ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] – ตอนที่ 265 หลี่ไหลตี้

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 265 หลี่ไหลตี้

ซูตานหงปลอบใจเด็ก ๆ อยู่สักพัก เพราะนี่เป็นวิธีที่ดีในการหลอกเด็ก

“เมื่อไหร่จะปีใหม่เหรอครับ?” ฉีฉีเอ่ยถาม

“ปีใหม่ก็คือวันที่ได้ซองแดงยังไงล่ะจ๊ะ” ซูตานหงว่า

ดวงตาฉีฉีเริ่มเป็นประกาย สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือซองแดง เขาอยากได้ซองแดงแล้ว

ครั้นสั่งให้เหรินเหรินพาเขาขึ้นไปเก็บแอปเปิ้ล ซูตานหงก็เลิกสนใจเขาแล้ว

เด็กผู้ชายควรเลี้ยงแบบปล่อยบ้าง เพื่อให้ทนทานต่อการฝึกและทนต่อสิ่งกระแทก สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเขาจะสามารถปกป้องคนที่เด็กกว่าได้ดีขึ้น

ซูตานหงลูบท้องของตัวเอง เธอรู้สึกได้ว่าเด็กในท้องของเธอครั้งนี้จะต้องเป็นเด็กผู้หญิง

เช่นนั้นก็จำเป็นที่จะต้องมีพี่ชายสองคนไว้ปกป้อง ไม่เช่นนั้นอาจจะโดนรังแกได้ง่าย

เป็นเพราะช่วงนี้จี้เจี้ยนอวิ๋นกำลังเงินขาดมือ เขาจึงยุ่งมากเป็นพิเศษ ในตอนนี้เขาได้พาคนไปทำเล้าไก่ที่สวนผลไม้แห่งที่ 3 อย่างจริงจังแล้ว

เพราะทำฟาร์มไก่ขนาดใหญ่ ดังนั้นเล้าไก่ก็จะต้องมีขนาดใหญ่ไปด้วยเช่นกัน

เมล็ดมู่สวี่ต่างเจริญเติบโตได้ดีในสวนผลไม้แห่งที่สาม เป็นเพราะซูตานหงมักจะนำน้ำพุวิเศษมารดอยู่บ่อยครั้ง พวกมันจึงเจริญเติบโตเป็นอย่างดี

ในสวนแห่งนี้เพาะมู่สวี่ไว้ 3 ถึง 4 แปลง ซึ่งในสวนผลไม้แห่งที่ 1 กับสวนผลไม้แห่งที่ 2 ก็มีเหมือนกัน เหตุที่เพาะเอาไว้ก็เพื่อใช้เป็นอาหารไก่

อุ้งเท้าไก่สร้างความเสียหายให้กับพื้นดินไม่ใช่น้อย ๆ ดังนั้นจี้เจี้ยนอวิ๋นจึงแบ่งพื้นที่เล้าทั้งหมดเป็นสี่ส่วน ให้ไก่ได้หมุนเวียนกันอยู่ และย้ายไปเล้าถัดไปเป็นระยะ

นอกจากนี้มันยังช่วยให้ไม่ต้องขุดดินในที่หนึ่ง ๆ ซึ่งจี้เจี้ยนอวิ๋นวางแผนที่จะสร้างเล้าไก่อีกหนึ่งแห่งถัดจากเล้าไก่บนภูเขาลูกแรกอีกด้วย

นี่คือสิ่งที่เขาเห็นในหนังสือคู่มือเพาะพันธุ์ปศุสัตว์ที่ลุงจางส่งมาจากปักกิ่งครั้งล่าสุด อาจเป็นเพราะลุงจางรู้ว่าครอบครัวของเขากำลังเลี้ยงสัตว์เหล่านี้ จึงหาหนังสือแบบนี้มาให้เขาโดยเฉพาะ

ไม่เพียงแค่ไก่เท่านั้น ยังมีเป็ด หมู แพะ และปลาในอ่างเก็บน้ำ มีวิธีการเลี้ยงสัตว์อย่างเป็นระบบ ซึ่งลุงจางส่งมาให้เขาด้วยความใส่ใจอย่างยิ่ง

อย่างเช่นไก่จะต้องเลี้ยงแบบนี้ ส่วนฤดูร้อนนี้ก็ขายไข่เป็ดเค็มที่ทำเก็บไว้เมื่อก่อนหน้าไปก่อน ช่วงเวลานี้พวกเป็ดไม่ได้ออกไข่แล้ว เพราะเขาตัดขนที่หางพวกมัน ปล่อยให้เป็ดตัวเมียได้พักผ่อนเพิ่มพลังให้เต็มที่ เมื่อถึงช่วงออกไข่ค่อยให้พวกมันวางไข่

แต่ช่วงเวลานี้ก็ใกล้กับช่วงที่พวกมันจะเริ่มออกไข่แล้ว

เพราะว่าอาหารของเขานั้นดีมาก และพวกเป็ดก็เติบโตมาอย่างดีเช่นกัน

การเลี้ยงเป็ดตามวิธีการของเขาเป็นวิธีที่แม้แต่ลุงสวี่และซูอันปังผู้ดูแลอ่างเก็บน้ำก็คุยอวด เพราะเป็ดที่วางไข่เป็นเวลาสองหรือสามเดือนติดกันได้สูญเสียน้ำหนักไปมาก ซึ่งเห็นได้ชัดว่าสูญเสียพลังชีวิตไป

ถ้ายังใช้วิธีการนี้ในการเลี้ยง อัตราการวางไข่ก็จะเร็วมาก

จี้เจี้ยนอวิ๋นรู้สึกว่าหนังสือที่ลุงจางส่งมาเป็นสิ่งที่ดี และแน่นอนว่าเขายังเชื่อในวิทยาศาสตร์

เล้าไก่ทั้งสี่ถูกสร้างอยู่ที่สวนผลไม้แห่งที่ 3 หลังจากนั้นก็มีการระดมคนล้อมรั้วรอบภูเขา ครั้งนี้ไม่ได้ใช้อิฐก่อเป็นกำแพงรอบภูเขา เพราะเขาลงเงินไปกับสวนผลไม้แห่งที่ 1 และ 2 มากแล้ว แถมตอนนั้นวัสดุล้อมรั้วยังค่อนข้างหายากไม่เหมือนกับตอนนี้ ดังนั้นที่สวนผลไม้แห่งที่ 3 เขาจึงเรียกไช่จ่านกั๋วและจี้กวงซงทั้งสองคนมาลงเสาไม้และใช้ตาข่ายพันรอบ แบบนี้ก็พอป้องกันอะไรได้เหมือนกัน

ขณะเดียวกับที่สร้างเล้าไก่บนภูเขา จี้เจี้ยนอวิ๋นก็พาคนไปสร้างบ้านพักเอาไว้ เมื่อถึงเวลาค่อยให้คนที่เฝ้าสวนมาอาศัยอยู่ เพราะเขาไม่ได้คิดจะเลือกคนในหมู่บ้านเพิ่มอยู่แล้ว

หลังจากวุ่นอยู่กับงานนานกว่าครึ่งเดือน ทุกอย่างบนภูเขาก็เกือบจะแล้วเสร็จ

วันนี้จี้เจี้ยนอวิ๋นมอบแอปเปิ้ลหนึ่งตะกร้าให้แม่ยาย ทั้งหมดเป็นแอปเปิ้ลลูกใหญ่ที่ทั้งหวานและกรอบ

“ตอนนี้ตานหงเป็นยังไงบ้าง?” คุณแม่ซูเอ่ยถาม

“สบายดีอยู่ครับ คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วง” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยยิ้ม ๆ

ภรรยาของเขาท้องได้ 4 เดือนแล้ว สภาพของเธอก็ดูปกติดี ช่วงนี้เธอกินแอปเปิ้ลสองลูกทุกวัน และบอกว่ามันหอมดีจนกินได้ทั้งวัน

“แม่ครับ วันนี้ที่มาผมมีเรื่องอยากจะถาม พวกเราพอจะมีคนที่ใช้การได้ไหมครับ? ผมต้องการคนมาเฝ้าสวนผลไม้แห่งที่ 3 น่ะครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นพูดในสิ่งที่ตั้งใจไว้

“เรื่องเฝ้าสวนน่ะให้จิ้นจวินไปก็ได้” คุณแม่ซูเอ่ย

คนเฝ้าสวนต้องเป็นคนที่ไว้ใจได้ ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะกลายเป็นขโมยก็เป็นได้?

ถ้าเป็นแต่ก่อนนางจะไม่ปล่อยให้ลูกชายคนโตไปอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ ลูกชายคนโตไม่มีอะไรทำ และเขาก็ไม่ขโมยของแน่นอน อีกอย่างยังมีนางจับตาดูอยู่ เขาจะกล้าก่อเรื่องได้อย่างไร?

“พี่ใหญ่ผมก็อยากจะมาทำงาน แต่คนเฝ้าสวนจะต้องอยู่บนภูเขาทั้งวัน เขายังหนุ่มอยู่แบบนี้ คงกลับมาอยู่กับพี่สะใภ้ใหญ่แน่นอน” จี้เจี้ยนอวิ๋นกล่าว

ถ้าเป็นซูจิ้นจวิน เขาก็อยากจะให้มาทำหน้าที่นี้ แต่ใครจะกล้าไปแยกสามีภรรยาออกจากกันล่ะ?

คุณแม่ซูรู้ว่าลูกเขยกำลังหมายถึงอะไร และถอนหายใจ “อายุตั้งเท่าไหร่แล้ว จะคิดเรื่องพวกนั้นกันไปทำไม”

นางพูดอย่างตรงไปตรงมา

“เปลี่ยนคนใหม่ดีกว่าครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นส่ายหน้า

เขาและแม่ยายไม่มีอะไรต้องเกรงใจกัน คุณแม่ซูก็ไม่ได้สนใจ อันที่จริงสิ่งที่ลูกเขยพูดมานั้นสมเหตุสมผลอยู่ แม้ว่าซูจิ้นจวินเพิ่งอายุย่าง 40 ปี แต่ 40 ปีก็ไม่ถือว่าแก่เกินไป

นางจึงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นแม่จะไปดูให้ ถ้ามีอะไรที่เหมาะสมจะบอกเธอในวันพรุ่งนี้ แล้วแม่จะไปหาตานหงด้วย”

จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้ารับ

คุณแม่ซูรวบรวมญาติ ๆ ของนางมาที่บ้าน สุดท้ายก็พบว่าคนนี้ก็ไม่ได้ คนนั้นก็ไม่ดี ในเมื่อญาติตัวเองใช้การไม่ได้ ก็เหลือแค่ต้องหาคนอื่นแล้ว แต่คนอื่นที่ว่าก็ยังไม่ใครที่เหมาะสม

นางก็เลยไปนั่งเล่นที่บ้านของซูอันปัง ซึ่งซูอันปังเองก็ไม่อยู่ เขาไปที่อ่างเก็บน้ำ มีเพียงภรรยาของเขาที่กำลังดูแลลูกสาวอยู่

“สวัสดีค่ะป้าห้า” พอเห็นคุณแม่ซู หลี่ไหลตี้ภรรยาของซูอันปังก็ยิ้มทักทาย

“ที่บ้านมีมะเขือเทศสุกกำลังดี หวานมาก ๆ เอาไปสักหน่อยสิ เปรี้ยว ๆ หวาน ๆ แบบนี้หลานสาวของฉันก็ชอบกิน” คุณแม่ซูเอ่ยยิ้ม ๆ

นางนำมะเขือเทศใส่ไว้ในตระกร้า 5-6 ลูก เหมาะสำหรับให้สาวน้อยที่ฟันเพิ่งขึ้นไว้กัดกินเล่นล้างปากนัก

หลี่ไหลตี้รินน้ำใส่แก้ว “คุณป้าดื่มน้ำหน่อยสิคะ”

“ไม่ต้องเกรงใจ นั่งลงคุยกันเถอะ” คุณแม่ซูเอ่ย

หลี่ไหลตี้นั่งลง แล้วคุณแม่ซูก็เอ่ยถามสารทุกข์สุกดิบ

หลี่ไหลตี้ยิ้ม “คุณป้าไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ฉันสบายดีค่ะ”

ตอนนี้ซูอันปังสามีหล่อนได้เงินเดือน 40 หยวนในทุกเดือนแล้ว บ้านของหล่อนไม่ได้มีที่ดินมากนักแค่หนึ่งหมู่นิด ๆ หล่อนจึงใช้ปลูกข้าวสาลีไปหนี่งหมู่ ส่วนที่เหลือก็ปลูกถั่วเอาไว้กินกันในบ้าน ส่วนหน้าบ้านและหลังบ้านก็ยังปลูกผักผลไม้ไว้กินเอง เลี้ยงไก่สองสามตัวเพื่อนำไข่มากิน เท่ากับว่าอาหารการกินทั้งสามมื้อไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรเลย

เมื่อราคาหมูยังไม่ขึ้น หล่อนจะซื้อเนื้อสัปดาห์ละครั้งสองครั้ง แต่ก็ไม่ได้ซื้ออะไรมากนักตั้งแต่ปีที่แล้ว เมื่อถึงสิ้นเดือนหล่อนก็ซื้อมาเพียงหนึ่งชั่ง ซูอันปังจึงพูดกับหล่อนอยู่บ่อยครั้งว่าให้ซื้อกลับมาหลาย ๆ ชั่งหน่อย

แต่หลี่ไหลตี้ก็ไม่ได้จริงจังกับเรื่องนี้เท่าใดนัก ตอนนี้ครอบครัวของพวกเขาดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะกินโจ๊กได้อิ่มท้อง

ทุกวันนี้ชีวิตดีขึ้น มีข้าวกินทุกมื้อ สามารถกินจนอิ่มท้อง แถมยังมีไข่ให้กินด้วย ยังมีอะไรที่ไม่น่าพอใจอีกเหรอ?

โดยเฉพาะเนื้อ นาน ๆ ทีไปซื้อมาชิมคำสองคำก็พอแล้ว

นอกจากนี้ยังเป็นเพราะหลี่ไหลตี้สามารถประหยัดเงินได้มาก ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วทุกเดือน ซูอันปังจะจ่ายเพียง 5 หรือ 6 หยวน ซึ่งถึงแม้จะเพียง 5 หรือ 6 หยวน หลี่ไหลตี้ก็รู้สึกฟุ่มเฟือยเกินไปอยู่ดี

แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่สามีของหล่อนชอบกินเนื้อ ทุก ๆ สิ้นเดือนหล่อนก็จะต้องไปซื้อเนื้อสักนิดสักหน่อยมาให้เขากิน

ส่วนอย่างอื่นยังเหลืออีกเพียบ

หลังจากที่หล่อนสะสมเงินมาเป็นเวลานาน เศรษฐกิจของครอบครัวหล่อนก็เปลี่ยนจากภาวะขาดทุนเป็นมีเงินออมเล็ก ๆ น้อย ๆ และหลี่ไหลตี้ก็พอใจมากในทุกวันนี้

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ถ้าตานหงว่าท้องนี้เป็นลูกสาว ผู้แปลก็จะรอดูลูกสาวนะคะ

มีภรรยาดีชีวิตก็ดีอย่างนี้แหละค่ะ ภรรยาคือผู้เป็นใหญ่ของบ้านจริง ๆ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

Status: Ongoing
คุณหนูซูผู้มีชีวิตอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ยึดหลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรมมาตั้งแต่ยังเล็ก ยังไม่ทันจะได้ออกเรือนนำเกียรติมาให้วงศ์ตระกูลกลับจับไข้สิ้นลมกลางสายฝนยามสารทฤดู และมาเกิดใหม่ในปี 1980 นางไม่คิดเลยว่าวิถีกุลสตรีในชาติที่แล้วของตนจะกลายเป็นคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมในยุคนี้ เนื่องจากเจ้าของร่างเดิม ซูตานหง ผู้กระทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการกินยาฆ่าแมลงตายคนนี้ นอกจากนามสกุลเดียวกันแล้วก็ไม่มีอะไรดีเหมือนนางเลยสักด้าน ถึงอย่างนั้นคุณหนูซูก็ไม่สนใจ นางคิดเพียงว่าจะใช้ทักษะที่มีอยู่มาสร้างเงินทอง ปลูกต้นไม้ดอกไม้มีค่า เย็บปักถักร้อยวาดภาพภูเขาสายน้ำอันงดงาม ใช้ชีวิตในชาตินี้ให้เรียบง่ายสุขสบายตามอัตภาพเท่านั้นและนี่ก็คือเรื่องราวของคุณหนูสูงศักดิ์จากยุคโบราณผู้มาเกิดใหม่ในร่างหญิงสาวยุค 80 เพื่อทำสวนทำไร่และให้กำเนิดบุตร นางจะเอาชีวิตรอดในยุคที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างไรบ้าง เอาใจช่วยคุณหนูซูไปพร้อมๆ กันได้ในเรื่องนี้เลย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท