ตอนที่ 207 เรื่องบัดสีในบ้าน
เมิ่งหนานมองผ้าเช็ดหน้าสีอ่อนที่ซักจนเริ่มเป็นสีเหลือง นอกเสียจากตัวอักษร ‘จื่อ’ ที่ปักไว้อย่างประณีตตรงมุมผ้าเช็ดหน้าแล้ว ก็ไม่มีลวดลายอื่นใดอยู่อีก
เมื่อเห็นไป๋จื่อก้มหน้าก้มตากินข้าว เขาจึงยัดผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เข้าไปในอกเสื้อของตนเองเสียเลย
เดิมทีคิดว่าการกระทำนี้ของตนเป็นธรรมชาติมาก ไร้พิรุธใดๆ แต่กลับคิดไม่ถึงว่ามีดวงตาคู่หนึ่งจับจ้องเขาอยู่ตลอด
หลังจากกินข้าวเสร็จ ไป๋จื่อก็ลุกขึ้นบอกลา ก่อนจะไปยังกำชับให้เมิ่งหนานกินยาและทายาอย่างต่อเนื่อง อย่าได้หยุด ห้าวันหลังจากนี้นางจะมาตรวจซ้ำ รวมถึงตัดไหมที่บาดแผลของเขาด้วย
เมิ่งหนานส่งพวกเขาออกไปด้วยตนเอง จนกระทั่งเห็นรถม้าหายไปไม่เห็นร่องรอย เขากับจินเสี่ยวอันถึงจะกลับหลังหัน เดินเข้าไปในลานบ้าน
เขายื่นมื่อไปจับผ้าเช็ดหน้าในอกเสื้อ ทว่าจับและคลำหาดูแล้วกลับไม่พออะไร เขาพลันหยุดฝีเท้าลง ก่อนจะยื่นมือเข้าไปควานหาในอกเสื้ออย่างละเอียดอีกครั้ง
“คุณชาย เป็นอะไรไปหรือขอรับ คันหรือ ต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่” จินเสี่ยวอันเดินเข้าไปใกล้ ครั้นเห็นคุณชายกำลังขมวดคิ้ว ทำท่าทางเหมือนเกาหน้าอกอย่างแรง และทุกครั้งที่เกา คิ้วของอีกฝ่ายก็จะยิ่งขมวดมุ่นกว่าเดิม
“หายไปได้อย่างไร ข้าใส่ไว้ตรงนี้แท้ๆ” เขาพลันหยุดค้นหา ตอนที่เพิ่งออกจากเรือน หูเฟิงชนเขาครั้งหนึ่ง มือของอีกฝ่ายคล้ายจะชนหน้าอกของตนด้วย หรือว่าเป็นฝีมือของหูเฟิง
“อะไรหายไปหรือขอรับ” จินเสี่ยวอันถาม
เมิ่งหนานโมโหขึ้นมา “ไม่มีอะไร”
…
เมื่อรถม้ากลับถึงหมู่บ้าน ก็เจอกับเฒ่าหลี่ที่กำลังบังคับรถเทียมวัวออกไปข้างหน้า ชายชรากล่าวกับหูเฟิงว่า “หูเฟิง เจ้ารีบกลับไปเร็วหน่อยเถอะ หลายคนเอะอะออกันอยู่ในบ้านของเจ้า”
หัวคิ้วของหูเฟิงขมวดมุ่นเล็กน้อย สีหน้าเคร่งขรึมขึ้น เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง ยกมือขึ้นฟาดแส้ลงบนบั้นท้ายของม้า ทำให้ม้าห้อตะบึงออกไปในทันที ไม่นานก็มาถึงด้านนอกบ้านสกุลหูแล้ว
ในลานบ้านมีคนอยู่ไม่น้อยจริงๆ หูจ่างหลินและจ้าวหลานถูกคนเหล่านี้ล้อมไว้ แต่ละคนพูดจาต่อเนื่องกันไม่ขาดปาก ส่วนหูจ่างหลินและจ้าวหลานทำหน้าเคร่งไม่พูดจา ปล่อยให้ผู้อื่นชี้มือชี้ไม้ไม่หยุด เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ
“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ หูจ่างหลินที่แต่ไหนแต่ไรซื่อสัตย์ กลับต้องการร่ำรวยในขณะที่ผู้อื่นลำบากยากเข็ญ เจ้ายังมีศีลธรรมอยู่บ้างหรือไม่”
“นั่นสิ จนป่านนี้แล้ว พวกเจ้ายังตุนเสบียงอาหารในราคาต่ำ แล้วขายให้ผู้อื่นในราคาสูงได้อย่างไร นี่ไม่เท่ากับปล้นกันหรอกหรือ”
“ทุกคนล้วนลำบากกันทั้งนั้น เหตุใดพวกเข้าถึงได้ทำเรื่องขาดศีลธรรมเช่นนี้ พวกข้าไม่ได้จะขอร้องให้พวกเจ้าให้ข้าวพวกข้าเปล่าๆ เพียงแต่ขายให้พวกข้าในราคาตลาดตอนแรก แค่นี้ก็ไม่ยอม พวกเจ้าช่างใจดำนัก หรืออยากจะเห็นพวกข้าอดตายเพราะซื้อข้าวในราคาแพงไม่ได้”
“เป็นคนหมู่บ้านเดียวกันแท้ๆ เหตุใดถึงทำกันได้ลงคอ สบายแล้วไม่เห็นคนลำบากอยู่ในสายตา จะทำอะไรต้องมีขอบเขต อย่างไรวันหน้าก็ต้องพบหน้ากันอีก!”
