ตอนที่ 133 แม่หม้ายสกุลไป๋
จ้าวหลานยิ้มเย็น “พวกเจ้าเจตนาหรือไม่ ข้ารู้อยู่แก่ใจดี ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องพวกนี้กับข้า เอาล่ะ พวกเจ้าไปเถอะ ที่นี่เล็กนัก คนอยู่มากๆ เช่นนี้ไม่ได้”
หญิงชราจะยอมได้อย่างไร นางคิดจะดึงมือของจ้าวหลานมา ทว่าอีกฝ่ายกลับสะบัดทิ้ง “ยายเฒ่าสกุลไป๋ แม้ข้าจะหัวช้า แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ที่จะแยกแยะถูกผิดไม่ได้ ท่านไล่พวกข้าไปด้วยเหตุผลใด ข้ารู้ดีอยู่แก่ใจ และท่านมาตามข้ากลับสกุลไป๋ด้วยเหตุใด ข้าก็รู้ดีอยู่แก่ใจเช่นกัน จะพูดจาสวยหรูได้ ก็ต้องมีคนเชื่อนะเจ้าคะ”
นางยื่นมือชี้ไปทางนอกเรือน “ท่านไปพูดกับคนอื่นในหมู่บ้านเสียดีกว่า ลองพูดคำพูดที่เพิ่งพูดให้ข้าฟังกับพวกเขาสักรอบ ดูสิว่าจะมีคนเชื่อหรือไม่…ถ้าหากมีล่ะก็ คงจะเป็นเด็กสามขวบที่เชื่อ”
หลิวซื่อหน้าเปลี่ยนสีในทันที “จ้าวหลาน เจ้าอย่าไม่แยกแยะถูกผิด ไม่กินเหล้ามงคล แต่กินเหล้าลงโทษหน่อยเลย”
จ้าวหลานแค่นหัวเราะ “เช่นนั้นข้าจะรอดื่มเหล้าลงโทษของเจ้า ดูสิว่าแท้จริงแล้วรสชาติเป็นอย่างไร”
ความโกรธเคืองของหญิงชราปะทุขึ้นมาแล้วเช่นกัน นางถลึงตามองจ้าวหลานพร้อมสีหน้าดำคล้ำ “จ้าวหลาน เจ้าอย่าได้ลืมนะ เจ้าเป็นแม่หม้ายของสกุลไป๋ เป็นภรรยาของลูกชายข้าที่ตายไป เด็กไป๋จื่อนั่น ก็กินน้ำแกงข้าวของพวกข้าสกุลไป๋จนเติบใหญ่ ทำไม ตอนนี้ปีกล้าขาแข็งแล้ว เลยคิดจะสลัดพวกข้าสกุลไป๋ทิ้งรึ”
จ้าวหลานส่ายหน้า “ผิดแล้ว ไม่ใช่พวกข้าที่สลัดพวกท่านสกุลไป๋ทิ้ง เป็นพวกท่านสกุลไป๋ต่างหากที่สลัดพวกข้าทิ้ง ตอนที่แยกบ้านในวันนั้น คนทั้งหมู่บ้านล้วนเห็นว่าใครกันแน่ที่อยากจะไล่ข้ากับจื่อเอ๋อร์ออกจากบ้านใจจะขาด”
นางคิดว่าตอนที่นางเผชิญหน้ากับคนสกุลไป๋ ตนจะเป็นเหมือนกับก่อนหน้านี้ มุทะลุ โกรธเกรี้ยว แต่บัดนี้นางพบว่าตนเองใจเย็นอย่างน่าประหลาด อาจจะเป็นเพราะนางหมดความหวังกับคนสกุลไป๋แล้ว คนสกุลไป๋ที่อยู่เบื้องหน้านางในตอนนี้จึงไม่ต่างอะไรกับคนเดินถนนทั่วไป
“จ้าวหลาน เจ้าอยู่หรือไม่” เสียงของหูจ่างหลินดังมาจากข้างนอก
จ้าวหลานตอบรับเสียงหนึ่ง “ข้าอยู่เจ้าค่ะ” นางหันไปมองหญิงชราและหลิวซื่อ “พวกท่านกลับไปเถอะ ต่อไปไม่ต้องมาอีก จากวันนี้เป็นต้นไป พวกเราเป็นน้ำบ่อไม่ปนกับแม่น้ำ ต่างคนต่างอยู่”
เมื่อได้ยินบทสนทนาข้างใน หูจ่างหลินก็เร่งเดินมาถึงหน้าประตู ครั้นเห็นหลิวซื่อกับหญิงชรา เขาก็พลันทำหน้าบึ้งในทันที “พวกเจ้ากลับไปแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดมาที่นี่อีก แท้จริงแล้วคิดจะทำอะไรกันแน่”
ในมือของหูจ่างหลินถือจานใบหนึ่ง ในนั้นใส่ไข่ไก่ที่ยังไม่ได้ปอกเปลือกเอาไว้สองใบ หมั่นโถวสีขาวสองลูก ทั้งยังมีโจ๊กขาวเข้มข้นอีกถ้วยหนึ่งที่กำลังส่งกลิ่นหอมจางๆ ออกมา
พวกนางคิดถึงชีวิตที่บ้านของตนเอง โจ๊กใสเหมือนกับน้ำแกงข้าวก็ไม่ปาน ผัดผักป่าก่อนหน้านี้ก็กลายเป็นผักป่าต้มน้ำ ไม่มีรสชาติ เพิ่งกินเสร็จก็หิวแล้ว เทียบกับชีวิตในตอนนี้ของจ้าวหลาน ย่อมเรียกได้ว่าแตกต่างราวกับฟ้ากับดิน
สีหน้าไม่พอใจบนใบหน้าของหลิวซื่อหายไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะปั้นหน้ายิ้ม “พวกข้ายังไม่ได้กินข้าวเช้าพอดีเลย กินที่บ้านจ้าวหลานสักมื้อเลยแล้วกัน”
หูจ่างหลินกล่าวหน้าเคร่ง “เห็นหน้าของพวกเจ้าสองคนแล้วใครจะกินลงกัน ต้องอาเจียนออกมามากกว่ากระมัง รีบไป อย่าเสียเวลาอยู่ที่นี่”
หญิงชราพลันหน้าง้ำ มือข้างหนึ่งเท้าสะเอว ส่วนมืออีกข้างชี้ไปที่หูจ่างหลิน “หูจ่างหลิน เจ้าพูดจาอะไรเกรงใจกันหน่อย พวกข้ามาหาจ้าวหลาน ไม่ได้มาหาเจ้า พวกข้าอยากอยู่ที่นี่นานเท่าไรก็เท่านั้น เกี่ยวอะไรกับเจ้าไม่ทราบ”
จ้าวหลานยืนอยู่ข้างหลังพวกนางสองคน นางยื่นมือไปผลักพวกนางออกจากประตูอย่างแรง ส่วนตนเองก็ตามออกมาด้วย ก่อนจะมีเสียงเสียงลงกลอนประตูดัง ‘โครม’
นางกล่าวกับหูจ่างหลินว่า “พี่หู ข้านึกได้ว่ายังมีเรื่องบางอย่างอยากพูดกับท่าน ไปที่เรือนใหญ่ด้านหน้าดีกว่า พวกเราจะได้กินไปคุยไป”
……….
ตอนที่ 134 แตงดิน
หูจ่างหลินพยักหน้า “ได้ เช่นนั้นก็ไปคุยที่เรือนใหญ่ด้านหน้าแล้วกัน”
ตอนที่พวกเขาจะไป จ้าวหลานยังไม่ลืมนำเสื้อผ้าใหม่ที่ตากไว้ไปด้วย นางรู้จักนิสัยของหลิวซื่อดี หากปล่อยเสื้อผ้าชุดนี้ตากไว้ที่นี่และเดินจากไปก่อนล่ะก็ หลิวซื่อต้องถือโอกาสนำมันกลับบ้านไปด้วยแน่
หลิวซื่อมองเสื้อผ้าสะสวยลอยไปจากเบื้องหน้าของนาง จ้าวหลานระแวดระวังนางอย่างเห็นได้ชัด ไม่เห็นนางและแม่สามีอยู่ในสายตาเลยสักนิด ความโกรธในใจนี้เอ๋ย หากเป็นเมื่อก่อนคงจะถีบราวตากผ้าที่ตั้งอยู่ข้างนอกเรือนล้มไปแล้ว
หญิงชราถลึงตามองเงาร่างของจ้าวหลานที่ห่างออกไปเรื่อยๆ อย่างดุดัน พลางกัดฟันกล่าวว่า “นางชั่ว พวกเราไป คอยดูว่านางจากสกุลไป๋ของพวกเราไปแล้ว แท้จริงแล้วจะมีชีวิตที่มีอิสระเพียงใด ถึงเวลาอย่าร้องไห้ขอกลับสกุลไป๋ก็แล้วกัน”
…
ไป๋จื่อกับหูเฟิงมาถึงตลาดในเมืองแล้ว ตลาดในวันนี้เหมือนจะคึกคักกว่าวันนั้นมากทีเดียว
“วันนี้เป็นวันอะไรหรือ เหตุใดคนเยอะเช่นนี้” ไป๋จื่อถามหูเฟิงที่อยู่ข้างๆ
หูเฟิงส่ายหน้า “ไม่รู้” แม้เขาจะมาในเมืองบ่อยครั้งกว่าไป๋จื่อ แต่ก็เพื่อนำสัตว์ที่ล่าได้มาขายในตลาดเท่านั้น ส่วนความคึกคักเช่นวันนี้ เขาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกเช่นกัน
“ถอยหน่อย ถอยหน่อย!” ชายสองคนแบกสัตว์ป่าเบียดเข้ามาจากข้างนอก ไม่สนใจว่าข้างหน้าจะมีคนอยู่เท่าไร พวกเขาสนใจแค่เบียดไปข้างหน้าเท่านั้น
แม้หญิงชราที่หาบผักอยู่จะถูกเบียดจนล้มลงกับพื้น พวกเขาก็ไม่สนใจ ไม่หันไปมองแม้สักครั้ง เพียงเดินวางท่ามุ่งไปข้างหน้าท่าเดียว
ไป๋จื่อรีบเข้าไปพยุงหญิงชราขึ้นมา ส่วนหูเฟิงช่วยนางเก็บผักที่ตกอยู่บนพื้น
“ท่านยาย ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่” ไป๋จื่อประคองนางให้ลุกขึ้น
หญิงชรารีบส่ายหน้า “ข้าไม่เป็นไร ล้มไม่แรงนัก”
เด็กสาวช่วยนางยกตะกร้าผักสองใบไปยังมุมที่มีคนน้อยหน่อย “ท่านยาย ท่านอายุมากแล้ว จะไปเบียดกับพวกเขาไม่ได้นะเจ้าคะ วันนี้คนเยอะ ท่านขายอยู่ตรงนี้ก็เหมือนกัน”
หญิงชราขอบคุณไม่หยุด “ขอบคุณเจ้านะ มา นี่เป็นผักที่ยายปลูกที่บ้าน เอากลับไปลองสักสองลูกสิ”
นางหยิบสิ่งของทรงกลมเกลี้ยงสองลูกจากในตะกร้า แล้วใส่ในมือของไป๋จื่อ
ไป๋จื่อก้มหน้ามอง ประเสริฐยิ่ง นี่ไม่ใช่มันฝรั่งที่นางต้องการซื้อหรอกหรือ
คราวนี้นางถึงพบว่าในตะกร้าของท่านยาย ล้วนใส่มันฝรั่งไว้จนเต็ม มีมันฝรั่งอยู่เต็มทั้งสองตะกร้า
“ท่านยาย มันฝรั่งนี้ท่านขายชั่งละเท่าไรหรือเจ้าคะ”
ท่านยายตะลึงงันไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มในทันที “นี่ไม่ได้เรียกว่ามันฝรั่ง มันเรียกว่าแตงดินต่างหาก ชั่งละสองเหวิน”
“เป็นเช่นนั้นได้อย่างไรกัน สิ่งของอร่อยๆ อย่างแตงดินเช่นนี้ จะไม่มีคนมาซื้อได้อย่างไร” ไป๋จื่อมีแต่ความสงสัยอยู่เต็มอก
“จะโทษก็โทษที่ก่อนหน้านี้มีคนกินแตงดินแล้วเกิดเรื่อง บ้านนั้นมีกันอยู่ห้าคน ตายไปแล้วสองคน หลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้น ก็ไม่มีใครยอมซื้อแตงดินกินอีกเลย” ท่านยายกล่าว
“แต่บ้านข้ากินแตงดินทุกวันก็ไม่เห็นใครจะถูกพิษ ไม่รู้จริงๆ ว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น เฮ้อ…ปีนี้พวกข้าไม่น่าปลูกแตงดินเลย ครึ่งปีที่เหลือจะทำเช่นไรดี”
ไป๋จื่อนั่งยองๆ ลง ควานหาอยู่ในตะกร้าของท่านยายอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงหยิบมันฝรั่งที่แตกหน่ออ่อนสองลูกขึ้นมาจากก้นตะกร้า ก่อนจะยื่นมันไปตรงหน้าของหญิงชรา