ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] – ตอนที่ 235 คนนี้ไม่เหมาะ

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 235 คนนี้ไม่เหมาะ

“งั้นพรุ่งนี้ฉันจะมาใหม่นะคะ!” จี้อวี้หลานมีความคิดเป็นคนตัวเอง หล่อนไม่รับลูกอมนมจากอีกฝ่ายพร้อมกับจ้องมองแล้วพูดขึ้นมาเช่นนั้น

ซูตานหงเก็บลูกอมนมในมือแล้วยิ้ม “แสดงว่าเชื่อใจฉันงั้นเหรอ?”

“ก็พี่สะใภ้แนะนำคนให้ฉัน จะต้องดีแน่นอนค่ะ!” จี้อวี้หลานกล่าว

ถ้าเกิดว่าไม่ดีล่ะก็… เธอคงไม่มีหน้ามาแนะนำหรอก

“ในเมื่อเธอเชื่อใจฉัน แถมยังเรียกฉันว่าพี่สะใภ้อีก งั้นฉันจะบอกเธอให้ฟังนะ คนที่จะแนะนำให้รู้จักน่ะเขาชื่อสวี่เฮ่อซาน เป็นคนหมู่บ้านต้าวา ปีนี้สอบใบขับขี่ผ่านแล้วด้วย เขามาช่วยขับรถให้บ่อย ๆ มีงานอะไรก็มาทำให้ นับว่าขยันใช้ได้เลย แล้วก็ได้ยินมาว่าเขาแยกออกมาจากครอบครัวแล้ว เธอน่าจะถูกใจเขาไม่น้อย พอแต่งกันไปแล้วก็ไปใช้ชีวิตกันตามลำพัง อีกอย่างเงินเดือนของสวี่เฮ่อซานก็ 40 หยวนเข้าไปแล้ว หลังจากนี้ไปคงไม่ต้องพูดถึง บอกได้ว่าเขามีความสามารถในการเลี้ยงดูครอบครัวแน่นอน ส่วนเรื่องหลังจากนั้นก็เป็นเรื่องส่วนตัวกันแล้ว ซึ่งฉันคิดว่ามันดี เจี้ยนอวิ๋นเองก็เห็นว่าดีเหมือนกันก็เลยว่าจะช่วยเขาสักหน่อย”

ซูตานหงบอกกับหล่อนเช่นนั้น

จี้อวี้หลานหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย ถ้าแต่งงานไปแล้วนั่นก็หมายความว่าจะเป็นใหญ่ที่สุดในบ้าน ฟังดูดีไม่ใช่เล่น

“แต่ว่า… ” จี้อวี้หลานรู้สึกลังเล

“แต่ว่าอะไรเหรอ?” ซูตานหงถามกลับไป

“พ่อของฉันต้องการเงิน 300 หยวนเป็นเงินค่าสินสอดน่ะค่ะ” จี้อวี้หลานกัดริมฝีปาก

“เยอะขนาดนั้นเลยเหรอ?” ซูตานหงอุทานออกมาอย่างไม่อาจเก็บซ่อนความประหลาดใจ

จี้อวี้หลานหน้าซีดพร้อมกับพยักหน้ารับ

เงิน 300 หยวนนับว่าไม่น้อยเลยทีเดียว ปกติเงินหลักสิบถ้าเข้าหลักร้อยนั่นก็ถือว่าเยอะมากแล้ว แต่ครอบครัวของหล่อนมีฐานะยากจน จึงเกิดความคาดหวังว่าการออกเรือนไปเป็นเจ้าสาวจะทำให้ที่บ้านสบายมากขึ้นสักหน่อย

ซูตานหงไม่ได้พูดอะไรต่อ

เงินค่าสินสอดในราคานี้ถือว่าแพงมาก งานแต่งงานของหลี่จื้อกับจี้อวิ๋นอวิ๋นเองก็ใช้สินสอดไม่น้อย แต่นั่นเต็มที่ก็แค่ประมาณ 70 หยวนเท่านั้น

แต่คุณพ่อจี้กับคุณแม่จี้ต้องริบเงินทั้งหมดเพื่อแลกเป็นสิ่งของ แต่ก็ให้ทรัพย์สินกับลูกสาวไปไม่ใช่น้อย

แต่มาดูจี้อวี้หลานแล้ว แน่นอนว่าคงไม่ได้แบ่งสินเดิมกัน แถมยังเรียกเงินมากเช่นนี้ ก็คงเรียกว่าเงินสินสอดไม่ได้ ต้องเรียกว่าเงินขายลูกกินน่าจะถูกมากกว่า!

