ตอนที่ 21 หญ้าร้องไห้
ตำรวจวิ่งวุ่นพานางไปหาพ่อ ตอนนั้นพ่อกำลังจูงมือคุณน้าแปลกหน้าคนหนึ่ง พ่อทำเป็นไม่รู้จักนางต่อหน้าคุณน้าคนนั้น บอกเพียงว่าเขาไม่มีลูก
ตอนนั้นนางอายุสี่ขวบ
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นางก็ไปอาศัยอยู่ในบ้านเด็กกำพร้า และไม่เคยบอกใครว่าแท้จริงแล้วนางมีพ่อและแม่
ตรงหน้าของจ้าวหลานไม่ใช่บุตรสาวที่ตนเองให้กำเนิดแท้ๆ แต่ก็กลับรักนางด้วยทุกอย่างที่ตนมี ปกป้องนาง นี่เป็นความรักตามสัญชาตญาณที่สุดที่แม่คนหนึ่งจะมอบให้ลูก และเป็นความรู้สึกของการเสียสละอย่างถึงที่สุดเช่นกัน
นั่นเป็นสิ่งที่นางอยากได้มาโดยตลอด แต่กลับไม่เคยได้รับเลย
ก่อนหน้านี้นางคิดอยู่ตลอดว่าสวรรค์ไม่เป็นธรรม ทุกคนล้วนมีพ่อแม่คอยรักใคร่ มีเพียงนางคนเดียวที่ไม่มี
ดูจากในตอนนี้แล้ว ความจริงสวรรค์ช่างยุติธรรมนัก ความรักที่นางไม่เคยได้รับในศตวรรษที่ยี่สิบสาม นางกลับได้รับมันที่นี่อย่างแท้จริง
นางหวงแหนความรักที่ได้มาอย่างยากลำบากแน่นอน และจะปกป้องมารดาผู้นี้อย่างดี
หมอลู่ทายารักษาแผลภายนอกบนร่างกายของไป๋จื่อเล็กน้อย และทิ้งยาที่เขาทำขึ้นมาเองขวดหนึ่งเอาไว้ด้วย “หลังจากนี้เจ้าก็ทายาเอง จำไว้ว่าอย่าให้แผลโดนน้ำ ไม่เช่นนั้นแผลจะหายยาก ทั้งยังเป็นหนองได้ ถึงตอนนั้นก็ยุ่งยากแล้ว”
ไป๋จื่อรับยามาดมเล็กน้อย ยิ้มพลางกล่าว “ท่านหมอลู่ผสมยานี้เองหรือเจ้าคะ”
เขาพยักหน้า “ใช่แล้ว นี่เป็นวิธีที่สืบทอดในสกุลลู่ของพวกข้า ได้ผลชะงัดนัก เจ้าลองดูก็จะรู้”
เด็กสาวพยักหน้า “ยานี้ไม่เลวจริงๆ ทว่าหากเพิ่มหญ้าร้องไห้อีกสักสามกำ ประสิทธิภาพของยากจะดียิ่งขึ้น ครั้งหน้าท่านลองดูก็ได้นะเจ้าคะ”
สีหน้าของหมอลู่เปลี่ยนไปเล็กน้อย สมองปรากฏสูตรยาขึ้นมา เขานับว่าคุ้นเคยกับหญ้าร้องไห้ ใช้ห้ามเลือดบาดแผลภายนอกได้ดียิ่งนัก อีกทั้งผู้ป่วยที่เคยใช้หญ้าร้องไห้รักษาแผล ก็จะเกิดหนองที่บาดแผลน้อยยิ่งนัก ได้ผลเร็วยิ่งกว่ายาทั่วไปเล็กน้อย เหตุใดเขาไม่เคยคิดถึงมันมาก่อนเลย
“ทว่านี่เป็นสูตรยาที่สืบทอดกันในสกุลลู่ของข้า หากแก้ไขสูตรเช่นนี้ จะใช้ได้จริงๆ หรือ” ท่านหมอลู่ลังเลเล็กน้อย
ไป๋จื่อยิ้มจาง “ตำรายาเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น คนโบราณตั้งกฎเกณฑ์ ไม่ใช่เพื่อให้คนรุ่นหลังใช้ชีวิตอยู่ในกฎเกณฑ์นั้นไปตลอดกาล แต่หวังว่าคนรุ่นหลังจะทั้งอยู่ในกฎเกณฑ์นั้น และหาแนวทางใหม่ไปด้วย ลองแหกกฎเสียบ้าง สร้างกฎใหม่ที่เหมาะกับคนยุคนั้น เช่นเดียวกัน สูตรยาที่สืบทอดมาแต่โบราณ ไม่ได้ใช้กักขังคนรุ่นหลังให้อยู่ในกรอบ คนโบราณทิ้งสูตรไว้เพื่อช่วยให้คนรุ่นหลังออกนอกลู่นอกทางน้อยลง แต่ไม่ใช่ให้คนตามรอยโดยไม่เปลี่ยนแปลงไปตลอด”
