ตอนที่ 203 เนื้อกระต่ายผัดพริก
องครักษ์จินยื่นมือไปหยิบชิ้นหนึ่งใส่เข้าปาก ก่อนจะตั้งใจเคี้ยวคำโต แล้วกล่าววาจาที่ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องออกมา “แม่นางไป๋บอกว่านี่เป็นกระต่ายผัดพริก อร่อยยิ่ง อร่อยจริงๆ นะขอรับ”
แม้จะเผ็ดมาก มีรสชาติของพริกเข้มข้น ทว่าก็อร่อยจนหยุดกินไม่ได้
เมิ่งหนานเห็นอีกฝ่ายใช้มือหยิบโดยตรง ก็อยากจะยื่นมือไปหยิบบ้าง แต่ถึงอย่างไรกู้ซีก็ยังอยู่ เขายังเห็นแก่หน้าตนเองเสียสองส่วน จึงมองตาขวางใส่คนสนิทครั้งหนึ่ง “เหตุใดไม่ใช้ตะเกียบ ใช้มือหยิบกิน นี่เป็นมารยาทประเภทใดกัน”
จินเสี่ยวอันไม่สนใจว่าคุณชายของเขาจะพูดอะไร หลังจากกลืนเนื้อกระต่ายในปากไปแล้ว เขาก็หยิบอีกชิ้นหนึ่งใส่ปาก “อืม อร่อยนัก อร่อยเหลือเกิน ข้าไม่เคยกินเนื้อกระต่ายที่อร่อยเช่นนี้มาก่อนเลย”
เมิ่งหนานกลืนน้ำลาย แต่ใช้มือหยิบอาหารกินต่อหน้ากู้ซีคงจะไม่ดีนัก อย่างไรเขาก็เป็นคุณชายสกุลเมิ่ง
ทว่าเหตุใดกู้ซีถึงไม่รู้จักความแม้สักนิด จะต้องรอคนเชิญนางไปให้ได้เลยหรือ
เวลานี้หูเฟิงเดินเข้ามาแล้ว ในมือถือตะเกียบอยู่คู่หนึ่ง เขาเดินตรงมานั่งลงตรงข้ามกับเมิ่งหนาน ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเริ่มกิน
เมิ่งหนานร้อนใจแทบตายแล้ว “นี่ หูเฟิง เหตุใดเจ้าเห็นแก่ตัวเช่นนี้ นำตะเกียบมาคู่เดียวได้อย่างไรกัน ไม่รู้หรือว่าที่นี่ยังมีคนอื่นอยู่ด้วย”
หูเฟิงช้อนสายตาขึ้นมองเมิ่งหนานอย่างเย็นชา แล้วชำเลืองมองจินเสี่ยวอันครั้งหนึ่ง จากนั้นค่อยกล่าวเสียงเรียบ “เจ้ามีมือเหมือนกันไม่ใช่หรือ ไม่มีตะเกียบก็กินได้เช่นกัน”
สาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างหลังกู้ซีมาตั้งแต่ต้นเอ่ยถามเสียงเบา “ใต้เท้าเมิ่ง ข้ามีตะเกียบเจ้าคะ ท่านต้องการหรือไม่”
เมิ่งหนานตาเป็นประกาย รีบยื่นมือออกไป “ต้องการสิ นำมาเร็ว” บิดาสิ หากช้าไปกว่านี้อีกสักเล็กน้อย อาหารในจานนี้จะต้องหมดเกลี้ยงเป็นแน่ เจ้าคนตะกละสองคนนี้ เหตุใดไม่มีความเห็นใจกันเลย เขาเป็นคนป่วยนะ
เขารับตะเกียบที่สาวใช้ส่งมา แล้วโบกมือให้พวกนางเร็วๆ “พวกเจ้ารีบกลับไปเถอะ ข้ายังมีธุระต้องจัดการ”
ผ้าเช็ดหน้าในมือของกู้ซีแทบจะขาดวิ่น นางกัดฟันกล่าวว่า “พี่เมิ่ง เช่นนั้นข้ากลับก่อนนะเจ้าคะ วันหน้าข้าจะมาเยี่ยมท่านอีก”
กู้ซีและสาวใช้เพิ่งจะเดินออกจากประตู เมิ่งหนานก็คีบเนื้อกระต่ายผัดเผ็ดชิ้นหนึ่งใส่ปากอย่างรวดเร็ว เขาชอบกินอาหารรสจัดเป็นทุนเดิม ทว่าอาหารที่เมืองชิงหยวนค่อนข้างเรียบง่าย ทีแรกเขารู้สึกว่าแปลกใหม่ กระนั้นผ่านไปนานวันเข้า เขาก็เริ่มคิดถึงรสชาติเผ็ดร้อนในอาหารบ้านเกิดทุกคืนวัน
เมิ่งหนานกินเนื้อกระต่ายรวดเดียวสามชิ้น ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าหยุดไม่ได้ ขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงรสชาติเผ็ดอย่างชัดเจน เขาคีบเนื้อกระต่าย พลางกล่าวกับองครักษ์จินว่า “จินเสี่ยวอัน เทน้ำ”