“ฉันจะไม่ขอพูดถึงเรื่องของครอบครัวคนอื่น แต่ถ้าจะเรียกเงินสินสอด 300 หยวน งั้นก็ต้องพูดคุยกันอย่างชัดเจนสักหน่อย” ซูตานหงมองอีกฝ่ายแล้วพูดขึ้น “เธอคงไม่ให้ฝ่ายชายถึงขั้นล้มละลายเพียงเพราะมาแต่งงานกับเธอใช่ไหม? แถมยังต้องแบกรับภาระครอบครัวของภรรยาไปตลอดชีวิตอีก”

“พี่สะใภ้ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้นะคะ ฉันเคยพูดเอาไว้แล้ว ผู้หญิงที่แต่งงานก็เหมือนน้ำที่ถูกสาดออกไปแล้ว ค่าสินสอด 300 หยวนก็ถือว่าเป็นการขายฉันไปเลย อาจจะมีกลับมาฉลองปีใหม่บ้าง แต่นอกนั้นก็ไม่จำเป็น ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องมาจุนเจือครอบครัวทางแม่เลยค่ะ” จี้อวี้หลานกล่าว

“ตกลง ฉันเข้าใจแล้ว” ซูตานหงพยักหน้าเข้าใจ

ตอนเช้าเธอเจอกับจี้อวี้หลาน ช่วงบ่ายเธอก็เจอกับหลานสาวของคุณป้าหยาง

ผู้หญิงคนนี้ชื่อหลี่เสี่ยวอวี๋ หล่อนเองก็เป็นหญิงสาวที่ฐานะยากจน หน้าตาคล้ายกับจี้อวี้หลาน แต่คิ้วบางกว่าจี้อวี้หลานอยู่พอสมควร แต่เป็นเพราะต้องทำงานนอกบ้างอยู่บ่อยครั้ง ผิวพรรณจึงดูดำกร้านไม่เผยให้เห็นถึงความงาม

ซูตานหงเชื่อว่าหลี่เสี่ยวอวี๋จะต้องได้ยินในสิ่งที่คุณป้าหยางพูดมาแล้วจึงไม่ลังเลใจที่จะเดินตรงเข้ามา

เหมือนกับจี้อวี้หลาน หลี่เสี่ยวอวี๋เป็นหญิงสาวที่อายุไม่น้อยแล้ว ผู้หญิงเหล่านี้จะไม่มีความคิดที่จะแต่งงานได้อย่างไรกันล่ะ?

เช่นเดียวกับจี้อวี้หลานที่สถานการณ์ทางครอบครัวไม่ได้ดีมากนัก แต่เห็นได้ชัดว่าหลี่เสี่ยวอวี๋ไม่ได้ตรงไปตรงมาเหมือนจี้อวี้หลาน และค่าสินสอดก็แพงไม่ต่างกัน คิดเป็นเงิน 200 หยวน น้อยกว่าสินสอดของจี้อวี้หลานอยู่ 100 หยวน แต่ซูตานหงกลับหัวเราะ จากนั้นจึงให้ลูกอมกระต่ายขาวไปแล้วขอตัวกลับ

คุณป้าหยางมองแล้วถอนหายใจออกมา “เด็กน้อยเอ๋ย ป้าก็พูดกับหลานไปแล้ว ว่าเรื่องแต่งงานสนใจแค่ตัวเองก็พอ จะอะไรกันนักกันหนากับครอบครัว”

หลี่เสี่ยวอวี๋เหมือนกับวิญญาณยังไม่เข้าร่าง เอ่ยขึ้นอย่างงงงวย “คุณป้าคะ พี่สะใภ้เขาหมายถึงอะไรเหรอ?”

