันเองน่ะครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นกล่าว
พวกเขาไม่ใช่เด็ก ๆ กันแล้ว หากได้แต่งงานย่อมส่งเสริมให้การทำงานดีขึ้นอย่างแน่นอน
“ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันจะลองไปคุยกับคุณป้าหยางดูนะคะ” ซูตานหงรับปาก
ความจริงแล้วทุกคนต่างบอกว่าน้าไช่คนทำลูกพลับตากแห้งคือแม่สื่อชั้นดี แต่ซูตานหงกลับไม่คิดแบบนั้น
จากการเป็นแม่สื่อให้จี้อวิ๋นอวิ๋นกับหลี่จื้อนั้น ทำให้ซูตานหงไม่ค่อยมองโลกในแง่ดีนัก
ทุกคนคิดว่าหลังจากแต่งงานแล้ว จี้อวิ๋นอวิ๋นจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนว่านอนสอนง่าย เมื่ออยู่ในบ้านเดิมของมารดา หล่อนทั้งขี้เกียจและตะกละ ทั้งยังใจร้อนฉุนเฉียว ทว่าการแต่งงานครั้งนี้เป็นไปได้ด้วยดีเพราะคนในครอบครัวต่างช่วยกันจัดการดูแล
คนบางคนหลังจากแต่งงานออกไปแล้วยังเกินเยียวยายิ่งกว่าตอนอยู่บ้านพ่อแม่ของตนเสียอีก
สำหรับจี้อวิ๋นอวิ๋นนั้น ซูตานหงคิดว่าตัวเองไม่เคยทำอะไรผิดต่ออีกฝ่ายมาก่อน นี่เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ซูตานหงจึงไม่คอยเอาใจ นั่นทำให้เธอถูกปฏิบัติราวกับเป็นคนนอกมาโดยตลอด
ไม่ใช่ว่าเธอกำลังพูดลับหลัง แต่อีกในไม่ช้าระหว่างจี้อวิ๋นอวิ๋นกับหลี่จื้อจะต้องเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นมาอย่างแน่นอน
ทว่าเธอไม่เคยเอ่ยปากถึงเรื่องนี้ แม้กระทั่งกับจี้เจี้ยนอวิ๋น ถึงอย่างไรจี้อวิ๋นอวิ๋นก็เป็นน้องสาวของเขา ตัวเธอเองก็อยู่ในฐานะพี่สะใภ้ คงไม่เหมาะสมนักหากจะพูดเรื่องพวกนี้หลังจากที่พวกเขาเพิ่งแต่งงานกันได้ไม่นาน
ดังนั้นไม่พูดอะไรเลยจะดีกว่า
ในตอนบ่ายเธอจึงไปคุยกับป้าหยางที่อยู่บ้านข้างกัน แน่นอนว่าเธอไม่ได้พูดอย่างตรงไปตรงมา แต่ก็ไม่พูดคลุมเครือจนเกินไป
คุณป้าหยางบ่นออกมาด้วยความเสียดาย “ถ้าต้าหยาแก่กว่านี้สัก 2 ถึง 3 ปี คงจะหาคู่ให้สักคนแล้ว”
สิ่งที่นางพูดก็เป็นความจริง ตอนนี้หยางต้าหยาหลานสาวของนางกำลังทำงานอยู่ที่ร้านของซูจิ้นตั๋ง
ผ่านมาเกือบ 2 ปีแล้ว ตอนที่หล่อนไปทำงานที่นั่นเพิ่งจะมีอายุเพียง 13 ปี หลังปีใหม่นี้หล่อนจะมีอายุครบ 15 ปีแล้ว เนื่องจากการความเป็นอยู่ค่อนข้างดี หล่อนจึงผอมเพรียวและหน้าตางดงามกว่าหญิงสาวในหมู่บ้านไม่น้อย อีกทั้งสะใภ้รองซูก็ไม่ใช่คนตระหนี่ ตราบใดที่หยางต้าหยาดูแลบ้าน จัดร้านให้เป็นระเบียบ เมื่อเห็นว่าเสื้อผ้าที่หล่อนใส่เริ่มไม่พอดีตัว สะใภ้รองซูก็จะไปหาซื้อให้ด้วยตัวเอง
