ตอนที่ 247 นักศึกษามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง
ไม่นานนักจี้เจี้ยนอวิ๋นก็กลับมาพร้อมกับกุ้งที่จับได้ 2 ชั่งและปลากะพงอีก 2 ตัว
เขาแบ่งส่วนหนึ่งให้เหรินเหรินถือขึ้นไปบนภูเขาเพื่อมอบให้คุณย่า ส่วนที่เหลือพวกเขาเก็บไว้กินเอง
ปลากะพงถูกนำไปนึ่งจนเป็นปลานึ่งแสนอร่อย จิ้มกินกับซีอิ๊วผสมน้ำมันแล้วก็มีรสชาติเป็นเลิศ
ส่วนกุ้งนั้นนำไปต้ม จากนั้นแกะเปลือกออกจิ้มกินกับซีอิ๊วเช่นกัน
“ปีนี้กุ้งขายดีไหม?” คุณแม่ซูกินพลางถามลูกเขย
จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่ปิดบังนาง “กุ้งขายดีอยู่ครับ แต่ตอนนี้ยังไม่โต พอช่วงเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมก็จับได้แล้วครับ”
ตอนนี้กุ้งเหล่านี้ตัวไม่เล็ก แต่ก็ไม่ใหญ่นัก เป็นเพราะแม่ยายของเขามาที่บ้าน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่จับพวกมันมากินหรอก
ส่วนปลากะพงนั้นดูน่ากินมาก มันเป็นปลาที่เหลือจากรุ่นของปีที่แล้ว ซึ่งตัวหนึ่งมีน้ำหนักเกือบ 2 ชั่ง
“ปีนี้ไม่รู้เหมือนกันนะว่าฝนจะตกหนักไหม” คุณแม่ซูกล่าว
“ฝนจะตกหนักแค่ไหนพื้นที่ของเราก็ไม่เป็นไรไปหรอกครับ อ่างเก็บน้ำเพิ่งซ่อมแซมเมื่อปีที่แล้วยังแข็งแรงทนทานอยู่เลย” จี้เจี้ยนอวิ๋นพูด “แม่กินเยอะ ๆ นะครับ โดยเฉพาะปลากะพงนี่ช่วยบํารุงร่างกายและกระดูกดีเลยล่ะครับ”
“ได้สิ” คุณแม่ซูยิ้ม
ส่วนเหรินเหรินกับฉีฉีมีพ่อช่วยแกะเปลือกกุ้งจึงได้กินอย่างพอใจ เหรินเหรินชอบกินกุ้งมาก ฉีฉีเองก็ไม่ปฏิเสธ เจ้าเด็กดื้อคนนี้ไม่จู้จี้จุกจิก มีอะไรก็ยัดเข้าปากได้หมด แต่เจ้าลูกลิงก็ยังดูผอมเกินไปอยู่ดี
ตัวอย่างเช่น หลังจากกินอาหารมื้อเย็นเสร็จแล้ว เขาก็ไม่สามารถอยู่นิ่ง ๆ ได้อีก จึงมักจะแอบออกไปข้างนอกและลากต้าเฮยออกไปด้วย
ตอนนี้ต้าเฮยสามารถใช้เป็นผู้คุ้มกันตัวโตได้ แม้ว่ามันจะเห่าขู่ผู้ใหญ่แต่ก็ไม่เคยทำร้ายเด็ก ทว่าอย่าได้ไปยั่วยุมันเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นแม้แต่เด็ก ๆ ก็ต้องตกใจกลัวจนร้องไห้
เหรินเหรินไม่ได้ซุกซนเหมือนน้องชายของเขา หลังจากกินข้าวเสร็จก็อ่านหนังสือ แม้เขาจะยังไม่ได้ไปโรงเรียน แต่เขาก็รู้จักตัวอักษรมาไม่น้อยและนับเลขได้หลายตัว
ตอนนี้ยังสามารถทำโจทย์ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และอ่านพินอินของชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ได้ด้วย
คุณแม่ซูเห็นแล้วพอใจมาก “เขาดีกว่าพี่ใหญ่ของแกเยอะ บ้านเราไม่มีใครเป็นนักวิชาการ อ่านหนังสือเลยสักคน”
“ให้พี่สะใภ้ใหญ่ดูแลให้มากกว่านี้สิคะ” ซูตานหงกล่าว
“พี่สะใภ้ใหญ่ของแกเหรอจะสนใจเรื่องพวกนี้ หล่อนหวังว่าอีกไม่นานพวกเขาจะไปทำงานหาเงินได้เท่านั้นแหละ” คุณแม่ซูพูด
“ตอนนี้หล่อนไม่ขาดเงินแล้วนี่คะ” ซูตานหงกล่าว
แม่ของเธอไม่ได้ริบเงินเดือนที่ซูจิ้นจวินพี่ใหญ่ของเธอได้รับจากการทํางานที่นี่ไว้อีกแล้ว นางปล่อยให้พวกเขาจัดการกันเอง
ที่บ้านยังมีที่ดินอยู่ ตามปกติแล้วจะมีค่าใช้จ่ายอะไรอีก?
“พวกเขาทั้งคู่กำลังวางแผนจะสร้างตึก เงินก้อนนี้จะพอที่ไหนกัน?” คุณแม่ซูพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ฉันคิดว่าพวกเขาสองผัวเมียคงหมดหวังที่จะคิดเรื่องนี้แล้ว ทุกวันนี้แทบจะไม่ยอมใช้เงินเลยแม้แต่น้อย”
ซูตานหงยิ้ม “นี่ก็เป็นแนวคิดที่ดีเหมือนกันนะคะ”
ปีนี้ในหมู่บ้านของพวกเขามีคนเริ่มสร้างตึกแล้ว นั่นคือน้องชายแท้ ๆ ของผู้ใหญ่บ้าน เขาเปิดโรงงานอิฐซึ่งทำเงินได้มากมาย เนื่องจากตอนนี้คนจำนวนมากต้องการอิฐและหิน เรียกได้ว่าโรงงานของเขาเปิดได้ทันเวลาพอดี
หลังจากหาเงินได้เขาก็สร้างตึกขึ้นมาทันที เช่นเดียวกับตึกในเมือง ซึ่งสูงตระหง่านตระการตามาก ทั้งยังเป็นอาคารสามชั้นที่มีรูปทรงพิเศษ
แต่ว่ากันว่าเขาใช้เงินไปไม่มากนัก เนื่องจากเปิดโรงงานอิฐเอง จึงช่วยประหยัดเงินได้มาก
สภาพครอบครัวของเธอและบ้านของน้องชายของผู้ใหญ่บ้านนั้นจัดว่าดีที่สุดในหมู่บ้านของพวกเขา ทว่าเมื่อพิจารณาดูแล้ว สภาพของครอบครัวเธอก็ยังอยู่ในอันดับสอง ส่วนอันดับแรกเป็นของน้องชายผู้ใหญ่บ้าน
คุณแม่ซูกลับไม่เห็นด้วย “สภาพบ้านตอนนี้ก็ดีอยู่แล้ว เพิ่งสร้างมา 10 กว่าปี ยังดูใหม่อยู่เลย พวกเขา 2 คนกลับอยากสร้างตึก แล้วจะมีชีวิตอยู่ได้ที่ไหนกัน? ฉันให้พวกเขา 2 คนเข้าไปในเมืองเพื่อดูว่าควรซื้อร้านค้าไว้ปล่อยเช่า จะได้เก็บค่าเช่า พวกเขาทั้งคู่ก็ปฏิเสธทันที ฉันให้ยืมเงิน พวกเขาก็ไม่เอา”
ซูตานหงยิ้ม “ปล่อยพวกเขาไปเถอะค่ะ ถึงยังไงในอนาคตแม่ก็ไม่อดอยากหรอก”
คุณแม่ซูก็ยิ้มเช่นกัน
เช้าวันรุ่งขึ้นนางลุกขึ้นมาทําอาหารเช้า ซูตานหงก็ยุ่งไปด้วย รอจนทั้งครอบครัวทานอาหารเช้าเสร็จ คุณแม่ซูก็พาเหรินเหรินกับฉีฉีขึ้นเขาด้วยกัน
“คุณนายซูมาแล้ว ต้องการมือดีอย่างเธออยู่พอดีเลย” ตอนนี้คุณแม่จี้สนิทกับนางมาก จึงไม่มีการเสแสร้งต่อกัน แล้วรีบพานางไปช่วยตัดแตงโมทันที
คุณแม่ซูมาทํางานกับนาง ขณะพูดเรื่องซุบซิบไปพลาง คุณแม่จี้ก็ชอบฟังเรื่องพวกนี้เช่นกัน พี่สาวน้องสาวทั้งสองจึงคุยไปหัวเราะไประหว่างทำงาน
เมื่อถึงตอนเที่ยงคุณแม่ซูก็พาเหรินเหรินกับฉีฉีลงจากภูเขา คุณพ่อจี้จึงหยอกล้อภรรยาของเขา “เมื่อก่อนตอนพวกคุณเจอกันทีไร ต่างก็ถลึงตาใส่กันตลอด ตอนนี้ออกไปข้างนอกคนไม่รู้คงนึกว่าคุณ 2 คนเป็นพี่น้องกัน”
คุณแม่จี้ก็รู้สึกผิดเช่นกัน ที่แต่ก่อนเคยมองอีกฝ่ายด้วยความไม่ชอบใจ
ก่อนหน้านี้ฝ่ายนั้นช่างกล้าพูดเสียจริงที่เรียกสินสอดแต่งลูกสาวเป็นเงินมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อลูกสะใภ้คนนี้แต่งงานมาแล้วไร้ประโยชน์ คุณแม่จี้จะมีความสุขได้หรือ?
นางรู้สึกเหมือนตัวเองตกหลุมพรางขนาดใหญ่ จึงไม่ยอมไว้หน้าคุณแม่ซู
แต่คุณแม่ซูก็ไม่ยอมก้มหัวให้เช่นกัน ดังนั้นทั้งคู่จึงไม่มีอะไรจะต้องพูดกันอีก
ทว่าหลายปีมานี้กลับแตกต่างออกไป
หลังจากที่ได้รู้จักกันแล้ว จึงไม่แปลกใจเลยที่ผู้หญิงคนนี้สามารถให้กำเนิดลูกชายและลูกสาวอย่างซูจิ้นตั๋งกับซูตานหงได้ นับว่าเป็นคนที่ไม่เลวเลย
นางไม่ชอบเอาเปรียบผู้อื่น ทั้งยังมีน้ำใจมาก เมื่อพูดคุยกัน นางสามารถคุยได้ทั้งวันโดยหัวข้อไม่ซ้ำ หรือแม้จะเป็นเรื่องเก่าก็ไม่เป็นไร เนื่องจากพวกนางชอบที่จะรำลึกถึงวันเวลาที่ผ่านมา
เมื่อนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับแม่ของลูกสะใภ้ และความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับแม่สามีของลูกสาวนาง คุณแม่จี้ก็ส่ายหน้าและไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
นางกับคุณแม่ซูคืนดีกันแล้ว แต่ไม่รู้ว่านางจะมีโอกาสคืนดีกับแม่สามีของอวิ๋นอวิ๋นหรือไม่
ได้แต่หวังว่าลูกสาวของนางจะรู้ความมากขึ้นหลังจากคลอดลูก ไม่อย่างนั้น คงไม่มีทางที่จะปรองดองกันได้จริง ๆ นิสัยของบ้านหลี่นั้นดื้อรั้นและแข็งแกร่งกว่าคุณแม่ซูเสียอีก
เมื่อคุณแม่ซูกลับมาถึงบ้านก็เอ่ยถามลูกสาว “ปีนี้ทำไมไม่เห็นแม่สามีของน้องสามีแกมาเลยล่ะ? ปีที่แล้วฉันยังเห็นหล่อนอยู่เลย”
ปีนี้ในช่วงฤดูกาลสตรอเบอรี่นางก็มาช่วย แต่ไม่เห็นอีกเลยตั้งแต่ช่วงฤดูกาลแตงโม
ทว่าคุณแม่ซูไม่ได้ถามเรื่องนี้กับคุณแม่จี้ และเก็บกลับมาถามลูกสาวของตัวเอง
“ความสัมพันธ์ระหว่างอวิ๋นอวิ๋นกับแม่สามีตึงเครียดมากค่ะ จึงไม่ได้มาที่นี่อีกเลย คราวที่แล้วส่งสตรอเบอรี่ไปให้ วันรุ่งขึ้นทางนั้นก็รีบส่งของขวัญกลับมาให้เลย” ซูตานหงกล่าว
“น้องสามีแกไม่ใช่ว่าท้องแล้วเหรอ ถ้าหล่อนยังไม่รู้จักปรับปรุงตัว ถึงตอนนั้นใครจะช่วยดูแลหล่อนตอนอยู่เดือนหลังคลอด?” คุณแม่ซูได้ยินดังนั้นก็พูด
“ถึงตอนนั้นสามีของหล่อนก็ปิดเทอมแล้ว หล่อนคงไม่ต้องการคนอื่นหรอกค่ะ” ซูตานหงกล่าว
ดังนั้นจี้อวิ๋นอวิ๋นจึงมั่นใจมาก นานเท่าไหร่แล้วที่หล่อนไม่เคยก้าวเท้ากลับมาที่บ้านแม่สามีของหล่อนเลย
“หลี่จื้อพลาดแล้ว” คุณแม่ซูถอนหายใจเบา ๆ
“แม่รู้จักเขาด้วยเหรอคะ?” ซูตานหงยิ้ม
“แน่นอนว่าต้องรู้สิ นั่นเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงเชียวนะ” คุณแม่ซูพูดเสียงเบา นางเคยคิดอยากจะให้ลูกสาวแต่งเข้าบ้านคนขายเนื้อหลี่ แต่สามีผู้ล่วงลับของนางมองเพียงแวบเดียวก็ชอบเจี้ยนอวิ๋น สุดท้ายจึงเป็นเจี้ยนอวิ๋น
ทว่าเรื่องนี้คุณแม่ซูไม่ได้พูดออกมา เพียงแค่เก็บมันไว้ในใจ ตอนนี้ต่างคนก็ต่างมีครอบครัวแล้ว ยังมีอะไรให้ต้องพูดอีกหรือ?
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
จริง ๆ ถ้าไม่เจอเจี้ยนอวิ๋น ตานหงคงได้แต่งงานกับหลี่จื้อสินะ ดูแล้วก็เหมาะอยู่น้า
ไหหม่า(海馬)