ตอนที่ 45 จับชีพจร
หมอลู่เคยไปที่ภูเขาลั่วอิงอยู่หลายครั้ง ทุกครั้งเพียงแค่เดินอยู่รอบนอก แต่ไหนแต่ไรไม่เคยเข้าไปในป่าเขาลึก เพราะเขารู้ถึงอัตรายภายในนั้นเป็นอย่างดี ส่วนโสมภูเขาเช่นนี้ ก็มีแต่เข้าไปในป่าเขาลึกเท่านั้นถึงจะพบได้ คำพูดของจื่อยาโถวไม่นับว่าเกินไปเลยจริงๆ
เขาถามอีกว่า “เช่นนั้นเจ้าคิดจะจัดการกับโสมภูเขานี้อย่างไร”
ไป๋จื่อกล่าว “ท่านหมอลู่ ข้ามาหาท่านเพื่อขอความช่วยเหลือไม่ใช่หรือ โสมภูเขาต้นนี้ต้องรบกวนท่านช่วยพวกข้านำไปขายในเมือง ไม่ว่าจะขายได้เท่าไร ข้าจะให้ข้าตอบแทนท่านเป็นจำนวนสิบตำลึง”
ค่าตอบแทนสิบตำลึงเงินรึ
อย่าว่าแต่หมอลู่ตกใจจนสะดุ้งเลย หูเฟิงที่ฟังอยู่ข้างๆ ได้ยินแล้วก็เลิกคิ้วขึ้นสูงเช่นกัน พลางกล่าวในใจว่าเด็กคนนี้ใจกว้างเสียจริง คำว่าสิบตำลึงเงินออกมาจากปากง่ายๆ เหมือนกับพูดคำว่าสิบกว่าเฉียน[1]เลยทีเดียว
หมอลู่รีบพูดว่า “ไม่ได้ๆ เดิมทีข้าก็คิดว่าจะไปส่งยาที่ร้านยาในวันพรุ่งนี้อยู่แล้ว ช่วยเจ้าก็แค่ทำถือโอกาสทำไปด้วยเลย” นางมีชีวิตที่ยากลำบากเช่นนั้น ไหนเลยเขาจะรับเงินของนางได้
เด็กสาวยิ้มกล่าว “ท่านลุงลู่ ข้ารู้ว่าท่านเจตนาดี นี่ไม่ใช่เพียงค่าตอบแทน แต่เป็นน้ำใจเล็กน้อยของข้า ท่านเป็นคนดีคนหนึ่ง ในใจข้าย่อมรู้ดี ทว่าไม่อาจติดหนี้นำใจคนได้ การค้าขายอย่างไรก็คือการค้าขาย ในอนาคตหากข้าขุดสมุนไพรดีๆ อะไรได้อีก ยังต้องพึ่งพาความช่วยเหลือของท่าน หากท่านไม่ยอมรับ ข้าก็อายที่จะรบกวนท่านต่อไป”
หมอลู่รู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย แต่เมื่อคิดถึงสิบเหลี่ยงเงินที่นางพูด เขาก็อดใจไม่ไหวอยู่บ้าง “เช่นนั้นก็ไม่ต้องมากเท่าสิบเหลี่ยงเงินแล้วกัน นั่นมันมากเกินไป”
หูเฟิงที่เงียบเชียบไม่พูดจามาโดยตลอด จู่ๆ ก็เอ่ยปากว่า “ท่านนำโสมภูเขาไปถามราคาที่ร้านยา หลังจากเจ้าของร้านตั้งราคาแล้ว ท่านก็ขอเพิ่มสิบตำลึงเงินจากพวกเขา ถือว่าเป็นกำไรของท่านเอง เช่นนี้ท่านพอจะรับได้หรือไม่”
หมอลู่พลันตาเป็นประกาย นี่เป็นความคิดที่ดีนัก หากเป็นเช่นนี้ ในใจของเขาก็ไม่รู้สึกว่าเอาเปรียบจื่อยาโถวจนเกินไปแล้ว
“ได้ๆ เช่นนั้นตกลงตามนี้ จื่อยาโถว หูเฟิง พวกเจ้าเชื่อใจข้าได้เลย ข้าจะไม่ทำให้พวกเจ้าต้องผิดหวัง รอดูเถิด ข้าจะต้องขายได้ราคาดีกลับมา”
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกคนล้วนยินดี
เมื่อออกจากบ้านของหมอลู่ ไป๋จื่อก็มองหูเฟิงที่อยู่ข้างๆ พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช้ได้เลยนะ สมองของเจ้าปราดเปรียวทีเดียว ดูไม่ออกเลยสักนิดว่าเจ้าบาดเจ็บมาก่อน”
