ตอนที่ 159 ใบจื่อม่านเถิง
ไป๋จื่อตะลึงลาน คราวนี้ถึงจะรู้ตัวว่าเผลอหลุดปากออกไป เฮ้อ…ไม่อาจปล่อยเนื้อปล่อยตัวได้เลยจริงๆ ครั้นทำตัวตามใจขึ้นมา ก็มักจะหลุดพูดจาออกไปเช่นนี้
นางยิ้มแห้งๆ “ข้าก็แค่ล้อเล่น เหตุใดจริงจังเช่นนี้”
ล้อเล่น? เมื่อครู่นางดูไม่เหมือนพูดเล่นเลย
หูเฟิงไม่ได้ถามอีก เมิ่งหนานเองก็ไม่ได้คิดถาม เพราะหัวใจเขาเต้นแรงอยู่ตลอด พลางปลอบใจตนเองไม่ยอมหยุด แม้ป่านี้จะดูมืดทึบน่ากลัว แต่น่าจะเป็นแค่ป่าขนาดเล็กธรรมดาเท่านั้น ไม่มีทางมีเสืออยู่ภายใน ไม่มีทางเด็ดขาด
หูเฟิงนำทางอยู่ข้างหน้า องครักษ์จินคุ้มกันอยู่ข้างหลัง ไป๋จื่อและเมิ่งหนานถูกทั้งสองคนขนาบอยู่ตรงกลาง การเดินแถวเช่นนี้ ถึงแม้จะเดินอยู่ในป่าเขาลึก แต่ก็ทำให้คนสบายใจขึ้นมาได้ ไม่ได้น่ากลัวถึงเพียงนั้น
อย่างน้อยไป๋จื่อก็รู้สึกเช่นนั้น นางเข้าป่ามาเป็นครั้งที่สอง จึงไม่ได้ลุกลนหวาดกลัวเมื่อตอนมาครั้งแรกอย่างเห็นได้ชัด
เมิ่งหนานเดินอยู่ข้างหลังไป๋จื่อ ในมือกำกริชติดตัวแน่น ทุกย่างก้าวที่เดินไปข้างหน้า ใบหน้าของเขาราวกับซีดขาวลงไปหนึ่งส่วน
“ยะ ยังไม่ถึงอีกหรือ” ยิ่งเดินเข้าไปในป่า หัวใจของเขาก็ยิ่งรู้สึกหวาดหวั่น ราวกับข้างหน้ามีเสือตัวใหญ่กำลังรอเขาอยู่
ไป๋จื่อมองไปรอบๆ “ใกล้แล้วเจ้าค่ะ อยู่แถวๆ นี้แหละ ครั้งก่อนข้าเห็นมันอยู่บริเวณนี้”
องครักษ์จินถาม “รอบๆ ป่านี้ดูคล้ายกันไปหมด เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าสถานที่ที่เห็นในครั้งก่อนจะอยู่บริเวณนี้”
เด็กสาวชี้ไปที่วัชพืชที่อยู่ข้างทาง นั่นเป็นเพียงวัชพืชในสายตาขององครักษ์จิน แต่ในสายตาของไป๋จื่อ พวกมันเป็นสมุนไพรที่มีคุณสมบัติลดไข้ “นี่คือหญ้าตั้นหยิน ตอนที่ข้ามาครั้งก่อน ข้าเห็นมันอยู่บริเวณนี้ ส่วนใบจื่อม่านเถิงก็คือสิ่งที่ข้าเห็นอยู่ด้านหลังหญ้าตั้นหยิน ไม่ผิดแน่”
เมิ่งหนานเห็นหน้าพูดด้วยความมั่นใจ ก็เริ่มรู้สึกวางใจลง ดูท่าทางไม่จำเป็นต้องเข้าไปในป่าลึกอีก และวันนี้ไม่น่าได้เจอเสือแล้ว
หลังจากเดินไปอีกหลายก้าว จู่ๆ ไป๋จื่อก็หยุดฝีเท้า นางชี้ไปยังต้นไม้ใหญ่ทางซ้ายมือด้านหน้าด้วยความตื่นเต้น “ดูสิ นั่นคือใบจื่อม่านเถิงล่ะ”
ทั้งสามคนมองตามนิ้วมือนางไป เห็นเถาวัลย์สีม่วงยั้วเยี้ยพันอยู่บนต้นไม้เก่าแก่ขนาดยักษ์ใหญ่ ใบไม้บนเถาเป็นรูปทรงสามเหลี่ยม มีสีม่วงอ่อนและสีม่วงเข้ม ระหว่างใบปรากฏให้เห็นดอกไม้เล็กๆ สีม่วงแดงอยู่ประปราย แม้จะไม่ได้อยู่ภายใต้แสงอาทิตย์สาดส่อง แต่ดอกไม้เหล่านั้นก็ยังคงเบ่งบานงดงามอย่างยิ่ง เห็นได้ถึงการเจริญเติบโตที่ยอดเยี่ยม
เมิ่งหนานมองอยู่พักหนึ่ง เพราะเขาไม่เห็นว่ามีจุดใดพิเศษเลยจริงๆ “นี่คือสมุนไพรอะไร รักษาโรคอะไรได้หรือ”
ไป๋จื่อก้าวไปข้างหน้า เด็ดใบของเถาวัลย์มาดมเล็กน้อย เป็นกลิ่นนั้นจริงๆ อีกทั้งหอมเข้มข้นยิ่งกว่าที่นางเคยดมในยุคปัจจุบันด้วยซ้ำไป ดูท่าทางประสิทธิภาพในการเร่งการเจริญเติบโตน่าจะดีกว่า อาจจะไม่ต้องใช้เวลาถึงสามสิบวัน มันฝรั่งก็น่าจะออกผลได้แล้ว
“นี่เรียกว่าใบจื่อม่านเถิงเจ้าค่ะ ไม่ได้ใช้รักษาโรค ข้าจะใช้มันปลูกลงดิน ทุกคนอย่าได้อยู่เฉยเจ้าค่ะ ช่วยข้าหารากของใบจื่อม่านเถิง ขอเพียงหารากของมันเจอ เมื่อตัดรากของมันได้ พวกเราก็จะดึงเถาวัลย์เหล่านี้ลงจากต้นไม้ได้อย่างง่ายดาย และไม่ทำลายใบเถาวัลย์ด้วยเจ้าค่ะ”
รอบๆ ต้นไม้เต็มไปด้วยเถาวัลย์ ทั้งสี่คนเริ่มเคลื่อนไหว แต่ละคนจับจ้องต้นไม้ มองตามเถาวัลย์บนต้นไม้เพื่อตามหาราก
หลังจากทั้งสี่คนตามหาและเดินวนรอบต้นไม้อยู่สักพักหนึ่ง พวกเขาก็ไปรวมตัวกันตรงเนินดิน เถาวัลย์ที่อยู่ในมือของพวกเขารวมอยู่บนก้านไม้หนาเท่าแขนของบุรุษ
ก้านไม้หนาอย่างยิ่งนั้นยื่นเหยียดไปยังด้านหลังเนินดิน ดูท่าทางรากที่แท้จริงของใบจื่อม่านเถิงจะอยู่ด้านหลังเนินดินนั่น
……….
ตอนที่ 160 ต่อสู้กับเสืออย่างอาจหาญ
ไป๋จื่อคิดจะอ้อมเนินดินไปตรวจดูด้านหลังสักหน่อย
แต่จู่ๆ หูเฟิงก็ดึงแขนของไป๋จื่อไว้ แล้วลากนางไปยังด้านหลังของตนเอง ก่อนจะดึงกริชที่เอวของตนออกมาอย่างรวดเร็ว คำรามเสียงทุ้มว่า “มีความเคลื่อนไหว ระวังด้วย”
สีหน้าองครักษ์จินเปลี่ยนไปเล็กน้อย พลางชักกระบี่ยาวที่เหน็บอยู่ตรงเอวออกมาดังชิ้ง คอยปกป้องเมิ่งหนานที่อยู่ข้างกาย ไม่ยอมห่างออกไปแม้แต่ชุ่นเดียว
หนังตาของเมิ่งหนานเต้น้เร่าไม่ยอมหยุด ขาอ่อนก็เริ่มกระตุกขึ้นมาเช่นกัน ปกติเขาไม่ใช่คนขวัญอ่อน แต่บนโลกใบนี้มีสิ่งที่เขากลัวเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นก็คือเสือ
ไป๋จื่อกำลังคิดจะถามหูเฟิงว่าได้ยินเสียงอะไรกันแน่ ทว่าตอนนี้เอง เสียงคำรามอย่างบ้าคลั่งของสัตว์ป่าก็ดังมาจากด้านหลังเนินดิน จากนั้นก็มีเงาสัตว์ขนาดใหญ่กระโจนเข้าใส่พวกเขา
ช่วยด้วย…เจ้าตัวใหญ่ที่มีลายสีขาวดำทั่วตัว หางตามีริ้วสีดำหนานี้ ไม่ใช่เสือที่นางเคยเห็นอยู่ในสวนสัตว์หรอกหรือ
ทว่าเสือตรงหน้าตัวใหญ่กว่าที่นางเคยเห็นมากนัก มันอ้าปากกระหายเลือด กรงเล็บที่อุ้งเท้าหน้าแหลมคมดุจตะขอ หากถูกมันกัดหรือตะปบสักครั้ง เช่นนั้นจะยังมีชีวิตอยู่ได้อีกหรือไร
เมิ่งหนานที่อยู่ข้างหลังนางหวาดกลัวจนแทบจะหมดสติไป องครักษ์จินประคองเขาถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว แต่หูเฟิงที่อยู่เบื้องหน้านางกลับไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว แม้กระทั่งยกกริชในมือพุ่งเข้าไปสองก้าวอย่างดุดัน จูโจมสัตว์ป่าตัวนั้นซึ่งๆ หน้า
นางกลัวจนต้องถอยไปสองก้าว แต่ก็กังวลว่าหูเฟิงจะพ่ายให้กับเสือ ด้วยความร้อนใจ นางเก็บก้อนหินขึ้นมาจากพื้นสองสามก้อน บัดนี้เสือตัวนั้นกำลังจับจ้องหูเฟิงที่สู้กับมันอย่างเอาเป็นเอาตาย ทุกครั้งที่เห็นชายหนุ่มเข้าตาจน นางจะโยนก้อนให้ใส่เสือตัวนั้น แม้จะไม่ถึงกับทำให้มันบาดเจ็บอะไร แต่ก็ส่งผลต่อความจดจ่อของมันชั่วคราว ทำให้หูเฟิงได้เวลาอันล้ำค่าเพิ่มมากขึ้น
นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นหูเฟิงใช้วรยุทธ์ และเป็นครั้งแรกที่เห็นวรยุทธ์อย่างแท้จริง
และไม่ใช่กระบวนท่ามั่วๆ แบบในละครโทรทัศน์ที่เน้นการแต่งกายในชุดโบราณ ทุกหมัดที่หูเฟิงต่อยออกไป ล้วนแฝงไปด้วยกำลังภายในของเขาอย่างเต็มเปี่ยม และทุกหมัดนั้นก็ถูกเสือตัวใหญ่เข้าอย่างจัง จนทำให้มันต้องร้องคำรามด้วยความเจ็บปวดอยู่หลายเสียง ทว่าก็ทำให้ความโกรธเกรี้ยวของมันรุนแรงขึ้นเช่นกัน ครั้นจู่โจมอีกครั้งจึงดุดันมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
กริชแทงขาหน้าของเสืออย่างดุดัน ความเจ็บปวดอย่างกะทันหันนี้ส่งผลให้เสื้อเกรี้ยวกราดมากขึ้น มันกระโจนใส่หูเฟิงอย่างบ้าคลั่ง คิดจะใช้ฟันแหลมคมของมันกัดต้นคอของหูเฟิงเสีย
ไป๋จื่อกระวนกระวายเป็นอย่างยิ่ง หูเฟิงเพิ่งจะได้เปรียบไม่นาน ก็ราวกับถูกเสือนั่นแย่งความได้เปรียบกลับไปอีก
นางหันไปมองเมิ่งหนานและองครักษ์จิน เห็นเพียงเมิ่งหนานกลัวจนสลบไปแล้ว ส่วนองครักษ์จินกำลังคุ้มครองอยู่ข้างกายเขา นางจึงรีบพุ่งเข้าไปกล่าวกับองครักษ์จินว่า “ท่านไปช่วยหูเฟิง ข้าจะดูแลคุณชายของท่านเอง”
องครักษ์จินก็กำลังคิดเช่นนั้น เสือตัวนี้ดุร้ายเกินไปแล้ว แม้วรยุทธ์ของหูเฟิงจะยอดเยี่ยม แม้กระทั่งเหนือกว่าเขาด้วยซ้ำไป แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้มีอาวุธชั้นเลิศอะไรอยู่ในมือ ไม่เช่นนั้นคงไม่ให้โอกาสเสือตัวนี้ได้ย้อนกลับมากระโจนใส่อีกครั้ง
หากตอนนี้เขาไปช่วย จะต้องพลิกสถานการณ์ได้แน่
เขาถือกระบี่ก้าวไปข้างหน้า คลายวิกฤตของหูเฟิงได้ทันท่วงที ทั้งสองร่วมมือกันพลิกความได้เปรียบกลับมาอย่างรวดเร็ว จู่โจมจนเสือคลั่งตัวนั้นต้องถอยหลังกรูด บนตัวของมันมีรอยกระบี่อยู่นับไม่ถ้วน
เสือกำลังอ่อนกำลังลงอย่างเห็นได้ชัด มันก็รู้ว่าขืนสู้ต่อไป ฝ่ายที่เสียเปรียบจะมีเพียงตัวมันเอง ดังนั้นมันจึงคำรามลั่นใส่องครักษ์จินและหูเฟิงเสียงหนึ่ง แล้วถึงหมุนกายวิ่งจากไป
ทั้งสองคนไม่ได้ตามไปอีก และไม่กล้าตามไปด้วยเช่นกัน ใครจะรู้ว่ามันยังมีพวกอยู่หรือไม่ หากตามไปแล้วพบว่ามันมีพวกอยู่หลายตัว เช่นนั้นพวกเขาคงต้องลำบากแล้ว
ไป๋จื่อเห็นเสือหนีไปแล้ว จึงรีบมุ่งหน้าไปหาองครักษ์จินและหูเฟิง “พวกเจ้าสองคนไม่เป็นอะไรกระมัง”