ตอนที่ 295 เก็บข้าวของแล้วไสหัวไปซะ!
จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่อาจรับปากได้
ลุงเกามีท่าทางผิดหวังเมื่อเห็นว่าเขาไม่อาจรับปากได้ “ทำไมเธอไม่ทำล่ะ? ปีก่อนเธอขายดิบขายดี และหลาน ๆ ของฉันก็แย่งกันกินใหญ่เลย พวกเขาเพิ่งบอกฉันไม่กี่วันก่อน บอกว่าอย่าลืมซื้อหมูแดดเดียวมาด้วย”
จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “อย่างนั้นผมจะไปถามภรรยาให้นะครับ ดูว่าหล่อนจะทำได้หรือเปล่า ทั้งหมดเป็นฝีมือหล่อนน่ะครับ”
“ได้สิ เธอลองไปถามดูนะ ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ใช้โอกาสนี้หาเงินนี่ ใช่ไหม?” ลุงเกาเอ่ย
“ภรรยาผมไม่ค่อยสนใจเรื่องเงินนักหรอกครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก
หลังเขากลับมา เขาได้พูดเรื่องนี้กับซูตานหง ซูตานหงยิ้มและกล่าว “ในเมื่อขายดี งั้นก็ซื้อมาทำสักหน่อยสิคะ”
หมูแดดเดียวที่ทำเมื่อปีก่อนขายดีไม่น้อย แม้จะไม่ใช่เงินจำนวนมาก แต่ก็ได้หลายสิบหยวน
เนื่องจากเธอไม่ได้นำไปขายเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่ถูกนำไปให้คนอื่น และเธอยังเก็บไว้กินเองอีกมาก
หากแต่ช่วงนี้ไม่เหมาะกับการทำหมูแดดเดียว หลังผ่านวันเสี่ยวเสวี่ย*ไป ซูตานหงจึงเริ่มหมักเนื้อหมูกับหวังหงฮวาและหลี่อวี้ซุ่ย
*ช่วงหิมะตกเล็กน้อยตามปฏิทินสุริยคติจีน ตรงกับช่วงวันที่ 22-23 พฤศจิกายน
หมูแดดเดียวฝีมือเธอมีรสชาติอร่อยและนุ่มลิ้น ปกติหลังจากทำเสร็จ เธอจะแบ่งเป็นชิ้น ๆ ให้ครอบครัวพวกหล่อนทั้งสองไปแขวนไว้กินที่บ้าน
ปีนี้เป็นเหมือนกับปีก่อน เพียงแค่เพิ่มในส่วนที่จะนำไปขายที่ร้านค้า แต่เธอไม่ได้ตั้งใจจะขายเป็นสินค้าหลัก แค่เป็นสินค้าเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มยอดขาย
ทั้งหมดเป็นเนื้อหมูที่ซื้อมาจากเจ้าอื่น พวกมันมีคุณภาพดี ส่วนหมูในส่วนของตนนั้น ซูตานหงยังไม่มีแผนนำมาใช้ เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาเชือดจนกว่าจะถึงวันที่ 20
เมื่อถึงวันที่ 20 หมูแดดเดียวก็ถูกหมักเป็นที่เรียบร้อย
แม้จะเป็นงานที่วุ่นวาย แต่กลับทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวา
บรรดาหมูแดดเดียวถูกแขวนเรียงไว้ที่ด้านหลังบ้าน
เหรินเหรินกับฉีฉีเคยกินมาก่อน พวกเขาจึงอยากกินอีก หมูแดดเดียวตรงหน้านั้นช่างน่าอร่อย หลังผ่านไปไม่กี่วันหมูจะส่งกลิ่นหอม พวกเขายังจำได้ดีมาถึงทุกวันนี้!
ฉีฉีเริ่มเห็นใจน้องชาย เพราะตอนนี้น้องชายกินได้เพียงนมแม่ แน่นอนว่าแม่ของเขาป้อนอาหารอื่นด้วย แต่ก็เป็นอาหารจืดชืด เขาลองกินไปครั้งหนึ่งและไม่ชอบแม้แต่น้อย
“แอ๊” ตอนนี้เสียงเสียงอายุได้ 6 เดือน เจ้าตัวน้อยโตวันโตคืนและลุกนั่งได้เองแล้ว ผิวพรรณของเขาช่างขาวผ่องและนุ่มนิ่ม ยามที่นั่งอยู่เฉย ๆ ดูน่ารักอย่างถึงที่สุด
ซูตานหงเอานมให้เขา และปล่อยให้ถือขวดดื่มเอง
ฉีฉีชะโงกหน้ามาหา “น้องชาย ขอพี่ดื่มด้วยหน่อยได้ไหม?”
เสียงเสียงมองหน้าเขาและดูดนมต่อ เขาสงบนิ่งและไม่นึกสนใจพี่ชาย
“น้องโตแล้ว เขาต้องหวงของกินแน่” ฉีฉีบอก
“ไม่ใช่แค่น้องสาม นายเองก็เป็นเหมือนกัน” เหรินเหรินเอ่ย
“ผมไม่ได้เป็นแบบนั้นสักหน่อย ผมแบ่งของให้พี่ตั้งครึ่ง!” ฉีฉีเถียงกลับทันที
ขนาดพลับแห้งที่กินวันนี้ เขายังแบ่งให้พี่ชายตั้งครึ่งหนึ่ง
“ตอนนี้นายรู้เรื่องแล้วต่างหาก ตอนที่ยังไม่รู้ความก่อนหน้านี้ พี่กัดขนมของนายไปแค่คำเดียว นายยังเอาของพี่ไปซะเยอะเลย” เหรินเหรินท้วง
ฉีฉียิ้มเยาะ “ใครบอกให้มากินขนมของผมล่ะ พี่ก็ต้องแบ่งให้น้องกินสิ ถ้าไม่ให้ผมก็คงไม่กินของพี่หรอก”
“พี่จะขึ้นไปดูหมูที่สวน จะไปด้วยกันไหม?” เหรินเหรินถาม
“ไปสิ!” ฉีฉีขานรับ
พ่อของเขาบอกเอาไว้ ว่าถ้าขายหมูได้ เขาจะซื้อโทรทัศน์ให้ พวกเขาจะได้มีไว้ดูกัน
สองพี่น้องออกไปข้างนอก ซูตานหงไม่ได้สนใจมากนัก ขอเพียงพวกเขาไม่ป่วยกลับมาเป็นพอ จึงทำเพียงกำชับ “อย่าลืมกลับลงมากินข้าวเร็ว ๆ นะ ไม่อย่างนั้นมันจะหายร้อนแล้วเย็นชืดหมด”
“ครับผม” ทั้งสองออกไปด้วยกันหลังรับคำเสร็จ
อวิ๋นลี่ลี่กับจี้เจี้ยนเหวินกลับมาพร้อมกับเยียนเอ๋อร์ โดยมีจี้อวิ๋นอวิ๋นติดตามมาด้วย ชาวบ้านหลายคนต่างเห็นจี้อวิ๋นอวิ๋นอยู่ในชุดเสื้อผ้าล้ำสมัย ทั้งกางเกงขากระดิ่งและทรงผมทรงใหม่ ใบหน้าของหล่อนถูกตบแต่งด้วยเครื่องสำอางบาง ๆ ส่งให้หล่อนดูสง่างามขึ้นมาก
หากแต่มีชาวบ้านคนไหนไม่รู้บ้างว่าจี้อวิ๋นอวิ๋นคบชู้? หล่อนยังกล้าแบกหน้ากลับมาได้อีกเหรอ?
พวกเขาแค่เห็นแก่หน้าจี้เจี้ยนอวิ๋นรวมถึงคุณพ่อและคุณแม่จี้เท่านั้น จึงไม่ได้แสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง ทำเพียงทักทายจี้เจี้ยนเหวินกับอวิ๋นลี่ลี่ โดยมองข้ามจี้อวิ๋นอวิ๋นไป
จี้อวิ๋นอวิ๋นไม่ได้สนใจพวกเขา ตอนนี้หล่อนเป็นคนใหม่แล้ว และมีหลายสิ่งที่จะต้องจัดการ ไม่มีประโยชน์ที่จะสนใจบรรดาแม่ ๆ ป้า ๆ เหล่านี้!
เมื่อกลับถึงบ้าน เยียนเอ๋อร์รีบหยิบคุ้กกี้ 2 กล่องที่เธอซื้อกลับมา และบอก “หนูจะไปหาน้องนะคะ!”
“จำทางได้เหรอ?” อวิ๋นลี่ลี่ถามขึ้น
“จำได้ค่ะ!” เยียนเอ๋อร์วิ่งออกไปหลังว่าจบ
อวิ๋นลี่ลี่และคนอื่น ๆ ทำความสะอาดบ้าน เพราะว่าไม่มีคนอยู่ที่บ้านหลังนี้มานานแล้ว จึงต้องปัดกวาดเช็ดถูกันเสียก่อน
“พี่สะใภ้สี่คะ ฉันจะขึ้นไปหาพ่อแม่ที่สวนนะคะ” จี้อวิ๋นอวิ๋นบอก
“ตอนนี้เลยเหรอ?” อวิ๋นลี่ลี่มุ่นคิ้วน้อย ๆ
“ค่ะ ไปตอนนี้เลย ฉันจะไปยอมรับผิดกับคุณพ่อคุณแม่” จี้อวิ๋นอวิ๋นเม้มริมฝีปากแน่น
“เจี้ยนเหวิน พาอวิ๋นอวิ๋นขึ้นไปหน่อยสิ” อวิ๋นลี่ลี่กล่าวพร้อมถอนหายใจ
จี้เจี้ยนเหวินบอก “พี่จะขึ้นไปบอกพ่อแม่ก่อน เธออยู่ช่วยพี่สะใภ้สี่ทำงานบ้านก่อนเถอะ”
เรื่องการหย่าของน้องสาวของเขา พ่อแม่ยังไม่รู้เรื่องนี้ แน่นอนว่าคงต้องใช้เวลาเสียหน่อย หากอยู่ ๆ หล่อนโผล่หน้าไปให้ทั้งสองเห็น คงไม่มีใครต้อนรับหรือให้อภัยหล่อน
ทุกคนต่างรู้ดี ว่าเมื่อปีก่อนแม่ของเขาโมโหเสียจนต้องนอนโรงพยาบาลไปหลายวัน!
จี้เจี้ยนเหวินขึ้นไปที่สวน ซูตานหงเห็นว่าเยียนเอ๋อร์มาหา เพียงเท่านั้นก็รู้ว่าอวิ๋นลี่ลี่กับจี้เจี้ยนเหวินกลับมาแล้ว
“คืนนี้เรียกพ่อแม่หนูมาสิ มากินข้าวเย็นที่บ้านของคุณนายสามด้วยกันดีไหม?” ซูตานหงบอกพร้อมรอยยิ้ม
“อาของหนูกลับมาด้วยค่ะ หนูเกรงว่าตัวเองคงกินไม่ลง” เยียนเอ๋อร์ขมวดคิ้ว
“อาของหนูกลับมาเหรอ?” ซูตานหงเลิกคิ้ว
“ค่ะ หล่อนมาอยู่ที่บ้านหนูนานแล้ว” เยียนเอ๋อร์มุ่ยหน้า เธอไม่ชอบอาคนนี้แม้แต่น้อย ไม่มีทางชอบได้ลงเลย
“นี่เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ หนูไม่ต้องสนใจหรอกนะ มาดูน้องชายของหนูสิ” ซูตานหงรู้อยู่แก่ใจ เพียงแต่ไม่อาจพูดกับเยียนเอ๋อร์ไปมากกว่านี้ได้ ทำเพียงบอกเช่นนั้นไป
“น้องสามเหมือนน้องรองเลยค่ะ” เยียนเอ๋อร์ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นอีก เธอมองหน้าเสียงเสียงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “แล้วเหรินเหรินกับฉีฉีล่ะคะ? ทำไมไม่อยู่ล่ะคะ?”
“พวกเขาขึ้นไปดูหมูที่สวนน่ะ เดี๋ยวก็ลงมาแล้วล่ะ รอเจอพวกเขาที่บ้านก็ได้นะ อยากกินลูกพลับแห้งไหมจ๊ะ” ซูตานหงเอ่ย
“ค่ะ!” เยียนเอ๋อร์ขานรับ
เยียนเอ๋อร์นั่งรอที่ลานบ้าน จนกระทั่งเหรินเหรินกับฉีฉีกลับมา พี่น้องต่างรักใคร่กันดี เธอนำคุ้กกี้มาฝากสองพี่น้อง เป็นของที่อร่อยมาก!
เหรินเหรินกับฉีฉีต่างถูกใจ และขอบคุณเธอยกใหญ่
บรรยากาศกลางลานบ้านครึกครื้น ผิดกับสถานการณ์ที่สวน
คุณพ่อกับคุณแม่จี้มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก พวกเขาไม่น่ามีลูกสาวแบบนี้เลย!
“หล่อนมาทางไหนก็ให้กลับไปทางนั้นเถอะ พ่อแม่อย่างเราป่าวประกาศไปนานแล้วว่าเราไม่มีลูกสาวแบบจี้อวิ๋นอวิ๋นอีก ให้หล่อนเก็บข้าวของแล้วไสหัวไปซะ!” คุณพ่อจี้กล่าวด้วยสีหน้าบึ้งตึง
คุณแม่จี้เงียบสนิทเช่นกัน สำหรับลูกสาวคนนี้ นางนึกปลงเสียแล้ว แล้วจะต้องสนใจสิ่งใดอีกกัน?
“ผมว่าอวิ๋นอวิ๋นคงสำนึกผิดแล้วล่ะครับ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่พาหล่อนกลับมาด้วย หล่อนอยากจะขึ้นมาที่สวน และขอขมาพ่อกับแม่ด้วยนะครับ” จี้เจี้ยนเหวินคิดไว้แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ จึงได้แต่จนใจ