ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] – ตอนที่ 260 ทำงานในโรงงาน

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 260 ทำงานในโรงงาน

ซูตานหงส่งยิ้มกว้างให้เขา แน่นอนว่าเธอไม่รู้สึกกดดันแต่อย่างใด

ชาติที่แล้วเธอได้รับการปลูกฝังว่าคุณค่าของคนเป็นแม่นั้นขึ้นอยู่กับลูก การไม่มีลูกชายไม่ต่างกับการอกตัญญู ตอนนี้เธอมีลูกชายถึง 2 คนแล้ว ส่วนเรื่องลูกสาวนั้นก็คงจะดีหากลูกคนนี้เป็นลูกสาว หากไม่เป็นเช่นนั้นเธอก็ไม่ได้คิดมาก ถึงอย่างไรเธอก็เป็นคนกำหนดชีวิตของตนอยู่แล้ว

หลี่จื้อใช้เวลาหลายวันในการสะสางเรื่องวุ่นวาย และแวะมาเยี่ยมที่บ้านพร้อมลูกสาว

เขาตั้งชื่อให้ลูกแล้ว ชื่อว่าหลี่หยวน และตั้งชื่อเล่นว่าหยวนหยวน

ตอนที่เขามาเยี่ยม ซูตานหงนึกถูกใจทันทีที่ได้ยินชื่อที่เขาตั้งและเอ่ยชม “หยวนแปลว่าหญิงงาม แม่หนูหยวนหยวนต่อไปต้องโตเป็นคนสวยแน่จ้ะ”

หลี่จื้อคิดไม่ถึงว่าพี่สะใภ้สามจะรู้ความหมายของชื่อ แต่เมื่อย้อนนึกถึงชื่อของเหรินเหรินกับฉีฉี เธอเองก็เป็นคนตั้งให้ทั้งนั้น

เหรินเหรินมีชื่อจริงว่าจี้เหริง ในขณะที่ฉีฉีมีชื่อจริงว่าจี้ฉี

ทั้งคำว่า “เหริง” และคำว่า “ฉี” ต่างแปลว่าความสุขทั้งนั้น เธอเป็นคนตั้งชื่อให้ลูก ๆ เอง ซึ่งมีความหมายดีมาก

“พี่สามของเธอก็เอ็นดูหยวนหยวนมาก เขาบอกฉันตอนไปหาที่บ้านคราวก่อน ว่าหยวนหยวนหน้าตาเหมือนเธอเลย” ซูตานหงบอกพร้อมรอยยิ้ม

เธอชะโงกไปมองเช่นกัน เด็กหญิงมีตากลมโต ผิวพรรณขาวผ่องเนียนนุ่ม หน้าตาน่ารักน่าชัง เรียกว่าได้เชื้อมาจากหลี่จื้อเต็ม ๆ เด็กหญิงมีหลายส่วนที่คล้ายหลี่จื้อ อย่างดวงตากลมโตสองชั้นของหลี่จื้อ ในขณะที่จี้อวิ๋นอวิ๋นมีตาชั้นเดียว หยวนหยวนน้อยจึงหน้าตาเหมือนพ่อมากกว่า เพราะมีตาสองชั้น

แววตาของเด็กหญิงสุกใสเปล่งประกาย ตอนที่แหย่เธอเล่น เธอก็จะหัวเราะ ดูน่ารักไม่น้อย

เหรินเหรินกับฉีฉีชอบเธอเช่นกัน พวกเขาอดใจไม่ให้ชอบไม่ไหว ด้วยไม่อาจต้านทานความน่ารักของน้องสาวคนนี้ได้

หยวนหยวนเพิ่งมาที่บ้านป้าสามเป็นครั้งแรกและได้รับการต้อนรับแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน แม้แต่ฉีฉียังเอาหุ่นยนต์ตัวโปรดออกมาเล่นกับเธอ หากแต่เธอยังเด็กเกินกว่าจะเล่นด้วยได้

หลังอยู่ที่บ้านครู่หนึ่ง หลี่จื้อก็พาลูกสาวขึ้นไปที่สวน เนื่องจากคุณยายกับคุณตายังไม่เคยเจอหน้าหลานสาวสักครั้ง

เป็นไปตามคาด คุณพ่อกับคุณแม่จี้ปลาบปลื้มใจไม่น้อย ด้วยหาโอกาสแบบนี้ได้ยาก

แม้จะไม่ชอบเด็กผู้หญิงนัก แต่หลานสาวของพวกเขาทั้งคน พวกเขาจะไม่เอ็นดูได้อย่างไรล่ะ?