หูจ่างหลินกล่าวด้วยความโมโห “สวี่เหล่าซาน เจ้าหมายความว่าอย่างไร ขู่ข้าหรือ ข้าทำอะไรตามหลักครรลองคลองธรรมอยู่แล้ว คิดว่าข้าจะกลัวคำขู่ของเจ้าหรือ”
สวี่เหล่าซานแค่นหัวเราะเสียงเย็น “มีใครบ้างไม่รู้ ว่าสกุลหูของพวกเจ้าอยู่ด้วยกันกับสองแม่ลูกจ้าวหลานแล้ว ทั้งยังสนิทสนมกับใต้เท้าตัดสินคดีในอำเภอ เจ้ามีคนให้พึ่งพิง ย่อมไม่จำเป็นต้องกลัวชาวบ้านอย่างพวกข้าแล้ว”
จ้าวหลานโกรธจนตัวสั่น “เจ้าพูดมั่วอะไร ปากสุนัขคายงาช้าไม่ได้!”
สวี่เหล่าซื่อพูดต่อพี่สามของตน “พวกข้าพูดมั่ว? เรื่องบัดสีนี้ มีใครบ้างในหมู่บ้านไม่รู้ กินอยู่ด้วยกัน คนหนึ่งเป็นแม่หม้าย คนหนึ่งเป็นพ่อหม้าย คนหนึ่งเป็นชายโสด คนหนึ่งเป็นแม่นางน้อย พวกเจ้าอยู่ด้วยกันก็ไม่แปลกหรอก แต่เหตุใดต้องทำลับๆ ล่อๆ ใครได้ยินเข้าก็อยากหัวร่อทั้งนั้น”
“เรื่องบัดสีของบ้านไหนก็สู้ของบ้านพวกเจ้าไม่ได้!” เสียงดังกังวานของไป๋จื่อพลันดังขึ้น จากข้างหลังของสวี่เหล่าซานและสวี่เหล่าซื่อ
………..
ตอนที่ 208 พูดได้น่าฟังกว่าร้องเพลง
มุกคนเหลียวหลังไปมอง หูเฟิงดันคนในหมู่บ้านที่ล้อมหูจ่างหลินและจ้าวหลานออกเป็นสองทาง พลางจูงมือไป๋จื่อเดินไปตรงหน้าของพวกเขา
ครั้นเห็นหูเฟิงและไป๋จื่อกลับมาแล้ว หูจ่างหลินและจ้าวหลานต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก มีหนุ่มสาวอย่างพวกเขาอยู่ช่างดียิ่งนัก ดีเหลือเกิน
“เรื่องบัดสีของบ้านพวกข้า? พวกข้าสกุลสวี่ทำเรื่องบัดสีตั้งแต่เมื่อใด เจ้าพูดมั่วให้น้อยๆ หน่อยเถอะ” สวี่เหล่าซานถลึงตามองไป๋จื่อ
ไป๋จื่อหัวเราะเยาะ “ความบัดสีของสกุลสวี่ ในหมู่บ้านมีใครบ้างไม่รู้ สวี่เหล่าซานแอบนัดแนะกับภรรยาของสวี่เหล่าซื่อลับหลัง ส่วนสวี่เหล่าซื่อเองก็ลอบไปมาหาสู่กับภรรยาของสวี่เหล่าซาน นี่ไม่นับว่าเป็นเรื่องบัดสีหรอกหรือ”
เมื่อสวี่เหล่าซื่อได้ยินดังนั้น เขาก็มีไฟโทสะสุมอยู่ในอกทันที มือหนึ่งคว้าคอเสื้อของพี่สาม “แท้จริงเจ้าแอบเกี้ยวภรรยาของข้าหรือ”
สวี่เหล่าซื่อก็เกิดอารมณ์หึงหวงขึ้นมาเช่นกัน ยกขาขึ้นเตะสวี่เหล่าซื่อครั้งหนึ่ง “เจ้าช่างเก่งเสียจริงๆ แม้แต่ภรรยาของข้าก็กล้าแตะต้องหรือนี่”
สองพี่น้องทะเลาะกันอยู่ในลานบ้าน คนที่มุงดูอยู่จึงเริ่มงุนงง “สกุลสวี่วุ่นวายเช่นนี้ พวกเขาไม่รู้เลยสักนิดได้อย่างไร”
ไป๋จื่อไม่มองทั้งสองถกเถียงกันเลยสักนิด สายตาเย็นชาของนางกวาดมองชาวบ้านคนอื่นทีละคน “พวกเจ้ามาออกันอยู่ที่นี่ ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ บ้านข้าติดหนี้พวกเจ้าหรือไร”
แม้ไป๋จื่อจะยังเด็ก แต่แววตากลับดุดันเป็นอย่างยิ่ง ปกติแล้วนางพูดจาด้วยเสียงอ่อนหวานเสมอ ทว่าบัดนี้เหมือนมีก้อนน้ำแข็งอยู่ในปากก็ไม่ปาน ช่างเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง
“จื่อยาโถว แม้พวกข้าจะไม่ได้ติดหนี้เจ้า แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ เจ้าเก็บเสบียงอาหารไว้ไม่กระจายออก เท่ากับทำเกินไปหรือไม่เล่า” คำพูดนี้ของตาเฒ่าสกุลจ้าว ทำให้คนในหมู่บ้านหลายคนโห่ร้องขึ้นมา “ใช่ เป็นคนหมู่บ้านเดียวกันแท้ๆ เหตุใดถึงทำร้ายคนในหมู่บ้านเดียวกันได้ลงคอ ช่างใจร้ายนัก!”
ไป๋จื่อนับว่าได้รู้แล้ว ว่าสิ่งใดคือการกลับดำเป็นขาว
นางเพิ่มเสียงขึ้น สายตาจับจ้องชายชราสกุลจ้าวอย่างเยือกเย็น “ท่านลุงผู้นี้ ท่านว่าพวกข้าเก็บเสบียงไว้ ถือเป็นการทำเกินไปหรือ เช่นนั้นข้าขอถามท่านสักหน่อย ข้าเก็บเสบียงของบ้านใดไว้หรือไร หรือว่าเป็นสกุลจ้าวของท่าน หรือเป็นเสบียงสงเคราะห์ผู้ประสบภัยจากราชสำนักกัน”
คำพูดนี้ของนางทำให้ทุกคน ณ ตรงนี้พูดไม่ออก นางถามอีกว่า “พวกเจ้าบอกว่าข้าทำร้ายคนในหมู่บ้าน เช่นนั้นข้าขอถามหน่อย เมื่อวานพวกท่านได้ซื้อข้าวหรือไม่ ซื้อมาเท่าไร แล้ววันก่อนได้ซื้อข้าวมาหรือไม่ เป็นราคาเท่าไร ข้าวที่พวกท่านซื้อมาเหล่านี้ พวกท่านกินเอง หรือว่าใช้ทำอย่างอื่น”
สีหน้าของคนในหมู่บ้านดูกระอักกระอ่วนขึ้นมาในทันที ชายชราสกุลจ้าวกล่าว “ไม่ผิด หลายวันมานี้พวกข้าล้วนซื้อข้าวมา แต่ก็ไม่ได้กินมากมายถึงเพียงนั้นจริงๆ เจ้าก็รู้ว่าทุกบ้านมีลูกหลานมากมาย พวกข้ามีข้าวกิน ก็ใช่ว่าจะไม่สนใจความเป็นความตายของญาติพี่น้องกระมัง ข้าวที่ซื้อมาพวกนั้น ต่างก็ตักแบ่งให้ญาติๆ เหลืออยู่ในบ้านไม่มากเท่าไร ถึงได้อยากมาซื้อกลับไปสักหน่อย หากจะเดินทางไปในเมืองก็ไกลเกินไป พวกข้าย่อมสนใจกิจการของเจ้า ถึงอย่างไรก็เป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน พวกข้าสะดวกสบาย เจ้าก็จะสะดวกสบายไปด้วย”
โอ้ พูดได้น่าฟังกว่าร้องเพลงเสียอีก
ไป๋จื่อฟังแล้วก็หัวเราะขึ้นมา “ท่านลุงจ้าว ท่านเห็นข้าไป๋จื่อเป็นคนโง่กระมัง พวกท่านซื้อข้าวจากข้าในราคาถูก แล้วขายให้หมู่บ้านอื่นในราคาแพง คิดว่าข้าไม่รู้เรื่องนี่หรืออย่างไร ข้าขายข้าวในราคาถูก ก็นับว่าเป็นน้ำใจ ไม่ได้กำไรสักแดงเดียวจากพวกท่าน ในใจพวกท่านย่อมรู้ดี อย่ามาทำเป็นใสซื่อต่อหน้าพวกข้าเพื่อเอาเปรียบ เพราะข้าคิดว่าตนเองสร้างประโยชน์ให้กับพวกท่าน ทั้งยังเห็นว่าเป็นเรื่องที่ควรทำอีก”