“ไม่ต้องไปคิดแล้ว กลับไปเถอะ เอาเนื้อหมูนี้ไปทำเกี้ยวให้หลานเธอกินเถอะไป” คุณป้าหยางยื่นเนื้อหมูที่มัดด้วยฟางให้กับหล่อน

เนื้อนี้จี้เจี้ยนอวิ๋นเป็นคนให้นางมา

หลี่เสี่ยวอวี๋ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนี้นัก เพราะหล่อนก็คิดว่าตนเองประพฤติตนเหมาะสมมาตลอด

“ไม่ใช่ว่าหลานไม่ดีนะ แค่ไม่เหมาะกันเฉย ๆ น่ะ” คุณป้าหยางกล่าวด้วยรอยยิ้ม

เมื่อหล่อนจากไปแล้ว คุณป้าหยางก็หุบยิ้มลง ดีหน่อยที่หลี่เสี่ยวอวี๋ไม่ได้พูดต่อหน้าซูตานหง แต่ก็ไม่คิดว่าหลานสาวของตนจะได้รับการสั่งสอนมาเช่นนี้

การเป็นห่วงครอบครัวถือเป็นเรื่องที่ดี แต่เงินค่าสินสอดตั้ง 200 หยวนก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ถ้าแค่นี้ยังไม่พอ หลังจากแต่งงานไปแล้วก็จะถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน ทั้งที่ฝั่งบ้านแม่ก็ยังมีพี่ชายน้องชายที่ดูแลครอบครัวได้อยู่!

นั่นไม่ถือว่าเป็นการใช้ชีวิตที่มีความสุขหรอกนะ

คุณป้าหยางคิดเช่นนั้น ก็เลยมาหาซูตานหง ซูตานหงเองก็ระบายยิ้ม “ฉันทำเกี๊ยวเอาไว้เยอะมาก เป็นสูตรทางตอนใต้ คุณป้าลองเอาไปชิมดูนะคะ”

“ก็ได้” คุณป้าหยางยิ้ม และพูดขึ้นมาอีก “ตานหงเธอไม่ต้องไปสนใจนังหนูเสี่ยวอวี๋หรอกนะ อวี้หลานถือว่าดีแล้ว สามารถดูแลบ้านสามีได้”

“ค่ะ” ซูตานหงตอบอย่างไม่เกรงใจพร้อมพยักหน้า

ตัวเธอเองก็ไม่พอใจหลี่เสี่ยวอวี๋พอสมควร ไม่ได้หมายความว่าหล่อนไม่ดี เพียงแค่หลี่เสี่ยวอวี๋ไม่ใช่หญิงสาวแบบที่เธอตามหา ที่เธอต้องการคือหญิงสาวที่สามารถดูแลบ้านสามีได้อย่างเต็มตัว โดยที่ไม่ต้องกังวลกับทั้งสองครอบครัว

เธอไม่ได้ดูถูกครอบครัวของหญิงสาวเหล่านั้น เพียงแต่เธอแสดงให้เห็นถึงทัศนคติของตัวเองเท่านั้น เพียงแค่ใช้ชีวิตของตัวเองในแต่ละวันให้ดี สามีให้เกียรติครอบครัวของภรรยา นั่นก็ถือว่าเป็นการกตัญญูแล้ว

ด้วยประเพณีที่แพร่หลายในหลายครอบครัวที่จะให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาว สมัยยังเป็นเด็ก ลูกสาวจะลำบากมากกว่า มีเพียงการกินข้าวที่ทำให้เติบโต หนังสือก็ได้เรียนแค่ 3 ปี แต่นั่นก็ถือว่าดีสุด ๆ แล้ว แย่กว่านั้นบางคนอาจจะไม่ได้ไปโรงเรียนเลยด้วยซ้ำ อย่างเช่นจี้อวี้หลาน แค่เรียนหนังสือสักปีหล่อนก็ยังไม่เคยได้เรียนเลย

แต่กับลูกผู้ชายมันไม่เหมือนกัน พวกเขาได้อิสระที่จะเรียน นอกเสียจากว่าตัวเขาเองจะไม่อยากเรียนหนังสือ โดยทั่วไปแล้วทั้งหมดก็ถูกจัดเตรียมเอาไว้อย่างดี

ดังนั้นจึงไม่สามารถตำหนิลูกชายของตัวเอง ที่พอแต่งออกไปแล้วจะเอาแต่ใส่ใจความเป็นอยู่ของครอบครัวตัวเอง พวกเธอดูแลพี่น้องมาตั้งแต่ยังเด็ก ไม่เช่นนั้นจะมีประโยชน์อะไรได้อีก?