“แล้วตอนนี้ก็อยู่ที่บ้านเหรอ?” คุณแม่จี้ถาม

“ผมอยากพากลับไปอยู่ที่บ้านแม่ก่อนครับ ให้แม่ช่วยดูแลให้ ไม่อย่างนั้นเธอจะเริ่มติดผม แล้วจะเป็นปัญหาใหญ่เอา” หลี่จื้อบอก

เขาครุ่นคิดเรื่องนี้มาอย่างดี ตอนเขาต้องกลับไปสอนหนังสือ ลูกสาวของเขาจะอายุได้ 3 เดือนพอดี เธอจะเริ่มติดคนเลี้ยงแล้ว แล้วเธอจะยอมให้เขาไปทำงานได้อย่างไร?

ดังนั้นจึงควรพาเธอกลับไปอยู่กับแม่ของเขาก่อน เธอจะได้ไม่รู้สึกแปลกหน้าและกลัวเกินไป

คุณแม่จี้พยักหน้ารับ คงต้องเป็นแบบนี้อยู่แล้ว ส่วนลูกสาวของนาง ไม่ต้องพูดถึง หล่อนคงไม่กลับมาอีกแล้ว

หรือพูดได้ว่าตอนนี้แม่กับลูกสาวแยกกันอยู่เป็นที่เรียบร้อย

คู่สามีภรรยาหนุ่มสาวเป็นแบบนี้กันทั้งนั้นเลยเหรอ?

หากแต่จะบอกว่าเป็นความผิดของหลี่จื้อได้อย่างไรกัน? มันเป็นเพราะสิ่งที่ลูกสาวนางทำลงไปโดยไม่สำนึกแม้แต่น้อยไม่ใช่เหรอ?

หล่อนควรจะอยู่บ้านเลี้ยงลูก มันเป็นสิ่งที่สมควรทำ หล่อนมีหน้าที่ให้นมลูก แต่กลับเลือกออกไปทำงานนอกบ้าน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ลูกเขยของนางจึงพาลูกสาวกลับไปบ้านแม่ของเขา จะให้นางโทษว่าเป็นความผิดลูกเขยได้อย่างไร?

หลี่จื้อเอาผ้าอ้อม นมผง และอุปกรณ์อื่น ๆ ติดตัวมาด้วย เขาอยู่จนถึงช่วงเย็นก่อนจะเดินทางกลับ

เห็นได้ชัดว่าเขาชอบบรรยากาศที่นี่ ตอนนี้เข้าฤดูกาลเก็บเกี่ยวที่สวนบนเขา เขาจึงหอบลูกขึ้นมาช่วยงาน แต่ตัวเขาเองก็สามารถช่วยได้ในบางเรื่องเท่านั้น ถึงอย่างไรตอนนี้หยวนหยวนก็ยังอยู่ในวัยกำลังกินกำลังนอน

หลี่จื้อไม่ได้แวะมาที่นี่บ่อยนัก เขามักพาหยวนหยวนมาอยู่เรื่อย ๆ ที่ผ่านมาเขามีหน้าที่ซักและเปลี่ยนผ้าอ้อมเท่านั้น เมื่อชงนมเสร็จก็จะส่งให้แม่ของเขาป้อนให้ลูกสาว เขาไม่ได้ป้อนนมลูกเอง ด้วยกลัวว่าลูกสาวจะจำหน้าเขาได้ แล้วต่อไปจะทำใจแยกจากกันลำบาก

หากแต่ด้วยความเป็นพ่อลูกอย่างไรก็ตัดกันไม่ขาด แม้คุณน้าหลี่จะใจดีกับหลานสาวมากเพียงไหน หากแต่หยวนหยวนยังติดผู้เป็นพ่อมากกว่าอยู่ดี

มันทำให้หลี่จื้อทั้งยินดีและเป็นกังวล เธอเห็นว่าเขาเป็นพ่อ ด้วยอายุยังน้อย เธอต้องร้องหาเขาแน่ ถึงเวลานั้นแล้วเขาจะทำอย่างไรดี?