หูเฟิงกวาดสายตามองนางครั้งหนึ่ง เสียงเย็นชานัก “ข้าเพียงสูญเสียความทรงจำ ไม่ได้สูญเสียสติปัญญา”
พูดถึงเรื่องสูญเสียความทรงจำ หูเฟิงก็ถามขึ้นมาเสียเลย “เจ้าจะรักษาข้าเมื่อไร”
ไป๋จื่อเห็นสีหน้าร้อนรนของเขาแล้ว นางพลันแอบหัวเราะอยู่ในใจ ก่อนจะหันหน้าไปมองรอบข้าง เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดอยู่ นางจึงยื่นมือไปหาเขา
“เอามา”
ชายหนุ่มไม่เข้าใจ “อะไร”
“มือน่ะสิ เจ้าอยากให้ข้ารักษาไม่ใช่หรือ ไม่จับชีพจร แล้วจะรักษาได้อย่างไร” นางเลิกคิ้ว หยาดเหงื่อตรงหางคิ้วไหลลงจากคิ้วที่ยกขึ้น แขวนค้างอยู่ตรงพวงแก้ม สะท้อนแสงแพรวพราว
หูเฟิงมองนาง พร้อมกับยื่นมือออกมาอย่างว่าง่าย
ทั้งสองคนยืนอยู่ระหว่างทางเช่นนี้ หูเฟิงยื่นมือออกมา ไป๋จื่อใช้มือข้างหนึ่งประคองหลังมือของเขา ส่วนอีกมือหนึ่งกดบนชีพจรของเขา ชีพจรมั่นคงและมีพลัง สภาพร่างกายของเขาดีมาก แน่นอนว่าอาศัยการจับชีพจรไม่อาจรู้สภาพภายในสมองของเขาได้ การกระทำนี้ของนางไม่ใช่เพื่อรับผิดชอบสิ่งที่นางพูด แต่เพื่อไม่ให้เขาคิดว่านางพูดไปเรื่อยเปื่อยต่างหาก
ครั้นเห็นนางหดมือกลับ หูเฟิงก็รีบถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”
……….
ตอนที่ 46 ใครเป็นคนทำ
ไป๋จื่อขมวดคิ้วกล่าวว่า “เจ้ามีเลือดคั่งในสมอง หากไม่กำจัดเลือดคั่งออกไป เกรงว่าความจำของเจ้าคงยากจะกลับคืน”
“เช่นนั้นต้องกำจัดเลือดคั่งอย่างไร” หูเฟิงถาม
เด็กสาวยักไหล่ “เดิมทีมีสองวิธีที่ใช้ได้ แต่วิธีหนึ่งในนั้นใช้ไม่ได้ เพราะขาดอุปกรณ์เป็นจำนวนมาก”
“เช่นนั้นก็บอกวิธีที่ใช้ได้เถิด” หูเฟิงเริ่มรำคาญใจอยู่บ้าง เด็กคนนี้หยอกเขาเล่นหรืออย่างไร
นางยิ้มกล่าว “ไม่ต้องรีบ และฟังข้าพูด เจ้ามีเลือดคั่งในสมองมานาน คิดจะกำจัดออกไม่ใช่เรื่องง่าย ส่วนวิธีฝังเข็มกำจัดเลือดคั่งสะสม แม้ประสิทธิภาพจะน้อยและช้า ทว่าก็ไม่มีผลข้างเคียง และไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน หากใช้ยาละลายลิ่มเลือดที่ดีจำนวนหนึ่ง สองอย่างนี้รวมกัน ผลลัพธ์ก็จะเร็วขึ้นหน่อย”
หูเฟิงฟังไม่ค่อยเข้าใจ และไม่รู้ว่าเด็กคนนี้พูดจริงหรือเท็จ จึงเลิกคิ้วถามไปตามตรงเสียเลย “พูดเช่นนี้ เจ้ารักษาได้ใช่หรือไม่”
“แน่นอน!” นางไม่ลังเลเลยสักนิด ราวกับว่านี่เป็นเพียงเรื่องเล็กที่ไม่มีค่าพอให้กล่าวถึง