“ตอนที่บรรพบุรุษของท่านคิดสูตรยานี้ ก็อาจจะไม่รู้จักสรรพคุณของหญ้าร้องไห้ ถึงไม่ได้ใส่มันเข้าไปในสูตรยา วันนี้ในเมื่อท่านรู้สรรพคุณของมันแล้ว ผสมมันเข้าไปในสูตรยา ก็เป็นเรื่องที่เหมาะสมไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
หมอลู่กระจ่างแจ้งในทันใด ความลังเลก่อนหน้านี้หายไปในพริบตา “เจ้าพูดถูก กฎมีไว้แหก สูตรยาโบราณมีไว้เพื่อก้าวข้าม ข้าเข้าใจแล้ว” สีหน้าของเขาดูตื่นเต้นยิ่งขึ้น วันนี้สนทนากับไป๋จื่อสั้นๆ กลับทำให้เขาก้ามข้ามสูตรยาโบราณที่ตนศึกษามาสิบปี
“ไป๋จื่อเอ๋ย คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเจ้าจะรู้จักสมุนไพรอย่างหญ้าร้องไห้ด้วย ถึงแม้เป็นเจ้าของร้านยาบางร้านในเมือง ก็ยังไม่เคยเห็นหญ้าร้องไห้เลย แม้มันจะราคาไม่แพง แต่กลับเป็นสมุนไพรที่ค่อนข้างหายาก ร้านยามากมายไม่มีโดยสิ้นเชิง ข้าเองก็บังเอิญเคยเห็นมาบ้าง มันมีสรรพคุณรักษาบาดแผลภายนอกที่ดีมากจริงๆ”
ไป๋จื่อยิ้ม พลางกล่าวว่า “ข้าเองก็บังเอิญรู้มาเช่นกัน ท่านหมอลู่ หากข้าหาหญ้าร้องไห้มาได้ ท่านจะช่วยแลกเป็นเงินให้ข้าได้หรือไม่”
……….
ตอนที่ 22 หาทางเอาตัวรอด
หมอลู่พยักหน้าในทันที “ย่อมได้ หญ้าร้องไห้เป็นสิ่งที่พบเห็นได้น้อยกว่าสมุนไพรรักษาบาดแผลอื่นนัก สรรพคุณก็ดีเช่นนี้ หากหาหญ้าร้องไห้มาได้จริงๆ ต้องขายได้ราคาดีเป็นแน่ ข้าช่วยเจ้าได้ เพียงแต่สภาพของเจ้าในตอนนี้…”
ไป๋จื่อโบกมือ “ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ แค่บาดแผลภายนอกเท่านั้น เด็กในป่าเขาเช่นข้า ไหนเลยจะมีเงินทองของมีค่า พวกข้าสองแม่ลูกอยู่ในสกุลไป๋อีกไม่นานแน่ ก็ควรจะหาทางเอาตัวรอดบ้าง”
สายตาที่หมอลู่มองไป๋จื่อเต็มไปด้วยความชื่นชม ไป๋จื่ออายุยังน้อยก็รู้เรื่องราวถึงเพียงนี้แล้ว หากบุตรของตนฉลาดได้ครึ่งหนึ่งของนาง เขาก็คงไม่ต้องกลัดกลุ้มแล้ว
ฟ้ามืดใกล้มืดแล้ว หมอลู่ก็ไม่ได้รั้งอยู่นาน เขาถือโอกาสจากไปตอนที่ฟ้ายังสว่าง คนที่พบเห็นจะได้ไม่นำไปนินทาลับหลัง
ครั้นเห็นไป๋จื่อปิดประตูแล้ว จ้าวหลานก็ดึงนางนั่งลง ถามว่า “จื่อเอ๋อร์ หญ้าอะไรนั่นเมื่อครู่นี้ เจ้าไม่ได้พูดมั่วใช่หรือไม่ นี่อาจะเป็นสมุนไพรที่รักษาอาการป่วยหรือช่วยชีวิต ไม่อาจพูดมั่วได้”
ไป๋จื่อกล่าวด้วยความยินดี “ท่านแม่ ท่านว่าข้าเหมือนคนพูดมั่วหรือเจ้าคะ อีกอย่าง ท่านไม่ได้ยินคำพูดของท่านหมอลู่หรอกหรือ เขาก็รู้จักสรรพคุณของหญ้าร้องไห้เช่นกัน”