เมื่อน้าหลี่เข้านอนตอนกลางคืน นางถอนหายใจกับสามี “ไหนว่าบ้านนั้นดีนักหนาไงคะ ทำไมลูกสะใภ้ถึงได้เป็นอย่างนี้ไปได้นะ?”

ลูกสะใภ้นางหายหัวไปไหนกัน เห็นมีแต่ญาติ ๆ ทั้งนั้น!

“อย่าคิดมากเลยน่า หยวนหยวนก็โตมาอย่างดีไม่ใช่เหรอ? เราไม่ดูดำดูดีเธอไม่ได้หรอกนะ” คนขายเนื้อหลี่ที่เอ็นดูหลานสาวเช่นกันบอก

“หยวนหยวนน่ะน่ารักดีคะ แต่ฉันแค่ไม่เข้าใจแม่ของยัยหนูแกเลยสักนิด!” น้าหลี่โวยขึ้น

คนขายเนื้อหลี่ไม่ได้พูดอะไร แต่ว่ากันตามตรง เขาก็ผิดหวังกับลูกสะใภ้คนนี้เล็กน้อย

ถึงอย่างไรหล่อนก็เป็นพี่น้องครอบครัวจี้ โดยเฉพาะพี่ชายคนที่สาม ซึ่งทั้งมีความสามารถและเป็นคนดี เขาถูกชะตากับพี่ภรรยาของลูกชายไม่น้อย

ส่วนพี่ชายคนอื่น ๆ ก็พอใช้ได้ อีกทั้งพ่อแม่ของพวกเขายังเป็นคนมีเหตุผล คิดว่าลูกสาวที่เลี้ยงมาจะอ่อนโยนและเป็นคนดี จะได้มาเป็นคู่คิดให้กับลูกชายของเขาได้

แต่ในท้ายที่สุด…

คนขายเนื้อหลี่ส่ายหน้า และไม่ได้ออกความเห็น

“ถ้าไม่เห็นแก่ครอบครัวของหล่อน ฉันคงบอกให้ลูกไปหย่ากับหล่อนเสียให้จบ ๆ แล้ว!” คุณน้าหลี่ระบายออกมา

คนขายเนื้อหลี่ชะงัก และบอกกับนาง “คุณเป็นแม่สามีนะ แต่ยังอยากให้ลูกชายไปหย่า อยากให้หลานสาวไม่มีแม่หรือยังไงกัน?”

“ถ้าหยวนหยวนต้องมีแม่ใจร้ายแบบนั้น ไม่ต้องมีเสียดีกว่าค่ะ!” คุณน้าหลี่ว่าอย่างเฉยชา

หลานสาวของนางอายุเท่าไรกันเอง แต่หล่อนกลับให้หย่านมแม่ ยังมีความเป็นแม่อยู่หรือเปล่า?

คุณน้าหลี่ไม่ได้พูดล้อเล่น หากไม่ได้เห็นแก่หน้าของครอบครัวลูกสะใภ้ ต่อให้เป็นนมผงนำเข้าแบบที่พี่ภรรยาของลูกชายนำมาให้จากเมืองมหาวิทยาลัยโดยไม่คิดเงินแต่อย่างใด ถ้าเป็นครอบครัวอื่น นางคงจะส่งของคืนกลับไปบ้านลูกสะใภ้โดยไม่คิดลังเลแล้ว!

“อวิ๋นอวิ๋นก็ออกไปทำงานหาเงินมาจุนเจือครอบครัวไม่ใช่เหรอ?” คนขายเนื้อหลี่เอ่ย

คุณน้าหลี่ตอกกลับ “เข้านอนเถอะค่ะ!”

นางไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้

ไปทำงานเดือนหนึ่งจะได้สักเท่าไรกัน? แล้วใครจะคอยดูแลหลี่จื้อ? ค่านมผงของหยวนหยวน เดือนหนึ่งต้องเสียตั้งเท่าไร? หล่อนออกไปทำงานแล้วจะหาเงินก้อนนี้มาได้อย่างนั้นเหรอ?

ลูกชายของนางต้องไปสอนหนังสือ เงินเดือนไม่พอค่านมลูกด้วยซ้ำ หล่อนช่างใจดำเสียจริง!