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ความสงสัยในใจก่อนหน้านี้พลันมลายหายไป เมื่อเห็นความมั่นใจในดวงตาของนาง เป็นแค่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งแท้ๆ เหตุใดทำให้เขาเกิดความเชื่อมั่นเช่นนี้ได้
เขาคิดไม่ตก และไม่อยากคิดเช่นกัน
ชายหนุ่มไม่มีทางอื่นให้ไป ลองดูสักหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย อาจจะได้รับความประหลาดใจก็เป็นได้ แล้วเหตุใดถึงต้องปฏิเสธเล่า
เขาอยากถามว่านางรู้วิชาแพทย์มาได้อย่างไร เด็กอายุสิบสองคนหนึ่ง แม้แต่โรงเรียนก็ไม่เคยเข้าไป แล้วไปเรียนวิชาแพทย์มาจากที่ใดกัน
ทว่าเขาก็ไม่ได้ถาม นี่อาจจะเป็นความลับของนาง ทุกคนย่อมมีความลับ และมีเรื่องที่ไม่อยากให้ผู้อื่นรู้อยู่บ้าง
“จื่อยาโถว หูเฟิง เหตุใดพวกเจ้ายังอยู่ที่นี่ รีบกลับไปดูเถิด ท่านลุงหูกับอาสะใภ้จ้าวถูกคนสกุลไป๋รุมตีอยู่นะ” ลู่ผิงอันถือกระเป๋าหนังสือกลับมาจากโรงเรียน เขาบังเอิญเห็นคนสกุลไป๋กำลังเอะอะอยู่ที่บ้านของท่านลุงหู หัวหน้าหมู่บ้านก็ไปที่นั่นแล้วเช่นกัน ทำให้เขารีบกลับบ้านมาตามบิดาของคนไปรักษาอาการบาดเจ็บของน้าสะใภ้จ้าว
อะไรนะ คนสกุลไป๋มาหาเรื่องแม่ของนางอีกแล้วหรือ
ไป๋จื่อโมโหอย่างยิ่ง นางหันหน้าไปเหลือบเห็นท่อนไม้ที่วางอยู่ข้างๆ จึงก้มลงเก็บขึ้นมา ก่อนจะสาวเท้ามุ่งหน้าไปยังบ้านของลุงหู
หูเฟิงตามนางไปติดๆ ทั้งสองคนห้อตะบึงกลับสกุลหูรวดเดียว ภายในลานบ้านสกุลหูมีคนอยู่ไม่กี่คน คนในหมู่บ้านสองคนที่สนิทกับลุงหูกำลังพูดโน้มน้าวเขาอยู่
“ก็จริง หากเป็นข้า ก็คงคิดช่วยพวกนางสักครั้งเช่นกัน คนสกุลไป๋นับวันยิ่งทำเกินไป นี่เท่ากับพวกนางสองแม่ลูกต้องตายอยู่ที่นั่นไม่ใช่หรือ”
“พวกเจ้าหลบไป ข้าต้องไปดูจ้าวหลานสักหน่อย มือนางยังบาดเจ็บอยู่เลย จะให้คนใจดำพวกนั้นทำให้นางบาดเจ็บอีกไม่ได้” ท่านลุงหูยื่นมือไปดันคนที่ขวางอยู่ข้างกายออก ทว่าเพิ่งขยับมือ กลับไม่มีแรงออกมาเลยสักนิด กลับทำให้เขาเจ็บจนมีเหงื่อกาฬเย็นเยียบผุดออกมา
“เหล่าหู เกรงว่ามือของเจ้าจะหักแล้ว อย่าไปเลย รีบตามท่านหมอลู่มาดูเถอะ”
บัดนี้ไป๋จื่อและหูเฟิงพุ่งเข้ามา เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ไม่เพียงแต่ไป๋จื่อโมโหจนตัวสั่นไปหมด แม้แต่หูเฟิงที่มักจะมีสีหน้าเย็นชาเรียบเฉย ก็หน้าดำคร่ำเครียดขึ้นมาเช่นกัน เขาถามด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “ใครเป็นคนทำ”
[1] เฉียน (钱) คือ เป็นหน่วยเหรียญเงินขาว มีรูตรงกลางเหมือนเหวิน (เหรียญสำริด) แต่ทำจากโลหะเงินจึงมีค่ามากกว่า