ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] – ตอนที่ 255 ราคาเนื้อหมูปีนี้

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 255 ราคาเนื้อหมูปีนี้

สำหรับมื้อเย็นวันนี้ จี้เจี้ยนเหวินกับอวิ๋นลี่ลี่ก็รับประทานกันอย่างเอร็ดอร่อย

“พี่สะใภ้สาม อาหารฝีมือพี่อร่อยจนไม่ต้องพูดถึงเลยครับ ไม่สงสัยเลยว่าทำไมหลายปีที่ผ่านมาพี่สามถึงดูตัวใหญ่ขึ้นมาก” จี้เจี้ยนเหวินถอนหายใจแรงก่อนเอ่ยขึ้น

เขาเองก็ไม่ได้เป็นคนเตี้ยและสูงถึง 178 เซนติเมตร หากแต่เมื่อเทียบกับพี่สามแล้ว เขากลับดูเตี้ยกว่าอย่างเห็นได้ชัด เมื่อก่อนพี่สามก็สูงมากกว่าเขา ตอนนั้นอีกฝ่ายสูงราว 180 เซนติเมตร ตอนนี้กลับสูงถึง 190 เซนติเมตรแล้ว

จี้เจี้ยนอวิ๋นช่างสูงใหญ่อะไรอย่างนี้!

พี่สามของเขาไม่ได้มีหน้าตาไม่น่ามอง รูปร่างก็สมส่วน เมื่อมองจากสายตาของผู้ชายด้วยกัน นับว่าเป็นสิ่งที่ยอมรับได้

ว่ากันตามตรงแล้ว ถ้าเขาสูงเท่ากับพี่ชาย เขาคงจะดูผอมราวกับไม้เสียบผี แต่เป็นเพราะเจี้ยนอวิ๋นดูแลตัวเองเป็นอย่างดี จึงรักษารูปร่างกำยำไว้ได้อยู่ตลอด

ใช่แล้ว รูปร่างของอีกฝ่ายจัดว่ากำลังสมส่วน และตอนนี้ก็ดูบึกบึนไม่น้อย

เดิมทีจี้เจี้ยนอวิ๋นเป็นคนแข็งแรงอยู่แล้ว ด้วยสภาพร่างกายพร้อมทักษะการต่อสู้ ต่อให้มีชายฉกรรจ์ 5 คนมารุม เขาก็คงใช้เวลาไม่นานในการซัดทั้งหมดให้หมอบ

ตอนนี้เขางานยุ่งไม่น้อย มีงานจำนวนมากให้ต้องทำทุกวัน พ้นฤดูหนาวนี้ไปแล้วงานถึงจะซาลง ทุกเช้าเขาต้องหาเวลาไปวิ่งออกกำลังกายราว 1 ชั่วโมงก่อนจะกลับไปทำงาน ไม่อย่างนั้นร่างกายคงโทรมและเกรงว่าจะขึ้นสนิมเอาได้

ถึงอย่างไรลูก ๆ ของเขาก็ยังเด็กอยู่ อีกทั้งเขายังต้องเป็นเสาหลักให้ครอบครัว จะปล่อยให้ตัวเองล้มป่วยได้อย่างไร?

หลังกินอาหารมื้อเย็นเสร็จ อวิ๋นลี่ลี่ย่อมไม่อาจผละจากไปหลังกินอาหารเสร็จได้ หล่อนมาช่วยซูตานหงล้างจาน และมีท่าทางพึงพอใจกับอาหารเย็นมื้อนี้ไม่น้อย

มีทั้งหมูสามชั้นหอมกรุ่น และซี่โครงหมู หล่อนถึงกับหยิบไปแทะอยู่ 1 ชิ้น เจี้ยนเหวินเองก็หยิบไปแทะถึง 2 ชิ้น

ส่วนไข่คนผัดมะเขือเทศและปลานึ่งซีอิ๊วต่างก็อร่อยไม่แพ้กัน

หากหล่อนทำอาหารได้อย่างนี้บ้าง หล่อนก็คิดว่าเจี้ยนเหวินคงไม่ผอมพอ ๆ กับตนเหมือนเช่นในตอนนี้

“ปีนี้เนื้อหมูราคาตกลงมากเลยนะคะ” อวิ๋นลี่ลี่ว่าขึ้นระหว่างที่กำลังล้างจาน

“เดี๋ยวราคาจะตกลงมาอีก พ่อแม่ของเธอก็เลี้ยงเอาไว้นี่ ได้เวลาขายแล้วนะ” ซูตานหงได้ยินเช่นนั้น เธอก็กล่าวขึ้น

“พี่สะใภ้สามรู้ข่าววงในมาเหรอคะ?” อวิ๋นลี่ลี่ถามขึ้นทันทีเมื่อได้ฟัง

ปีนี้ทั้งพี่ชายคนโตและคนรองของหล่อนเลี้ยงหมูกัน พวกเขาใช้เงิน 500 หยวนที่หล่อนใช้คืนล่วงหน้าไปจ่ายค่าลูกหมู เพราะราคาเนื้อหมูเมื่อปีก่อนสูงมาก

ไม่เพียงแต่ครอบครัวของแม่หล่อน แต่ครอบครัวอื่น ๆ ก็เลี้ยงหมูเช่นกัน

เนื้อหมูชั่งหนึ่งตกราคาหลายหยวน และสามารถขุนให้อ้วนได้ถึง 200 ชั่ง! แล้วจะขายหมูตัวนั้นได้มากขนาดไหนกันล่ะ? การเลี้ยงหมูถึงทำให้ร่ำรวยขึ้นมาได้!

เมื่อปีก่อนครอบครัวของพี่สามีหล่อนทำเงินได้มาก ลำพังจากการขายหมู รายได้ก็นับว่าไม่น้อยแล้ว!

“พี่ไม่มีข้อมูลวงในหรอก แต่ถ้าเธอขายตอนนี้ มันจะต้องได้กำไรอย่างแน่นอน พ้นสิ้นปีไปก็คงทำไม่ได้แบบนี้แล้ว” ซูตานหงเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม

ปีที่แล้วเนื้อหมูราคาพุ่งสูงมาก ปีนี้คนถึงพากันเลี้ยงหมูกัน ไม่แปลกที่ราคาจะตก

“แต่ตอนนี้หมูกำลังโตวันโตคืน ฉันเกรงว่าพวกเขาจะไม่ยอมขายน่ะสิคะ” อวิ๋นลี่ลี่อดจะพูดออกมาไม่ได้

“แค่บอกพวกเขาว่าเจี้ยนอวิ๋นบอกมาก็ได้” ซูตานหงแนะแนวทางให้

อวิ๋นลี่ลี่พยักหน้า หลังทำธุระเสร็จ หล่อนก็มายังที่ทำการหมู่บ้านเพื่อโทรศัพท์ หลังรอสายอยู่นานก็มีใครบางคนรับสาย เมื่อบอกชื่อเสร็จ หล่อนก็ต้องรออีกฝ่ายไปเรียกคนปลายสาย ใช้เวลานานกว่าจะได้คุย

กระทั่งแม่ของหล่อนมารับสาย

“แม่คะ ปีนี้ที่บ้านเลี้ยงหมูไว้กี่ตัวเหรอคะ?” อวิ๋นลี่ลี่ไม่กล่าวอารัมภบท หล่อนถามเข้าเรื่องทันทีหลังได้รับการแนะนำ

“พี่คนโตของลูกเลี้ยงไว้ 8 ตัว ยังเล็กอยู่ 2 ตัว เหลือ 6 ตัว ส่วนพี่รองเลี้ยงไว้ 6 ตัว ยังเล็กอยู่ 1 ตัว เหลือ 5 ตัว” คุณแม่อวิ๋นเอ่ย

“ตอนนี้หนักเท่าไหร่กันแล้วคะ?” อวิ๋นลี่ลี่ถาม

“พวกมันถูกขุนอย่างดี จะต้องเป็นที่ต้องการของลูกค้าแน่ ดูอ้วนท้วนสมบูรณ์ทีเดียว หนักเกือบ 80 ถึง 90 ชั่งได้” คุณแม่อวิ๋นว่าขึ้นพลางยกยิ้ม

เมื่ออวิ๋นลี่ลี่รู้น้ำหนัก หล่อนก็รู้ได้ทันทีว่าพี่ชายคนโตกับพี่ชายคนรองคงตั้งใจขุนพวกมันมาอย่างดีแม้จะยังสู้พี่สามีของหล่อนไม่ได้ หล่อนรู้ดีเพราะได้ยินมาว่าหมูเพียง 1 ตัวที่สวนของพี่สามีนั้นหนักราว 120 ถึง 130 ชั่งได้ เมื่อถึงช่วงปีใหม่ หมูตัวโตที่หนัก 130 ชั่งจึงทำกำไรได้งาม

“พี่สะใภ้ของฉันบอกว่ามาเดี๋ยวราคาเนื้อหมูจะตกแล้วน่ะค่ะ แม่คะ ถ้าแม่เห็นด้วย ก็บอกให้พี่ใหญ่กับพี่รองขายหมูก่อนเถอะค่ะ ตอนนี้ราคาคงยังไม่ตกลงมาเร็วนัก” อวิ๋นลี่ลี่บอก

“ขายตอนนี้เหรอ? มันไม่คุ้มหรอก ตอนนี้เป็นเวลาที่ต้องขุนให้อ้วนต่างหาก” คุณแม่อวิ๋นค้านหัวชนฝา

“แม่คะ พี่สะใภ้สามบอกฉันมาเป็นการส่วนตัวเลยนะคะ ว่าช่วงปีใหม่ที่จะถึงนี้เนื้อหมูจะราคาตกลงมาก ถึงตอนนั้น สิ่งที่พี่ใหญ่กับพี่รองตั้งใจทำกันมาทั้งปี มันจะไม่ได้เงินกลับมาเลยนะคะ!” อวิ๋นลี่ลี่เอ่ย

“เมื่อปีก่อนก็ราคาแพงขนาดนั้น ไม่มีเหตุผลที่จะราคาตกปีนี้เสียหน่อย” คุณแม่อวิ๋นบอก “แล้วที่บ้านพี่สามีของลูกไม่เชือดหมูขายเหรอ?”

“ฉันยังไม่ได้ยินเรื่องนั้นหรอกค่ะ แต่แม่คะ อย่าไปเทียบพี่ใหญ่พี่รองกับพี่สามีฉันเลยค่ะ ครอบครัวของเขาเหนือว่าพวกพี่ ๆ มาก ปีก่อนเลี้ยงหมูไว้ 30 ตัว แต่ปีนี้เลี้ยงแค่ 10 ตัวเอง เห็นได้ชัดว่าราคาขายคงไม่สูงมาก!” อวิ๋นลี่ลี่ตระหนักได้ในท้ายที่สุดว่าทัศนคติของพวกเขาต่างกันมาก

หากแต่คุณแม่อวิ๋นยังคงไม่ยอมเชื่อเรื่องนี้ สุดท้ายอวิ๋นลี่ลี่จึงได้แต่บอก “แม่ไม่ต้องไปสนใจว่าพวกพี่จะทำตามหรือเปล่าหรอกค่ะ แค่ไปบอกพี่ใหญ่กับพี่รองก็พอ ไม่ต้องเข้าไปก้าวก่าย ไม่งั้นถ้าพวกพี่ขายขาดทุนแล้วจะมาโทษแม่ได้”

“ได้” คุณแม่อวิ๋นตอบตกลง

หลังวางสาย คุณแม่อวิ๋นก็กลับบ้าน และส่งต่อคำเตือนของลูกสาว

พี่ใหญ่อวิ๋นยิ้มก่อนตอบกลับ “ขายอะไรกันล่ะครับ? เมื่อปีก่อนยังราคาแพงเสียขนาดนั้น ปีนี้จะมาราคาตกได้ยังไงกัน? ตอนนี้เป็นช่วงที่ต้องขุนให้อ้วน ไม่งั้นจะขายได้ราคาได้ยังไง?”

เนื่องจากมองเห็นโอกาส พี่ใหญ่อวิ๋นจึงยิ่งมั่นอกมั่นใจ

พวกเขาเห็นตรงกันกับคุณแม่อวิ๋น และไม่ยอมขายตอนนี้

ผิดกับสะใภ้ใหญ่อวิ๋นที่ครุ่นคิดเมื่อได้ยินเรื่องนี้ “แต่ฉันได้ยินมาจากน้องสามีว่าปีนี้ครอบครัวพี่เขยสามของหล่อนเลี้ยงหมูแค่ 10 ตัว ทั้งที่ปีก่อนเลี้ยงตั้ง 30 ตัวนะคะ!”

เมื่อรู้เรื่องนี้ผ่านปากผู้เป็นแม่ พี่ใหญ่อวิ๋นถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง ด้วยหมู 30 ตัว ในราคาเมื่อปีที่แล้ว คิดรวมแล้วมีมูลค่าถึง 1,000 หยวน!

ครอบครัวพี่สามีของน้องสาวเขาช่างทุ่มทุนเสียจริง!

แต่ปีนี้กลับเลี้ยงแค่ 10 ตัว ชวนให้ฉงนใจไม่น้อย

คุณแม่อวิ๋นต้องบอกเรื่องนี้กับลูกชายอยู่แล้ว แต่ก็เป็นไปตามที่คาดไว้ พวกเขาทั้งคู่ยังคงไม่ยอมขาย

ตอนนี้หมูกำลังเติบโตได้ดี เรื่องอะไรจะขายตอนนี้กันล่ะ? จะดีเพียงไหนที่ได้เงินก้อนโตหลังช่วงสิ้นปี?

ความคิดเช่นนี้ ไม่ได้มีเพียงตระกูลอวิ๋นที่คิด แต่ยังรวมถึงครอบครัวอื่น ๆ ด้วย

เมื่อปีก่อนเนื้อหมูราคาสูงมาก คงไม่มีทางราคาตกในปีนี้อย่างแน่นอน

จี้เจี้ยนอวิ๋นงานรัดตัวมาได้พักใหญ่แล้ว เขาออกไปทำงานและไม่ได้กลับบ้านราว 6 ถึง 7 วัน ถือเป็นครั้งที่ 2 ที่เขานอนค้างนอกบ้านหลังปลดประจำการ

ครั้งแรกคือตอนไปเรียนรู้วิธีการบริหารจัดการงานสวน และหลังจากนั้นก็ไม่ได้นอนค้างที่อื่นอีก

ดังนั้นการออกไปค้างนอกบ้านคราวนี้ จึงทำให้ซูตานหงไม่สบายใจอยู่บ้าง ในขณะที่สองพี่น้องเหรินเหรินกับฉีฉีดูไม่เป็นเดือดเป็นร้อนนัก พวกเขาไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้สักเท่าไร

หากแต่วันนี้เป็นวันที่พ่อของพวกเขาจะกลับบ้าน สองพี่น้องจึงออดอ้อนและคลอเคลียกับเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนผละไปเล่นตามเรื่องตามราวของพวกเขา

การออกไปค้างนอกบ้านครั้งนี้ จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่ได้นำอะไรกลับมา มีเพียงแค่เอกสารบางส่วนเท่านั้น

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เตือนแล้วจะปฏิบัติตามกันไหมก็อีกเรื่องหนึ่งล่ะค่ะ เกิดเนื้อหมูราคาตกขึ้นมาแล้วไม่ได้ขายนี่สิ่งที่ทำมาตลอดปีถือว่าขาดทุนเลยนะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

Status: Ongoing
คุณหนูซูผู้มีชีวิตอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ยึดหลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรมมาตั้งแต่ยังเล็ก ยังไม่ทันจะได้ออกเรือนนำเกียรติมาให้วงศ์ตระกูลกลับจับไข้สิ้นลมกลางสายฝนยามสารทฤดู และมาเกิดใหม่ในปี 1980 นางไม่คิดเลยว่าวิถีกุลสตรีในชาติที่แล้วของตนจะกลายเป็นคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมในยุคนี้ เนื่องจากเจ้าของร่างเดิม ซูตานหง ผู้กระทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการกินยาฆ่าแมลงตายคนนี้ นอกจากนามสกุลเดียวกันแล้วก็ไม่มีอะไรดีเหมือนนางเลยสักด้าน ถึงอย่างนั้นคุณหนูซูก็ไม่สนใจ นางคิดเพียงว่าจะใช้ทักษะที่มีอยู่มาสร้างเงินทอง ปลูกต้นไม้ดอกไม้มีค่า เย็บปักถักร้อยวาดภาพภูเขาสายน้ำอันงดงาม ใช้ชีวิตในชาตินี้ให้เรียบง่ายสุขสบายตามอัตภาพเท่านั้นและนี่ก็คือเรื่องราวของคุณหนูสูงศักดิ์จากยุคโบราณผู้มาเกิดใหม่ในร่างหญิงสาวยุค 80 เพื่อทำสวนทำไร่และให้กำเนิดบุตร นางจะเอาชีวิตรอดในยุคที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างไรบ้าง เอาใจช่วยคุณหนูซูไปพร้อมๆ กันได้ในเรื่องนี้เลย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท