ตอนที่ 61 ไป๋เจินจู
“นี่ นางเด็กน่าตาย ข้าพูดกับเจ้านะ หูหนวกหรืออย่างไร” ไป๋เสี่ยวเฟิงกล่าวด้วยความโมโห
ไป๋จื่อปิดฝาโอ่งน้ำ แล้วหันหน้าไปสบสายตาดุดันของไป๋เสี่ยวเฟิง กล่าวเสียงเรียบว่า “เวลาอ่านและทบทวนตำรา ควรให้ความสำคัญกับความสงบ หากข้าอยู่ฝนหมึกให้เจ้า เกรงว่าเจ้าคงยากจะสงบจิตใจได้ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาร่ำเรียนของเจ้า ข้าไม่รบกวนเจ้าจะดีกว่า”
นางกล่าวจบก็ไป เพราะคร้านจะสนใจไป๋เสี่ยวเฟิงที่ส่งเสียงน่ารำคาญอยู่ข้างหลัง ในเรือนใหญ่ นางพบไป๋เจินจูที่ออกมาจากในห้อง อีกฝ่ายมองตาของนาง ราวกับนางติดค้างบัญชี ยังไม่คืนเงินห้าร้อยตำลึงเงินอย่างไรอย่างนั้น
บัดนี้นางสนใจแต่จ้าวหลาน จึงไม่มีกะใจต่อปากต่อคำกับเด็กสาวนางนี้ นางไม่รอให้ไป๋เจินจูหาเรื่อง รีบหายออกไปจากในเรือนราวกับควันสายหนึ่ง
ไป๋จื่อกลับถึงเรือนด้านหลัง ก่อนจะถามจ้าวหลาน “ท่านแม่ ไป๋เจินจูผู้นั้นใช้สายตาราวกับจะกินคนมองข้าหลายครั้งแล้ว ข้าไปทำผิดต่อนางตั้งแต่เมื่อใดกัน”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ จ้าวหลานก็กัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “เจินจูไม่ชอบเจ้าตั้งแต่เล็ก ไม่ใช่เพราะเรื่องอะไรหรอก แต่เป็นเพราะเจ้าสะสวยกว่านาง โดยเฉพาะเวลาที่เจ้ายืนอยู่กับนาง สายตาของทุกคนย่อมมองมาที่เจ้า ในใจนางเกิดอิจฉา อยากจะข่วนหน้าของเจ้าอยู่หลายครั้ง แต่โชคดีที่ข้าพบเข้า ไม่เช่นนั้นใบหน้าของเจ้า คงจะเสียโฉมเพราะน้ำมือของนางไปแล้ว”
โอ้โห เพราะสวยกว่านาง ก็อยากข่วนหน้าคนอื่นเลยหรือ บนโลกนี้มีคนที่หน้าตาสะสวยกว่านางถมไป แล้วอย่างไร นางจะข่วนให้หมดเลยหรืออย่างไรกัน
เมื่อเห็นว่าจู่ๆ ไป๋จื่อก็หัวเราะขึ้น จ้าวหลานจึงอดถามไม่ได้ “เจ้าหัวเราะอะไร”
“ข้ากำลังหัวเราะว่าใครในอนาคตจะโชคร้าย ได้แต่งผู้หญิงอย่างไป๋เจินจูเป็นภรรยา วันนั้นจะต้องยอดเยี่ยมมากแน่นอน” นางรู้สึกปีตินัก ในยุคนี้ไม่มีโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือทั้งนั้น หากจะหาความบันเทิง ล้วนต้องอาศัยจินตนาการของตนเอง
จ้าวหลานก็หัวเราะอยู่ระลอกหนึ่งเช่นกัน ก่อนที่จู่ๆ จะพูดว่า “เอาล่ะ อย่าคิดเรื่องไม่มีประโยชน์เหล่านี้แล้ว เจ้าไม่ใช่พูดว่าต้องการแยกบ้านกับพวกเขาหรือ ท่าทางเช่นนี้ของพวกเขา เกรงว่าจะไม่ปล่อยพวกเราไปโดยง่าย ต้องรีบคิดหาหนทาง”
ไป๋จื่อทำสีหน้าลำพองใจ กล่าวพลางยิ้มกริ่ม “ข้ามีหนทางแล้ว รอดูเถิดเจ้าค่ะ ถึงตอนนั้นพวกเขาต้องอยากให้พวกเราแยกบ้านใจจะขาด ไม่มีทางบังคับพวกเราให้อยู่ต่อแน่”
ครั้นเห็นบุตรสาวมั่นใจในตนเองเต็มเปี่ยม จ้าวหลานก็นับว่าวางใจลงไม่น้อย บัดนี้บุตรสาวเป็นเสาหลักของนาง บุตรสาวบอกว่ามีหนทาง เช่นนั้นย่อมมีหนทาง
“ต้องการให้ข้าทำอะไร” จ้าวหลานถาม
เด็กสาวพลันยิ้ม “ท่านไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น พักผ่อนอยู่ที่บ้านดีๆ คิดเสียว่าตนเองเป็นอัมพาต ใช้ชีวิตแบบเสื้อผ้ามาก็ยื่นมือรับ ข้าวมาก็อ้าปากกินสักพักเถิดเจ้าค่ะ”
จ้าวหลานตาเป็นประกาย นางเข้าใจในทันที ยิ้มพร้อมกับกล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้ว ความคิดนี้ไม่เลวจริงๆ คนสกุลไป๋แย่งข้ากลับมา อยากจะให้ข้าทำงานต่างวัวต่างม้าให้พวกเขาต่อไป แต่หากข้ากลายเป็นคนพิการทำงานไม่ได้คนหนึ่ง พวกเขาย่อมไม่อยากเก็บข้าไว้แน่”
“ถูกต้อง นี่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการ ท่านเพียงต้องร่วมมือในส่วนนี้อย่างดีเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นท่านไม่ต้องสนใจ คอยดูข้าก็พอ” นางนับว่ามองออกแล้ว ว่าไป๋เสี่ยวเฟิงมีตำแหน่งในบ้านนี้สูงมาก ขอเพียงนางจัดการไป๋เสี่ยวเฟิงได้อยู่หมัด จะกังวลว่าเรื่องนี้จะไม่สำเร็จได้อีกอย่างไร
เวลานี้ข้างนอกมีเสียงก่นด่าของหญิงชราและหลิวซื่อดังมา คำก่นด่านั้นไม่น่าฟังเอาเสียเลย ขาดก็แต่ขุดบรรพบุรุษตระกูลของจ้าวหลานขึ้นมาจากหลุมแล้ว
สำหรับคำด่าประเภทนี้ จ้าวหลานชิน แม้กระทั่งถึงขั้นชาเสียแล้ว นางกล่าวกับไป๋จื่อ “พวกนางหาไข่ไก่ไม่เจอ ในใจต้องโมโหแน่ อีกเดี๋ยวย่อมต้องมาระบายอารมณ์กับพวกเรา”
……….
ตอนที่ 62 หาไข่ไก่ไม่เจอ
ไป๋จื่อมองกระบองไม้ที่วางอยู่ตรงมุมเรือน พลางยิ้ม “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้ากลับอยากเห็น ว่าผู้ใดกล้าหาเรื่องข้า”
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้แล้ว นางก็ลุกขึ้นไปหยิบกระบองไม้ ก่อนจะยืนอยู่หน้าเตียง เพื่อไม่ให้สองแม่สามีและลูกสะใภ้น่ารังเกียจบ้าคลั่งมาทำให้มารดาของนางบาดเจ็บอีก
หญิงชราเปิดประตูด้วยการเตะครั้งหนึ่ง พลางจ้องไป๋จื่อเขม็งด้วยดวงตาดุดัน แล้วถามเสียงแหลมว่า “นางเด็กน่าตาย รู้จักซ่อนของเสียด้วยนะ พูดมาว่าไข่ไก่ที่แม่อิงจื่อให้มา แท้จริงแล้วซ่อนอยู่ที่ใด”
เด็กสาวถลึงตากลับไป ใช้ระดับเสียงเดียวกัน “ท่านย่าพูดเรื่องอะไรเจ้าคะ ไข่ไก่อะไรกัน ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น”
หลิวซื่อพลันกล่าวต่อ “เจ้าเสแสร้งให้มันน้อยๆ หน่อย เมื่อเช้าแม่อิงจื่อมา บอกว่ามาหาเจ้า ในมือถือตะกร้าไข่ไก่ใบหนึ่ง เจ้ากล้าบอกว่าเจ้าไม่ได้ซ่อนด้วยหรือ”
ไป๋จื่อยิ้มเย็น “ท่านน้าสวีนำตะกร้าไข่ไก่มา บอกว่าให้ข้าหรือเจ้าคะ”
หลิวซื่อลำคอตีบตัน เสียงเบาลงสามส่วน “ไม่ได้บอกหรอก แต่ต้องให้เจ้าแน่ๆ อย่าคิดว่าพวกข้าไม่รู้เรื่องที่เจ้าช่วยอิงจื่อไว้นะ”
“เหตุใดท่านถึงได้แน่ใจถึงเพียงนั้น ท่านได้ยินหรือได้เห็นหรือ ท่านเห็นและค้นหาที่อยู่ของข้าและท่านแม่แล้ว หาไม่เจอหรือเจ้าคะ”
“พวกเจ้าต้องซ่อนไว้เป็นแน่ คิดจะลอบกินเพียงลำพัง แต่พวกเจ้าอย่าลืมนะ ว่าพวกเจ้าเป็นคนสกุลไป๋ ของทุกอย่างล้วนต้องแบ่งกันใช้ ไม่อาจซ่อนไว้เพียงผู้เดียว” หลิวซื่อกล่าว
ไป๋จื่อยากโยนท่อนไม้ในมือทิ้งเสียจริง เพื่อปรบมือให้กับหลิวซื่อ “พูดได้ดีเจ้าค่ะ ท่านป้าสะใภ้ใหญ่พูดได้ดียิ่งนัก ล้วนเป็นคนสกุลไป๋ สิ่งของทุกอย่างล้วนต้องแบ่งกันใช้ เช่นนั้นถึงจะยุติธรรมสินะ เช่นนั้นเหตุใดตอนที่บุตรชายของท่านป้าสะใภ้ใหญ่กินไข่ไก่ ถึงไม่ต้มให้ข้าสักลูกล่ะเจ้าคะ ตอนที่บุตรชายของท่านป้าสะใภ้ใหญ่ดื่มน้ำแกงเนื้อ ถึงไม่เหลือไว้ให้ข้าสักถ้วยเล่าเจ้าคะ ตอนที่ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ตัดชุดใหม่ให้ตนเอง เหตุใดไม่ตัดให้ข้าและท่านแม่ไปด้วยเลยเล่าเจ้าคะ”
หลิวซื่อกำลังจะเถียง ไป๋จื่อกลับรีบดกล่าวต่อ “ตอนที่ท่านแม่ข้าไปทำงานในทุ่งนา เหตุใดท่านป้าสะใภ้ใหญ่ไม่ไปเล่าเจ้าคะ ท่านเป็นสตรี แม่ของข้าก็เป็นสตรีเช่นกัน แล้วเหตุใดท่านถึงเกิดมาสูงส่งกว่าแม่ข้า ถึงได้ไม่ทำงานหยาบในทุ่งนานั่น”
ไหนเลยหลิวซื่อจะคาดคิด ว่านางเด็กน่าตายไป๋จื่อผู้นี้ ไม่เพียงลงไม้ลงมือตีคน ฝีปากยังร้ายกาจขึ้นไม่น้อย การพูดฉีกหน้าในครั้งนี้ นางหมดคำพูดจะต่อปากอย่างคาดไม่ถึง
หญิงชราคร้านจะพูดจาไร้สาระกับเด็กสาว บัดนี้นางเพียงอยากรู้ว่าตะกร้าไข่ไก่ใบนั้นแท้จริงแล้วไปอยู่ที่ใด จะตามหากลับมาได้หรือไม่
“พูดเรื่องไร้ประโยชน์ให้น้อยๆ หน่อย รีบพูดมา ว่าเจ้าซ่อนไข่ไก่ไว้ที่ใด” หญิงชรากล่าวด้วยความโมโห
หากเป็นไป๋จื่อเมื่อก่อน ครั้นเห็นท่าทางดุร้ายของหญิงชรา จะต้องกลัวจนตัวสั่นเป็นแน่ ทว่าไป๋จื่อในตอนนี้ไม่ใช่ไป๋จื่อในอดีตแล้ว
เด็กสาวถือกระบองไม้เดินไปข้างหน้าสองก้าว กระบองไม้ในมือกระทบบนพื้นส่งเสียงดัง ดูแล้วสีหน้าเรียบเฉย ทว่าในแววตาของนางพลันปะทุความความร้ายกาจออกมาในพริบตา ทำให้หญิงชราและหลิวซื่อตกใจจนต้องถอยไปสองก้าว
“ข้าบอกแล้วว่าไม่มีไข่ไก่ หากพวกท่านไม่เชื่อ ก็ไปหาเองเถิด ข้าไม่ขวางพวกท่านแน่นอน แต่หากพวกท่านคิดหาข้ออ้างลงมือรังแกแม่ข้า วันนี้ข้าไป๋จื่อขอกล่าวไว้เลยว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หากผู้ใดกล้าแตะต้องแม่ของข้าแม้แต่ปลายนิ้ว ไม่ว่าจะเป็นใคร ข้าล้วนไม่ปล่อยไว้ ความตายจะต้องมารอคอยเขา ได้ยินชัดหรือไม่”
หญิงชราอายุปูนนี้ ทว่าพบเจอการขู่เข็ญเช่นนี้ไม่กี่ครั้ง นางเดี๋ยวหวาดกลัว เดี๋ยวโกรธเกรี้ยว มือที่ชี้ไป๋จื่อของนางสั่นสะท้านอย่างรวดเร็ว แม้แต่เสียงวาจาก็สั่นเครือไม่หยุด “จะ เจ้า เจ้าช่างพยศนัก”
“คงพูดไม่ได้ว่าพยศหรอกเจ้าค่ะ ข้าเพียงพูดความในใจกับพวกท่านเท่านั้น ท่านฟังได้ก็ฟังไป ฟังไม่ได้ก็แล้วแต่พวกท่าน” สีหน้าของไป๋จื่อเรียบเฉย ไม่เห็นหญิงชราและหลิวซื่ออยู่ในสายตาแล้ว ความโอหังวนเวียนอยู่รอบกายนาง และนี่เป็นสิ่งที่ไป๋จื่อคนก่อนไม่มี