เห็นได้ชัดว่าจี้อวี๋หลานเป็นมีความคิดที่ชัดเจน หล่อนยังมีน้องชายอยู่อีกสองคน แถมยังไม่ใช่เด็กอีกแล้วด้วย หล่อนยังไม่ได้แต่งงานและทำงานเพื่อที่บ้านอย่างหนักมาหลายปีแล้ว มันยังไม่พออีกเหรอ? ค่าสินสอดก็อีกตั้ง 300 หยวน เรื่องของที่บ้านก็ถูกเปิดเผยชัดเจนขนาดนี้ แล้วจะให้หล่อนทำอย่างไร?

หลี่เสี่ยวอวี๋ก็ยังมีพี่ชายอยู่หนึ่งคน น้องชายอีกหนึ่งคนที่อายุ 18 ปี แต่หล่อนก็ไม่ได้ตระหนักถึงมัน ซูตานหงจึงไม่ต้องการที่จะปกป้องหล่อน

รอให้จี้เจี้ยนอวิ๋นกลับมา ซูตานหงจะเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง

จี้เจี้ยนอวิ๋นขำออกมา “ก็ได้ ผมจะให้สวี่เหอซานไปดูตัวกับหล่อน”

“ส่วนซูจูเหมา ให้แม่ของฉันช่วยหาให้เขาดีไหมคะ?” ซูตานหงว่า

ซูจูเหมาเป็นคนจากหมู่บ้านเดียวกับเธอ อันที่จริงว่าจะแนะนำหลี่เสี่ยวอวี๋ให้ แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจไม่แนะนำให้แล้ว

“ได้สิ ช่วงปีใหม่เราก็ไปหาแม่คุณกัน แต่ว่าคู่ของสวี่เหอซานกับจี้อวี้หลานนี้ใช้ได้แล้วนะ งั้นเงินค่าสินสอดเราคงต้องให้เขายืมไปก่อน” จี้เจี้ยนอวิ๋นว่า

“ให้ยืมไปเลยค่ะ 400 หยวน อีก 100 หยวนให้เป็นทุนครอบครัว แล้วค่อยให้เขาใช้คืนทีหลัง” ซูตานหงกล่าว

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

Status: Ongoing
คุณหนูซูผู้มีชีวิตอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ยึดหลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรมมาตั้งแต่ยังเล็ก ยังไม่ทันจะได้ออกเรือนนำเกียรติมาให้วงศ์ตระกูลกลับจับไข้สิ้นลมกลางสายฝนยามสารทฤดู และมาเกิดใหม่ในปี 1980 นางไม่คิดเลยว่าวิถีกุลสตรีในชาติที่แล้วของตนจะกลายเป็นคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมในยุคนี้ เนื่องจากเจ้าของร่างเดิม ซูตานหง ผู้กระทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการกินยาฆ่าแมลงตายคนนี้ นอกจากนามสกุลเดียวกันแล้วก็ไม่มีอะไรดีเหมือนนางเลยสักด้าน ถึงอย่างนั้นคุณหนูซูก็ไม่สนใจ นางคิดเพียงว่าจะใช้ทักษะที่มีอยู่มาสร้างเงินทอง ปลูกต้นไม้ดอกไม้มีค่า เย็บปักถักร้อยวาดภาพภูเขาสายน้ำอันงดงาม ใช้ชีวิตในชาตินี้ให้เรียบง่ายสุขสบายตามอัตภาพเท่านั้นและนี่ก็คือเรื่องราวของคุณหนูสูงศักดิ์จากยุคโบราณผู้มาเกิดใหม่ในร่างหญิงสาวยุค 80 เพื่อทำสวนทำไร่และให้กำเนิดบุตร นางจะเอาชีวิตรอดในยุคที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างไรบ้าง เอาใจช่วยคุณหนูซูไปพร้อมๆ กันได้ในเรื่องนี้เลย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท