ตอนที่ 288 เด็กดื้อไร้มโนธรรม
เส้นทางการเรียนรู้ของฉีฉีนั้นคือการใช้เงินเพื่อหลอกล่อ เขาเรียนรู้โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหาเงินและไม่ถูกคนอื่นหลอก
เนื่องจากเขามีเป้าหมายชัดเจนมาก จึงตั้งใจเรียนเป็นพิเศษ ขนาดคืนนี้จี้เจี้ยนอวิ๋นไปดูพวกเขาสองพี่น้องว่านอนห่มผ้าดีหรือไม่ ยังได้ยินเจ้าเด็กคนนี้ละเมอตะโกนหาเงิน 9 หยวนในความฝันของเขา!
จี้เจี้ยนอวิ๋นถึงกับหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เมื่อกลับมาจึงเล่าให้ภรรยาของเขาฟัง
“เขาอยู่ไม่สุขอย่างกับก้นถูกเข็มตำ เหรินเหรินไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากก็เรียนรู้ด้วยตัวเอง ส่วนเขาต้องใช้วิธีหลอกล่อ” ซูตานหงก็ทําอะไรไม่ถูกเช่นกัน
“ไม่ต้องกังวลเรื่องเขาหรอกครับ ตอนนี้ยังเด็กอยู่เลย” เห็นได้ชัดว่าจี้เจี้ยนอวิ๋นเป็นผู้ชายไร้หลักการ ไม่สามารถคาดหวังได้
ซูตานหงถลึงตาใส่เขาอย่างอารมณ์เสีย เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะเข้ามานัวเนีย เธอก็เอนตัวไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้ม รอให้จี้เจี้ยนอวิ๋นกลืนกินเธอ
“วันนี้ฉันมีรอบเดือนค่ะ เสียใจด้วย” ซูตานหงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
จี้เจี้ยนอวิ๋นนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงดึงมือภรรยาของเขาลงไปยังเบื้องล่าง
ค่ำคืนนี้มือของซูตานหงจึงถูกใช้งานจนเมื่อยล้าและอ่อนแรงเป็นอย่างมาก
แต่ช่วยไม่ได้ ในเมื่อจุดไฟนี้ขึ้นมาเอง ก็ต้องดับมันด้วยน้ำตาของเธอ
กว่าฉีฉีจะเรียนรู้การนับถึง 70 และไม่นับผิดอีก ก็ล่วงเลยเข้าสู่สิ้นเดือนกันยายน ช่วงเวลานี้เป็นช่วงชิวเหลาหู่*ในฤดูใบไม้ร่วง อากาศจึงร้อนอบอ้าวมาก
*ชิวเหลาหู่ = เป็นช่วงเปลี่ยนฤดูกาลสิ้นสุดฤดูร้อน อากาศที่ควรจะเย็นลงแต่บางวันกลับระอุขึ้นมา
ซูตานหงทนไม่ไหว จึงขอให้จี้เจี้ยนอวิ๋นซื้อพัดลมไฟฟ้ามา 1 เครื่อง
อีกทั้งยังให้เขาไปทำน้ำแข็งมาไม่น้อย ก่อนนอนก็วางไว้ตรงหน้าพัดลมไฟฟ้า เมื่อเป่าแบบนี้แล้วอากาศก็เย็นขึ้นมาก ไม่อย่างนั้นคงนอนไม่หลับ เนื่องจากเหนียวตัวและร้อนเกินไปหลังจากอาบน้ำ
จี้เจี้ยนอวิ๋นก็ตามใจภรรยาของเขาเช่นกัน และพอใจที่เห็นเธอเป็นเช่นนี้ ดังนั้นจึงทำความสะอาดช่องแช่แข็งของตู้เย็นเป็นพิเศษ และบรรจุน้ำ 2 ถึง 3 ถุง ใส่เข้าไปในตอนเช้า ถึงตอนเที่ยงมันก็แข็งตัว สามารถใช้เป่าระหว่างวันขณะงีบหลับตอนบ่ายได้ และยังใช้ในตอนกลางคืนได้อีก
ด้วยวิธีการนี้ ทำให้ซูตานหงพึงพอใจเป็นอย่างมาก แต่ค่าไฟฟ้ากลับเพิ่มขึ้นไม่น้อย ค่าไฟฟ้าของครอบครัวอื่นมีเพียงเดือนละ 2 หยวนเท่านั้น ทว่าค่าไฟฟ้าของครอบครัวเธออยู่ที่ 20 ถึง 30 หยวนต่อเดือน
แต่แล้วอย่างไรล่ะ ก็เพื่อความสะดวกสบายไม่ใช่เหรอ?
อากาศฤดูใบไม้ร่วงแห้งเกินไป ซูตานหงจึงมักจะคั้นน้ำสาลี่ให้พวกเขาพ่อลูกดื่ม ส่วนเธอยังต้องให้นมเสียงเสียง และน้ำสาลี่นั้นมีฤทธิ์เย็น เธอจึงงดดื่มมัน
เธอยังต้มอาหารบำรุงอื่น ๆ ให้พวกเขาเช่นกัน ไม่อย่างนั้นด้วยอากาศที่แห้งและอับเกินไปจะทำให้ไม่สบายตัวและเป็นลมแดดได้ง่าย
คุณพ่อกับคุณแม่จี้ที่อยู่บนภูเขามักจะส่งไข่มาให้บ่อยครั้ง ปีนี้มีงานหลายอย่างมาก ฟาร์มไก่ขนาดใหญ่ในสวนผลไม้แห่งที่ 3 ก็เป็นรูปเป็นร่างแล้ว ไม่กี่เดือนที่ผ่านมามีไข่เป็นจำนวนมาก ปัจจุบันนี้แหล่งผลิตไข่ไก่หลักก็มาจากบนนั้น
พ่อของไหลตี้เป็นคนที่มีความสามารถในการทำงานและดูแลเอาใจใส่ทุกวัน ทั้งยังมีไช่จ่านกั๋วและจี้กวงซง ตอนนี้ทั้ง 3 คนมีหน้าที่รับผิดชอบฟาร์มไก่จนแทบไม่มีเวลาว่าง ต้องทําความสะอาดฟาร์มไก่ทุกวัน ให้อาหารไก่ ไข่ไก่ก็ต้องเก็บทุกวัน จากนั้นจึงนำใส่ตะกร้า มีเรื่องต้องทำมากมาย
ฟาร์มไก่แห่งนี้ต้องเปลี่ยนสถานที่ทุกครั้ง ไก่จะถูกต้อนไปยังฟาร์มด้านข้างเพื่อเลี้ยง เนื่องจากจี้เจี้ยนอวิ๋นได้วางแผนเอาไว้ก่อนแล้ว โดยเปลี่ยนรูปแบบการเลี้ยงสักช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อไม่ให้กรงเล็บของไก่ขุดคุ้ยหน้าดินบริเวณนั้นจนหมด
เมื่อย้ายไก่ออกไป จี้เจี้ยนอวิ๋นจะโรยเมล็ดหญ้าลงไป พวกมันจะเติบโตอย่างรวดเร็ว ภายใน 1 ถึง 2 เดือน มันจะเติบโตงอกงาม
ซูตานหงมักจะรดน้ำพุวิเศษลงไปเป็นครั้งคราว ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นต้นหญ้าหรือไก่ ต่างก็เติบโตเป็นอย่างดี และเนื่องจากได้รับอาหารที่ดีจากการที่จี้เจี้ยนอวิ๋นมักจะตักปลามาผสมกับธัญพืชเป็นระยะ ๆ บรรดาไก่จึงออกไข่อย่างรวดเร็วเป็นพิเศษ
ปีนี้ความต้องการไข่ภายใต้ชื่อของครอบครัวเขาเพิ่มมาหลายร้าน ร้านในเมืองของซูจิ้นตั๋งและร้านในตัวอำเภอของเหล่าฉินเองก็เช่นกัน
กล่าวได้ว่าเป็นเพราะมีฟาร์มไก่ขนาดใหญ่แห่งนี้แท้ ๆ มิฉะนั้นคงมีไข่ไม่พอขาย แต่ตอนนี้มีไข่เพียงพอสำหรับขายแล้ว
“พ่อทำอะไรอยู่เหรอครับ?” วันนี้ฉีฉีออกไปวิ่งเล่นข้างนอกจนได้เหงื่อจึงกลับมาดื่มน้ำ พลันเห็นพ่อของเขาถือสมุดจดกำลังขีดเขียนอยู่ในลานบ้าน
“คิดบัญชีอยู่น่ะ” จี้เจี้ยนอวิ๋นพูดโดยไม่เงยหน้า
“ผมจะคำนวณบ้าง!” ฉีฉีกล่าวทันที
“ไปดื่มน้ำ” จี้เจี้ยนอวิ๋นเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเหงื่อบนใบหน้าของลูกชาย ทั้งยังหน้าแดงระเรื่อ จึงพูดขึ้น
ฉีฉีวิ่งเข้าไปดื่มน้ำ เมื่อออกมายังมีขนมอบ 1 ชิ้นอยู่ในมือ ซึ่งแม่ของเขาเป็นคนทำ และเขาเองก็รู้สึกหิวเล็กน้อย
“ลูกไปเล่นที่ไหนมา?” จี้เจี้ยนอวิ๋นถาม
“ไปขุดรังนกกันมาครับ” ฉีฉีกล่าว “แต่ผมทำไม่เป็นก็เลยไปวิ่งจับตั๊กแตน”
“อืม” จี้เจี้ยนอวิ๋นรับคำและคำนวณบัญชีต่อไป
เขากำลังสรุปบัญชีของไตรมาสนี้ ปีนี้ธุรกิจดีขึ้นกว่าปีก่อน ๆ แม้ว่ารายจ่ายจะเพิ่มขึ้นด้วย แต่ก็ไม่สามารถต้านทานปริมาณสินค้าจํานวนมากที่ออกจากภูเขาได้ เมื่อเทียบกับสินค้าที่ส่งออกไปแล้ว ค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้นไม่คุ้มค่าที่จะพูดถึงเลย
เมื่อสรุปชุดข้อมูลเสร็จแล้ว จี้เจี้ยนอวิ๋นก็เผยรอยยิ้มพึงพอใจบนใบหน้าออกมา
ฉีฉีเห็นพ่อของเขาเป็นแบบนี้ จึงถามขึ้น “พ่อครับ ครอบครัวเราหาเงินได้เท่าไหร่? มันพอจ่ายค่าทีวีไหมครับ?”
“ยังเหลืออีกนิดหนึ่ง พ่อจะพยายามซื้อให้ลูกในปลายปีนี้นะ!” จี้เจี้ยนอวิ๋นละทิ้งความพึงพอใจและหันไปพูดกับลูกชายของเขา
“ได้ครับ” ฉีฉีมองพ่อของเขาและรู้สึกว่าพ่อของเขานั้นลำบากมาก
ไม่เพียงแค่ต้องเลี้ยงดูแม่เขาเท่านั้น แต่ยังต้องเลี้ยงดูพี่ชายและน้องชายของเขาด้วย แม้แต่ตัวเขาเองก็ต้องให้พ่อเลี้ยงดูเช่นกัน
“ยังอยากออกไปเล่นอีกไหม?” จี้เจี้ยนอวิ๋นถามเขา
“ไม่ไปแล้วครับ พ่อจะไปไหน?” ฉีฉีถามเขากลับ
“ไปดูบนภูเขา” จี้เจี้ยนอวิ๋นกล่าว
“ผมจะไปกับพ่อ!” ฉีฉีพูด
“งั้นไปกันเถอะ” จี้เจี้ยนอวิ๋นหยิบสมุดกลับไปวางไว้แล้วพาเขาขึ้นไปบนภูเขา
ส่วนซูตานหงตอนนี้อยู่ในเมือง พาเหรินเหรินกับเสียงเสียงไปหาสะใภ้รองซู
ตอนนี้เป็นเวลาประมาณ 4 โมงเย็น คนจึงยังไม่เยอะนัก ต้องเป็นตอน 4 โมงครึ่งถึงจะเริ่มทำงาน
สองพี่สะใภ้และน้องสามีพูดคุยกันเรื่องโรงเรียนประถม เนื่องจากช่วงนี้ในปีหน้า เหรินเหรินจะมีอายุ 7 ขวบ ถึงเวลาเข้าโรงเรียนประถมแล้ว
สือโถวเองก็เช่นกัน เขาเด็กกว่าเหรินเหรินเล็กน้อย จึงวางแผนจะให้ตามเหรินเหรินไปด้วยกัน
ซึ่งทั้งสองพี่น้องต่างก็สนิทสนมกันดี
“ให้เรียนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 อยู่ที่นี่เถอะค่ะ รอเข้ามัธยมต้นแล้ว ค่อยมาดูกันว่าจะสอบได้คะแนนเท่าไหร่” ซูตานหงพูด
“เหรินเหรินเด็กคนนี้ต้องสอบได้คะแนนดีแน่ ๆ จ้ะ ต่อให้เรียนจบชั้นประถมก็อายุแค่ 13 ปีเท่านั้น ยังเด็กอยู่เลย” สะใภ้รองซูกล่าว
“อายุ 13 ไม่เด็กแล้วนะคะ” ซูตานหงยิ้ม ต้องรู้ว่าในชีวิตชาติที่แล้วของเธอ เด็กชายอายุ 13 นับว่าเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง คนส่วนใหญ่แต่งงานตอนอายุ 16 ปี ดังนั้นอายุ 13 จึงถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว
“ยังเด็กเกินไปที่จะเข้าโรงเรียนมัธยมอยู่ดีล่ะจ้ะ” สะใภ้รองซูกล่าว
ซูตานหงจึงพูดขึ้น “เด็กผู้ชายน่ะปล่อยให้เป็นอิสระดีกว่าค่ะ พี่เองก็อย่ายึดติดกับสือโถวเกินไป ปล่อยให้เขาไปอยู่กับฉันสัก 2 ถึง 3 วันดีไหมคะ?”
สะใภ้รองซูมองไปยังสือโถวที่กำลังทำสีหน้าคาดหวัง
สะใภ้รองซูจึงยิ้มพลางดุ “เจ้าเด็กดื้อไร้มโนธรรม เอาล่ะ ๆ อยากไปก็ไปเถอะ!”
“เย้!” สือโถวมีความสุขมาก
เหรินเหรินก็มีความสุขมากเช่นกัน ส่วนสือโถวรีบพูดกับหยางต้าหยาทันที “พี่สาวต้าหยา ช่วยผมเก็บเสื้อผ้าหน่อยครับ”
“ได้สิจ๊ะ” หยางต้าหยายิ้มแล้วเดินเข้าไปเก็บเสื้อผ้า
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
สงสารตานหง พี่จี้ไม่เคยแผ่วเลย เมื่อยมือหมดแล้วมั้งคะนั่น
เจ้าฉีฉีเริ่มรับรู้ความเหนื่อยยากลำบากของพ่อแล้วสินะคะ
ไหหม่า(海馬)