หยางต้าหยาแต่งตัวดูดีกว่าหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันในหมู่บ้านมาก ครั้งล่าสุดที่กลับมา หล่อนยังให้เงินพวกเขาสองผู้เฒ่าอีก 5 หยวน
“ตอนนี้ต้าหยายังเด็กอยู่เลยค่ะ” ซูตานหงก็ยิ้มเช่นกัน
ยุคสมัยนี้นับว่าไม่เลวเลย หากเป็นชีวิตเมื่อชาติก่อนของเธอ อายุ 15 ปี จะต้องมีการหมั้นหมาย และแต่งงานในตอนอายุ 16 ปี
แต่งงานตอนอายุ 16 ปี ยังนับว่าช้า ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนแต่งงานกันตอนอายุ 13 ถึง 15 ปีทั้งนั้น
เมื่อย้อนนึกถึงกฏเกณฑ์ในชาติที่แล้วมาเทียบกับยุคสมัยนี้ก็ยิ่งดูไม่เข้าท่า พวกเขาแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยว่าคนในชาติก่อนมักจะล้มหายตายจากไปในวัยเพียง 30 ปี หากอยู่ถึงอายุ 40 ปีก็นับว่ามีชีวิตยืนยาวแล้ว
“มีคนที่พอเหมาะสมอยู่บ้างนะ แต่ฐานะครอบครัวค่อนข้างจะธรรมดา” ป้าหยางกล่าว
“จากที่เจี้ยนอวิ๋นบอก ขอแค่เป็นคนดี มีคุณธรรมก็เพียงพอที่จะดูแลครอบครัวได้แล้วค่ะ ถึงยังไง 2 คนนั้นก็ตั้งใจทำงานมาก” ซูตานหงบอก
สําหรับเรื่องนี้ เถ้าแก่เนี้ยอย่างเธอมีความมั่นใจมาก
ทั้งซูจูเหมาและสวี่เหอซานต่างก็ทำงานภายใต้การดูแลของจี้เจี้ยนอวิ๋น เมื่อผ่านพ้นปีนี้ไป พวกเขาก็จะได้รับค่าแรง 40 หยวนเหมือนกับทุกคน
ก่อนหน้านี้พวกเขามีรายได้เดือนละ 30 หยวน แต่หลังจากนี้เพิ่มขึ้นมา 10 หยวน นับว่าเป็นเงินจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
แม้ว่าทุกวันนี้ราคาสินค้าจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่รายได้ 40 หยวนต่อเดือน สามารถเลี้ยงดูคนในครอบครัวอย่างสุขสบายได้ถึง 5 คน ทั้งยังสามารถกินเนื้อได้ตลอดเวลา!
ดังนั้นการมองหาภรรยาสำหรับชายโสดทั้งสอง ซูตานหงไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไร ในทางตรงกันข้าม หากให้เธอเป็นคนแนะนำหญิงสาว มาตรฐานของเธอจะค่อนข้างสูงมาก เธอรู้ดีว่าหากผู้หญิงไม่สามารถช่วยงานนอกบ้านของสามีได้ ก็ไม่ควรทำตัวเป็นภาระ นั่นจะทำให้ผู้ชายรู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก
มีคำกล่าวที่ว่า ผู้หญิงเลือกสามีผิดทำลายแค่ชีวิตเดียว ทว่าผู้ชายเลือกภรรยาผิดชีวิตจะถูกทำลายถึงสามชั่วอายุคน!
“ป้ามีตัวเลือกอยู่ 2 คน คนหนึ่งอยู่ในหมู่บ้านเรา เป็นลูกสาวคนโตของจี้หม่าอี้ ตอนนี้หล่อนอายุ 22 ปีแล้ว แต่ครอบครัวนี้ยากจนมาก คาดว่าเมื่อถึงเวลานั้นคงเรียกสินสอดอยู่ไม่น้อย” ป้าหยางกล่าว
“แล้วอีกคนล่ะคะ?” ซูตานหงถามหลังจากพิจารณาอยู่ในใจ
“นอกจากนี้ยังมีหลานสาวอีกคนอยู่ที่หมู่บ้านต้าวาน หล่อนเป็นญาติทางฝ่ายแม่ของป้าเอง ปีนี้อายุ 20 ปีแล้ว ครอบครัวก็ยากจนเช่นกัน แต่แม่ของหล่อนเป็นลูกพี่ลูกน้องกับป้า รับรองได้ว่าไม่มีปัญหา!” คุณป้าหยางกล่าวกับเธอ
“ไม่ทราบว่าคุณป้าจะว่างเมื่อไหร่คะ? ถึงตอนนั้นเชิญพวกหล่อนทั้งสองมาดื่มชาที่นี่ ฉันจะได้ทำขนมให้กินด้วย” ซูตานหงพูดด้วยรอยยิ้ม
หากจะให้เชิญไปที่บ้านเธอ ซูตานหงคิดว่าให้มาที่บ้านคุณป้าหยางดีกว่า
“ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเถอะ วันพรุ่งนี้เลยดีไหม?” คุณป้าหยางถาม
เมื่อนางเห็นว่าชายโสดทั้งสองทำให้ซูตานหงกับจี้เจี้ยนอวิ๋นสามารถออกปากช่วยได้ แน่นอนว่าศักยภาพของพวกเขาจะต้องไม่ด้อยไปกว่ากัน ดังนั้นนางจึงไม่คิดขัดขวาง
“ดีค่ะ” ซูตานหงพยักหน้า
เช้าวันรุ่งขึ้นจี้อวี้หลาน ลูกสาวของจี้หม่าอี้ก็ถูกคุณป้าหยางเรียกตัวมา ป้าหยางกับครอบครัวของหล่อนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ดังนั้นเมื่อหญิงชราเรียกหา หล่อนจึงรีบมาในทันที
เมื่อจี้อวี้หลานมาถึงกับพบว่าซูตานหงอยู่ที่นี่ด้วย หล่อนก็พอจะรู้จักซูตานหงอยู่บ้าง จึงเม้มปากและส่งยิ้มให้ จากนั้นก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีก
ซูตานหงเพิ่งคุยกับหล่อน จี้อวี้หลานไม่เด็กเกินไปที่จะเข้าใจเรื่องนี้ ใบหน้าของหญิงสาวซีดเผือด “พ่อฉันบอกว่าถึงตอนนั้นต้องเรียกสินสอดไม่น้อยเลยค่ะ”
หล่อนเป็นหญิงสาววัย 22 ปี จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าพ่อของตนหมายถึงอะไร นี่แทบจะเป็นการขายลูกสาวอยู่แล้ว
“อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องสินสอดทองหมั้นเลย พี่อยากจะถามอะไรหน่อย ถ้าเกิดแต่งงานแล้ว เธอจะอยู่กับแม่ครอบครัวยังไง?” ซูตานหงพูดขณะที่มองดูหล่อน
“ลูกสาวที่แต่งงานแล้ว ก็เหมือนน้ำที่ถูกสาดออกจากบ้าน ฉันจะไปอยู่ที่บ้านแม่ได้ยังไงคะ?” จี้อวี้หลานกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“เธอกลับไปคิดให้ละเอียดถี่ถ้วนก่อนนะ ถ้าตัดสินใจแล้ว พรุ่งนี้ให้กลับมาที่นี่เวลาเดิม” ซูตานหงหยิบลูกอมตรากระต่ายขาวให้หล่อนหนึ่งกำมือ ก่อนจะส่งหล่อนกลับไป