จินเสี่ยวอันไม่สนใจเขาโดยสิ้นเชิง สองมือไม่ว่าง ในปากเคี้ยวเนื้อกระต่ายชิ้นหนึ่ง ส่วนมือข้างซ้ายและขวาถือเนื้อกระต่ายไว้ทั้งสิ้น ด้วยกลัวว่าตนเองจะเสียเปรียบ
หูเฟิงกินไปหลายชิ้นแล้วก็หยุด วางตะเกียบลงด้านข้าง แล้วหยิบกาน้ำชาบนโต๊ะมารินใส่จอกสามใบ
เมิ่งหนานรับจอกชาไปอย่างไม่เกรงใจ ดื่มคำเดียวครึ่งจอก ก่อนจะถามด้วยความประหลาดใจ “เจ้าไม่กินแล้วหรือ”
ชายหนุ่มวางจอกชาลง ยิ้มจางๆ กล่าวว่า “เผ็ดเกินไป แม้จะอร่อย ทว่ากินได้ไม่มากนัก ไม่เช่นนั้น…”
เขาดึงความสนใจ แต่ไม่ได้พูดต่อ
เมิ่งหนานและองครักษ์จินชอบกินอาหารเผ็ดๆ มาตั้งแต่เล็ก พวกเขาจะไม่เข้าใจความหมายของหูเฟิงได้อย่างไร เพียงแต่มีอาหารรสเลิศอยู่ตรงหน้า จึงไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอะไร กินให้อิ่มท้องก่อนแล้วค่อยว่ากัน
…
หลังจากกู้ซีออกจากลานบ้านของเมิ่งหนานแล้ว นางก็สั่งสาวใช้ข้างกายว่า “เจ้าไปสืบมาสักหน่อย ว่าแท้จริงแล้วแม่นางไป๋ที่องครักษ์จินพูดถึงเป็นใคร อาหารจานนั้นผู้ใดเป็นคนทำ รีบไป”
สาวใช้รับคำก่อนจากไป กู้ซียืนอยู่นอกลานบ้าน จู่ๆ นางก็กลับหลังหัน มองไปยังประตูลานบ้านที่ปิดสนิทด้วยความแน่วแน่ ในใจกล่าวคำสาบานว่า ต้องมีสักวันที่ตนจะได้ยินอยู่ข้างกายเขาอย่างสง่าผ่าเผย ฟังผู้อื่นเรียกตนว่าฮูหยินเมิ่ง
………..
ตอนที่ 204 ที่แท้เป็นเด็กสาวจากหมู่บ้านคนหนึ่ง
เมื่อตงเอ๋อร์กลับมาในลานบ้าน กู้ซียังคงนั่งหน้าเคร่ง เต็มไปด้วยอารมณ์โกรธเคืองอยู่ในเรือน
“คุณหนูใหญ่!”
กู้ซีช้อนสายตามอง แววตาเคร่งขรึมนัก “สืบมาแล้วหรือ”
ตงเอ๋อร์พยักหน้า ก่อนจะรีบเข้าไปหากู้ซี กดเสียงเบากล่าวว่า “สืบมาแล้วเจ้าค่ะ แม่นางไป๋ที่องครักษ์จินพูดถึง ก็คือเด็กสาวที่ครั้งก่อนช่วยชีวิตคุณชายน้อยเอาไว้ ได้ยินว่านางรู้วิชาแพทย์อยู่บ้าง ช่วงนี้กำลังรักษาข้อมือให้ใต้เท้าเมิ่งอยู่ วันนี้นางยังลงครัวทำอาหารให้ใต้เท้าเมิ่งเองด้วยนะเจ้าคะ อาหารที่จินเสี่ยวอันเพิ่งยกไป ก็เป็นอาหารที่นางทำเจ้าค่ะ”
“นางเป็นคนที่ใด อายุเท่าไร หน้าตาเป็นอย่างไร”
“ว่ากันว่าเป็นสาวชาวบ้านที่มาจากหมู่บ้านหวงถัว อายุสิบสองสิบสามปี หน้าตาพอจะนับได้ว่าสะสวย แต่ไม่มีทางเทียบกับคุณหนูใหญ่ได้เจ้าค่ะ โชคดีที่มีฝีมือเรื่องการทำอาหาร ส่วนวิชาแพทย์ ข้าไม่รู้จริงๆ ว่านางรู้ได้อย่างไรเจ้าค่ะ” ตงเอ๋อร์รายงาน
ในที่สุดสีหน้าแข็งเกร็งของกู้ซีก็คลายลงบ้าง “ที่แท้เป็นเด็กสาวจากหมู่บ้านคนหนึ่ง”
ตงเอ๋อร์รีบตอบ “ใช่เจ้าค่ะ นางทำอาหารรสเผ็ดได้ดี คุณหนูก็รู้นี่เจ้าคะ ว่าใต้เท้าเมิ่งเป็นคนจากเมืองหลวง อาหารเมืองหลวงมีรสจัดเข้มข้น เขาชอบรสชาติเช่นนี้จึงเป็นเรื่องปกติเช่นกันเจ้าค่ะ”
สีหน้าของกู้ซีผ่อนคลายมากขึ้นเรื่อยๆ ที่แท้เป็นเช่นนี้ ด้วยฐานะของพี่เมิ่งแล้ว เขาไม่มีทางชอบเด็กสาวจากหมู่บ้านคนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นเด็กสาวจากหมู่บ้านที่เพิ่งอายุได้สิบสองสิบสามปี และนางยังเป็นเด็กสาวยากจนอีกต่างหาก บุรุษอย่างพี่เมิ่ง จะชอบเด็กสาวคนหนึ่งได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด
เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็ค่อยๆ เบิกบานใจขึ้นมา “เจ้าไปดูแม่นางไป๋ผู้นั้นสักหน่อย ขอคำแนะนำวิธีทำอาหารรสเผ็ดจากนางด้วย เรียนรู้ให้ได้สักสองสามอย่าง แล้วเจ้าค่อยมาสอนข้า”
ตงเอ๋อร์ในใจไม่ยินยอม ทว่าก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของคุณหนู จึงทำได้เพียงไปยังห้องครัวอย่างไม่สมัครใจ
“แม่นางตงเอ๋อร์มาหรือนี่ ช่างแปลกเสียจริง!” แม่ครัวมองตงเอ๋อร์ที่ไม่สมัครใจมา คล้ายยิ้ม คล้ายไม่ยิ้ม
เด็กสาวผู้นี้นิสัยเหมือนกับเจ้านายของนาง ช่างเสแสร้งอย่างยิ่ง คนหนึ่งเป็นบุตรสาวของนายอำเภอ อีกคนหนึ่งเป็นสาวใช้ ทั้งสองเป็นคนเมืองชิงหยวนโดยแท้ เมื่อออกจากเมืองชิงหยวนไปแล้ว พวกนางก็ไม่ใช่คนใหญ่โตอะไร วันๆ เอาแต่เดินนวยนาด ทำให้คนพบเห็นเหนื่อยหน่ายเสียจริงๆ
ตงเอ๋อร์นำผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดจมูก ไม่ปิดบังความดูถูกในสายตาเลยสักนิด สถานที่สกปรกเช่นนี้ จะเป็นสถานที่ที่สาวใช้อย่างนางควรมาได้อย่างไร
“แม่นางไป๋ยังอยู่หรือไม่” นางเหล่มองแม่ครัว กล่าวด้วยความรำคาญใจ
แม่ครัวชี้ไปยังเงาร่างที่กำลังผัดผักอย่างร้อนแรงอยู่ด้านใน “นั่นคือแม่นางไป๋ เจ้ามาหานางมีธุระอะไร”
ตงเอ๋อร์ไม่สนใจแม่ครัว มุ่งหน้าไปหาเตาที่กำลังมีไฟลุกโชน ขณะเดียวกันก็มีกลิ่นหอมเข้มข้นสายหนึ่งลอยมาเตะจมูก หอม หอมยิ่งนัก ทว่าฉุนเสียเหลือเกิน ไม่จำเป็นต้องกิน แค่กลิ่นก็รู้แล้วว่าเผ็ดมาก
นางไม่อยากเข้าใจจริงๆ ไม่อยากเลยสักนิด…
“แม่นางไป๋!” นางใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดจมูกไว้อย่างแน่นหนา ในที่สุดก็เข้าไปใกล้หน้าเตา
ไป๋จื่อกำลังง่วนกับการกลับด้านเนื้อวัวในกระทะ นางชำเลืองมองตงเอ๋อร์ครั้งหนึ่ง แม่นางผู้นี้หน้าตาสะอาดสะอ้าน สวมเสื้อผ้าแตกต่างจากแม่ครัวที่ทำงานอยู่ในห้องครัว และมีความคล้ายกับสาวใช้ที่นำนางไปช่วยชีวิตคุณชายน้อยเมื่อครั้งก่อนอยู่บ้าง
ครั้นเห็นอีกฝ่ายปิดจมูก จึงเอ่ยว่า “ในนี้ฉุนนัก เจ้าออกไปก่อนเถอะ”
ออกไป นางก็คิดเหมือนกัน! ตงเอ๋อร์ไม่อยากอยู่ที่นี่แม้สักวินาทีเดียว
“แม่นางไป๋ ข้ามีนามว่าตงเอ๋อร์ เป็นสาวใช้ส่วนตัวของคุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่ทราบมาว่าเจ้าทำอาหารเก่ง จึงให้ข้ามาขอให้เจ้าสอนโดยเฉพาะ ต่อไปเมื่อแม่นางไป๋ไม่อยู่ คุณหนูใหญ่จะได้ทำให้ใต้เท้าเมิ่งกินได้”
นี่เป็นความคิดที่ดีทีเดียว หากมีใครทำอาหารให้เมิ่งหนานและจินเสี่ยวอันกินในเวลาปกติได้ นางก็ไม่ต้องเหนื่อยคอยหาอาหารป้อนพวกเขาเช่นนี้