จ้าวหลานยิ่งกลัดกลุ้ม “เช่นนั้นเจ้ารู้ได้อย่างไร” บุตรสาวคล้ายกับเปลี่ยนไป ดูชอบพูดจามากกว่าเมื่อก่อน อีกทั้งสิ่งที่พูดออกมายังไม่คุ้นหูเช่นนี้ แม้กระทั่งเป็นสิ่งที่นางไม่เคยพูดมาก่อน
“ข้าได้ยินคนพูดกันตอนไปขุดผลไม้ป่าข้างนอก คิดไม่ถึงเลยว่าจะใช้ได้ เอาล่ะท่านแม่ รีบนอนเถิด เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”
ไป๋จื่อกล่อมจ้าวหลานให้ขึ้นเตียง ไม่นานผู้เป็นมารดาก็ลืมเรื่องนี้ไปโดยสิ้นเชิง บุตรสาวเปลี่ยนไป ทว่าเปลี่ยนไปในทางที่ดี นี่นับเป็นเรื่องดีนัก แค่นางดีใจก็เพียงพอแล้ว เหตุใดต้องคิดมากด้วย
…
เช้าวันต่อมา มารดาของอิงจื่อและอิงจื่อมาที่บ้านสกุลไป๋ ครั้นเห็นหญิงชรากำลังให้อาหารไก่อยู่ในลานบ้าน จึงถามขึ้นว่า “จ้าวหลานอยู่บ้านหรือไม่”
หญิงชรายืดเอวขึ้น พลางมองมารดาของอิงจื่อด้วยความสงสัยใคร่รู้ สตรีนางนี้มาหาจ้าวหลานอย่างนั้นหรือ ช่างแปลกเสียจริง
มารดาของอิงจื่อเป็นสตรีจากในเมือง เพราะอายุมากแล้วแต่ยังแต่งเข้าบ้านที่เหมาะสมไม่ได้ ถึงได้แต่งงานมาเป็นสะใภ้ในหมู่บ้านกลางเขา ตอนแต่งงานนั้น ที่บ้านของนางให้สินสอดไม่น้อย ทั้งยังจัดพิธีอย่างเอิกเกริก ไม่รู้มีคนตั้งกี่คนที่อิจฉา
และเพราะมาจากในเมือง นางจึงมีปฏิสัมพันธ์กับหญิงในหมู่บ้านน้อยมาก เวลามองผู้อื่น ก็มักจะทำท่าทางสูงส่ง และโดยเฉพาะกับจ้าวหลาน ที่มักจะถูกรังแกอยู่เสมอ
นางมาหาจ้าวหลานอย่างนั้นหรือ
“เจ้ามาหานางมีธุระอะไร” หญิงสูงวัยสกุลไป๋กวาดสายตามองอิงจื่อที่อยู่ข้างๆ มารดา ในมือของนางถือตะกร้าไม้ไผ่เล็กๆ ใบหนึ่ง บนนั้นมีผ้าลายดอกคลุมไว้อยู่ จึงมองไม่ออกว่าใส่สิ่งของใดเอาไว้
แม้จะมองไม่ออกว่าใส่สิ่งได้ไว้ แต่หญิงชราก็รู้ว่าในตะกร้านี้จะต้องใส่ของบางอย่างไว้แน่นอน
มารดาของอิงจื่ออาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้มานาน จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าหญิงชราสกุลไป๋เป็นคนเช่นไร ทั้งยังรู้ว่าจ้าวหลานและไป๋จื่อมีฐานะอย่างไรในบ้านนี้ หากให้อีกฝ่ายรู้ว่ามีสิ่งใดอยู่ในมือ คงไม่เหลือถึงมือของจ้าวหลานสองแม่ลูกแน่
นางยิ้มพลางกล่าวว่า “ไม่มีอะไร เพียงอยากถามนางเรื่อยเปื่อย” จากนั้นนางก็หันหน้าไปมองเรือนผุพังที่จ้าวหลานอาศัยอยู่ ตอนนี้มันพังทลายอย่างแท้จริงแล้ว ครั้นนึกได้ว่าเมื่อวานบ่ายมีพายุฝน สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป ก่อนจะรีบถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับเรือนหลังนี้หรือ จ้าวหลานกับไป๋จื่อไม่เป็นอะไรกระมัง”