หากหล่อนไม่สร้างปัญหาให้ลูกชายนางจะเป็นการดีที่สุด แต่อย่างน้อยก็ไม่น่าจะหนีไปอย่างนั้น ต่อให้เห็นแก่ครอบครัวอีกฝ่าย แต่นางก็ไม่คิดให้อภัยหล่อนหรอก!

จี้อวิ๋นอวิ๋นผู้อยู่ห่างออกไปในแถบชานเมืองย่อมไม่รู้ตัวว่าแม่สามีผูกใจเจ็บกับเธอ ตอนนี้หล่อนเองก็โกรธเช่นกัน หลี่จื้อที่ควรเข้าใจหล่อนที่สุดตอนนี้กลับหอบลูกหนีกลับไปแล้ว!

หากเขาไม่กลับมาในหน้าเทศกาลนี้ หล่อนคงต้องลงมือทำอาหารและซักเสื้อผ้าเอง!

หล่อนเคยซักเสื้อผ้าเองมาบ้าง แต่ไม่เคยทำอาหารเอง อีกทั้งยังไม่ต้องล้างจาน เพราะมีร้านอาหารอยู่มากมาย

ด้วยเบื่อที่ต้องอยู่บ้านตลอดทั้งวัน หล่อนจึงมาสมัครงานที่โรงงาน

มีโรงงานมากมายตั้งอยู่ในแถบชานเมือง ก่อนหน้านี้หล่อนโชคดีที่โรงงานยังมีตำแหน่งงานว่างอยู่ แต่เพราะตอนนั้นตนเองท้องโตเกินกว่าจะทำงานได้จึงทำให้หล่อนต้องลาออก

จี้อวิ๋นอวิ๋นเพียงแค่แวะสอบถาม หากแต่นึกไม่ถึงว่าจะมีตำแหน่งว่างอยู่ จี้อวิ๋นอวิ๋นจึงเริ่มงานในวันถัดมา

หล่อนทำงานได้ไม่คล่องนัก แต่หล่อนมีหัวหน้าที่ดีซึ่งคอยสอนงานให้อย่างใจเย็น ไม่อย่างนั้นกว่าหล่อนจะเป็นงานก็คงกินเวลาหลายวัน

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เอาล่ะค่ะ มาคอยดูกันว่ายัยอวิ๋นอวิ๋นจะพึ่งพาตัวเองไปได้กี่น้ำ คนรอบตัวเอือมระอากับเธอจนเทเธอทิ้งหมดแล้ว

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

Status: Ongoing
คุณหนูซูผู้มีชีวิตอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ยึดหลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรมมาตั้งแต่ยังเล็ก ยังไม่ทันจะได้ออกเรือนนำเกียรติมาให้วงศ์ตระกูลกลับจับไข้สิ้นลมกลางสายฝนยามสารทฤดู และมาเกิดใหม่ในปี 1980 นางไม่คิดเลยว่าวิถีกุลสตรีในชาติที่แล้วของตนจะกลายเป็นคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมในยุคนี้ เนื่องจากเจ้าของร่างเดิม ซูตานหง ผู้กระทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการกินยาฆ่าแมลงตายคนนี้ นอกจากนามสกุลเดียวกันแล้วก็ไม่มีอะไรดีเหมือนนางเลยสักด้าน ถึงอย่างนั้นคุณหนูซูก็ไม่สนใจ นางคิดเพียงว่าจะใช้ทักษะที่มีอยู่มาสร้างเงินทอง ปลูกต้นไม้ดอกไม้มีค่า เย็บปักถักร้อยวาดภาพภูเขาสายน้ำอันงดงาม ใช้ชีวิตในชาตินี้ให้เรียบง่ายสุขสบายตามอัตภาพเท่านั้นและนี่ก็คือเรื่องราวของคุณหนูสูงศักดิ์จากยุคโบราณผู้มาเกิดใหม่ในร่างหญิงสาวยุค 80 เพื่อทำสวนทำไร่และให้กำเนิดบุตร นางจะเอาชีวิตรอดในยุคที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างไรบ้าง เอาใจช่วยคุณหนูซูไปพร้อมๆ กันได้ในเรื่องนี้เลย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท