ตอนที่ 27 ข้าป่วย
เขามองเห็นนางช่วยอิงจื่อให้กลับมามีชีวิตด้วยตาตนเอง จึงมั่นใจว่านางรู้วิชาหมอ
“ข้าจะไปเก็บสมุนไพร และข้าบอกกับท่านลุงหูไว้แล้ว”
หูเฟิงไม่ได้พูดอะไร เขามองนางอยู่สักพักหนึ่ง สายตานั้นราวกับจะมองคนจนทะลุ
“ข้าพาเจ้าไปที่ภูเขาลั่วอิงได้ และปกป้องเจ้าระหว่างที่อยู่ในภูเขาลั่วอิงได้ด้วย แต่ข้ามีเงื่อนไขข้อหนึ่ง”
ไป๋จื่ออยากต่อว่าเขา มารดาเจ้าสิ เพียงแค่ติดสอยห้อยตามเขาไปเท่านั้น ทั้งไม่ได้ขอให้เขาทำอะไร คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเสนอเงื่อนไขขึ้นมา เขายังมีความเมตตาอยู่หรือไม่
ครั้นเห็นไป๋จื่อไม่พูดจา หูเฟิงก็พูดออกมาตามตรง “ข้าป่วย”
ไป๋จื่อย่อมรู้ว่าเขาป่วย “ป่วยก็ไปรักษาสิ!”
หูเฟิงเบือนหน้าหนี ทอดสายตามองไกลออกไป “หมอทั่วไปพวกนั้น…พวกเขารักษาไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น…ข้าไม่มีเงิน!”
ดังนั้น ประเด็นสำคัญคือหมอทั่วไปพวกนั้นรักษาไม่ได้ หรือเพราะเขาไม่มีเงินกันแน่
“เหตุใดเจ้าถึงคิดว่าข้าจะรักษาได้” นางย้อนถาม
สายตาของหูเฟิงยังคงเหม่อมองไปไกลอยู่ “ลองดูเถิด!”
ไป๋จื่อพูดไม่ออก ความหมายที่ซ่อนเร้นของเขาคงจะเป็นเช่นนี้กระมัง ลองดูเถิด อย่างไรก็ไม่ต้องการเงิน เขาเพียงแค่นำทางเท่านั้น คงไม่มีความเสียหายอะไรมากกว่านี้…
หูเฟิงกล่าว “พวกเขาเรียกเจ้าว่าจื่อยาโถวหรือ”
นางพยักหน้า “ข้าชื่อว่าไป๋จื่อ คนที่คุ้นเคยกับข้าเรียกข้าว่าจื่อยาโถว ส่วนคนที่ไม่คุ้นเคยกันจะเรียกข้าว่าแม่นางไป๋ และข้ากับเจ้าไม่คุ้นเคยกัน”
“จื่อยาโถว คิดจะไปลั่วอิงก็รีบเดินเถิด หากผ่านไปอีกชั่วยามหนึ่ง พระอาทิตย์จะยิ่งร้อนแรงกว่านี้”
“จื่อยาโถว เจ้าตะลึงอะไรอยู่ ไม่อยากไปแล้วหรือ”
“…”
…
หลังจากมารดาของอิงจื่อออกจากสกุลไป๋ไปไม่นาน จู่ๆ เจ้ารองก็รีบพุ่งออกมาจากในเรือนอย่างลนลาน เท้าสะเอวไปพลาง ต่อว่าไปพลาง “ยามนี้แล้วยังไม่ทำกับข้าวอีก ไม่รู้ว่าพวกผู้หญิงในเรือนหลังนี้ล้วนทำอะไรกินกัน”
จางซื่อตามออกมาจากเรือน นางแค่นหัวเราะพลางกล่าว “เจ้าเก่งจริงก็ทำเองสิ พูดอย่างกับว่าเจ้าตื่นเช้ากว่าคนอื่นอย่างนั้นแหละ”
ตอนนี้เจ้ารองไม่ว่างโต้เถียงกับนาง เขารวบผมแล้ววิ่งออกจากเรือนไป พร้อมกันนั้นก็ตะโกนถามว่าในบ้านมีของกินใดนำติดตัวไปได้บ้าง
คราวนี้หญิงชราสกุลไป๋เดินออกมาจากด้านหลังลานบ้าน “เจ้ารอง ตอนนี้เจ้าจะมาอยากกินอะไร ควรท้องว่างรอกินตอนแข่งขันสิ!”
เจ้ารองตะลึงงัน จริงด้วย หิ้วท้องไปกิน จะต้องกินได้เร็วและมากกว่าผู้อื่นแน่นอน โอกาสชนะก็ยิ่งมากกว่าไม่ใช่หรือ
ครั้นเจ้าใหญ่ได้ยินคำพูดนี้ เขาก็ถามด้วยสีหน้าสงสัย “แข่งขันอะไร พวกเจ้ากำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่”
เดิมทีเจ้ารองคิดจะปิดบังพี่ใหญ่ แต่บัดนี้เขาได้ยินแล้ว ไม่พูดก็เกรงว่าจะไม่ได้ ทำได้เพียงพูดไปตามความจริงเท่านั้น
เมื่อเจ้าใหญ่รู้ว่ามีเรื่องพรรค์นี้ ทั้งได้กินและได้ของ อีกทั้งไม่ต้องไปทำงานในทุ่งนา ไหนเลยจะยอมพลาดไปได้ เขาถอดชุมคลุมมีรอยปะที่สวมไว้ทิ้งในทันที แล้วหมุนกายเข้าเรือนไปหาเสื้อตัวยาวกึ่งใหม่ออกมา “ข้าจะไปกับเจ้าด้วย พวกเราสองพี่น้องลงแข่งจะต้องได้แป้งหมี่ขาวถุงนั้นกลับมาแน่”
ทันทีที่หญิงชราได้ยิน นางก็โบกมือทันควัน “ไม่ได้ หากเจ้าไปด้วย แล้วผู้ใดจะทำงานในทุ่งนาเล่า ไปเอาแป้งหมี่คนเดียวก็พอแล้ว มีเจ้าเพิ่มไปอีกคนยังต้องจ่ายเงิน เช่นนี้ไม่เท่ากับสิ้นเปลืองหรืออย่างไร”
เจ้าใหญ่ไม่พอใจทันที เขาตะโกนว่า “เช่นนั้นเหตุใดเจ้ารองถึงไม่ต้องทำนา แล้วไปเที่ยวเล่นในเมืองได้ ทว่าข้าไปไม่ได้ ท่านมีจิตใจลำเอียงหรือ”
เจ้ารองรีบกล่าวว่า “ข้าไปเที่ยวเล่นที่ไหนกัน ข้าเสี่ยงหิวตายไปแย่งชิงเสบียงอาหาร เจ้าไม่ขอบคุณข้าก็ช่าง ยังใส่ร้ายว่าข้าไปเที่ยวอีกอย่างนั้นหรือ มีผู้ใดนำชีวิตไปเที่ยวเดิมพันเล่นบ้าง” เขารู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง จึงจงใจพูดเสียงดัง
………..
ตอนที่ 28 หญิงสารเลวชั่วร้าย
หลิวซื่อได้ฟังคำพูดนี้แล้วก็ทนไม่ได้เช่นกัน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้พี่ใหญ่ไปเสียเถอะ ส่วนเจ้าทำงานอยู่ที่บ้าน พี่ใหญ่ของเจ้าตัวสูงกว่าเจ้า ปกติก็กินมากกว่าเจ้าอยู่แล้ว หากไปแข่งกินหมั่นโถว เขาต้องชนะอย่างแน่นอน”
เจ้ารองร้อนใจขึ้นมาแล้ว “เช่นนั้นไม่ได้ ข้าเป็นคนพบเรื่องดีๆ นี้ เกี่ยวอะไรกับพี่ใหญ่ด้วย จะบอกว่าถอยให้ก็ถอยไม่ได้ ข้าไม่ยอม”
สองพี่น้องโต้เถียงกันขึ้นมาในลานบ้านเช่นนี้ ขาดก็เพียงไม่ได้ยึดเงินของอีกฝ่ายไปจนเกลี้ยง สุดท้ายหญิงชราถูกบีบคั้นจนทนไม่ได้ นางหยิบห้าสิบเหวินออกมา ให้ทั้งเจ้าใหญ่และเจ้ารองไปในเมืองด้วยกัน
จ้าวหลานได้รับบาดเจ็บแล้ว อีกทั้งตัวนางก็ไม่อยู่ เจ้าใหญ่และเจ้ารองไปที่อำเภอเช่นนี้ คาดว่าเย็นย่ำถึงจะกลับมาได้ ในบ้านเหลือเพียงสะใภ้และหลานๆ ทุกคนล้วนไม่ใช่คนที่จะยอมทำงาน ไม่มีใครยอมทำงานในทุ่งนาสักคน ปกติหญิงชราตำหนิเหล่าสะใภ้จนเป็นเรื่องธรรมดา ทว่านางตัดใจต่อว่าเหล่าหลานชายหัวแก้วหัวแหวนไม่ได้ หลานชายคนใดบอกไม่อยากไปที่นา เช่นนั้นนางก็ไม่บังคับ ให้พวกเขาพักอยู่ในบ้านไป
ชาวบ้านที่ผ่านหน้าลานบ้านของพวกเขาเห็นแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า “ไม่เคยเห็นลูกหลานบ้านใดขี้เกียจเช่นนี้เลยจริงๆ ในเวลาเช่นนี้ บ้านอื่นล้วนตื่นไปทำงานตั้งแต่ตะวันยังไม่สาง ส่วนพวกเขาเอาแต่นอนอยู่ในบ้านทั้งเช้าค่ำ”
ผ่านไปพักหนึ่งแล้ว หลิวซื่อก็ยกเสื้อผ้าที่เพิ่งซักเสร็จกลับมาจากริมแม่น้ำ ครั้นเห็นหญิงชราตากลมอยู่ที่หลังลานบ้าน นางก็รีบกล่าวว่า “ท่านแม่ ข้าเพิ่งซักผ้าที่ริมแม่น้ำเสร็จ ท่านเดาสิว่าข้าได้ยินอะไรเข้า”
หญิงชรามองตาขวางใส่นาง ก่อนจะพูดอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ข้าไม่ใช่คนหูตาไว จะเดาได้อย่างไร เจ้าอยากพูดก็พูด ไม่อยากพูดก็ไปเสีย”
จนถึงตอนนี้นางยังพะวงเรื่องเมื่อวานไม่หาย หลิวซื่อสตรีสารเลวผู้นี้ เสียดายที่แม่สามีคนนี้ดีต่อนางนัก ช่วยนางในทุกเรื่อง ผลสุดท้ายแล้วนางกลับผลักภาระให้หญิงแก่เช่นนี้ เฮอะ…
ไหนเลยหลิวซื่อจะไม่รู้ว่าตอนนี้แม่สามีคิดอะไรอยู่ นางตากเสื้อผ้าไปพลาง กล่าวไปพลางว่า “ข้าเพิ่งได้ยินคนพูดมาว่า เมื่อวานเย็นนางเด็กไป๋จื่อไปซักผ้าที่ริมแม่น้ำ ตอนนั้นอิงจื่อตกน้ำ ครั้นหูเฟิงช่วยขึ้นมาได้ เด็กคนนั้นไม่มีลมหายใจแล้ว กระนั้นไม่รู้ว่านางเด็กไป๋จื่อเรียนวิชามารมาจากที่ใด นางเดี๋ยวจูบเดี๋ยวลูบคลำอิงจื่อ ไม่นานอิงจื่อก็ฟื้นขึ้นมา ท่านว่าเรื่องนี้แปลกหรือไม่เล่า ตอนนี้คนในหมู่บ้านกำลังพูดกัน ว่านางเด็กไป๋จื่อมีวิญญาณร้าย เมื่อวานนางตายไปแล้วแท้ๆ ทว่าจู่ๆ ก็ฟื้นขึ้นมามีชีวิต อิงจื่อผู้นั้นก็ตายไปแล้วชัดๆ เช่นกัน แต่นางจัดการเพียงครั้งเดียว ก็กลับมาชีวิตแล้ว ท่านว่าเรื่องนี้แปลกหรือไม่”
หลิวซื่อหยุดตากผ้าในมือ แล้วกันกลับมามองแม่สามี “แม่อิงจื่อมาหรือ หรือว่าเมื่อคืนอิงจื่อจะเกิดเรื่อง นางมาคิดบัญชีกับนางเด็กเจ้าเล่ห์นั่นใช่หรือไม่” ระหว่างที่นางพูด นางก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมารางๆ เพราะนางอยากจะคิดบัญชีกับนางเด็กนั่นใจจะขาด ทำให้นางตกเป็นขี้ปากชาวบ้านเช่นนี้
แม่สามีส่ายหน้า “ไม่ใช่ แม่อิงจื่อพาอิงจื่อมาด้วย ดูท่าทางสบายดีมาก ไม่ได้เกิดเรื่อง”
“เช่นนั้นนางมาทำอะไรหรือเจ้าคะ” หลิวซื่อใจห่อเหี่ยวในทันที
หญิงชรากล่าวว่า “ตอนมานางนำตะกร้าใบหนึ่งมาด้วย ขณะนั้นข้าก็ไม่รู้ว่านางต้องการทำอะไร ตอนนี้ได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ นางเด็กไปจื่อนับว่าเป็นผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตอิงจื่อของนางไว้ นางจะต้องมาขอบคุณนางเด็กนี่แน่ๆ และในตะกร้าใบนั้นก็ไม่รู้ว่าใส่อะไรไว้ แต่ต้องเป็นของดีแน่นอน”
ในเมื่อเป็นของดี พวกนางจะปล่อยไปได้อย่างไร