ตอนที่ 269 เด็กสาวผู้ใจแข็ง
เขาคีบแผ่นแป้งแตงดินขึ้นกัดคำหนึ่ง แล้วถึงจะเคี้ยวอย่างเชื่องช้า ไม่รู้ว่าเขาเคี้ยวไปนานเท่าไร จนกระทั่งกลืนลงไปแล้ว เขาก็ยังรับรสชาติใดไม่ได้เลยสักนิด
รับรสชาติไม่ได้ ที่แท้เป็นความรู้สึกเช่นนี้เอง
เขาวางตะเกียบในมือลง แล้วลุกขึ้นกล่าวกับเถ้าแก่เฉิน “จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่ายังมีธุระเร่งด่วนรอให้ข้าไปจัดการที่ศาลาว่าการ ข้าต้องกลับไปก่อนแล้ว วันหลังหากเถ้าแก่เฉินไปเมืองหลวง ก็ไปหาข้าที่จวนสกุลเมิ่งได้ ข้าจะเป็นเจ้ามือให้เอง ไม่เมาไม่เลิก”
เถ้าแก่เฉินรู้ว่าตอนนี้เขารู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ย่อมไม่อยากจะรั้งเขาไว้ จึงรีบตอบรับว่า “ได้สิ หากข้าไปที่เมืองหลวง ข้าจะต้องไปดื่มสุรากับท่านอย่างแน่นอน”
เมิ่งหนานพยักหน้า ก่อนจะหันไปมองไป๋จื่อ “จื่อยาโถว พรุ่งนี้ข้าจะจากเมืองชิงหยวนไปแล้ว ต่อไปหากเจ้ามีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจอะไร ก็ให้มาหาเถ้าแก่เฉิน หรือหากเถ้าแก่เฉินช่วยเจ้าไม่ได้ ก็ฝากเถ้าแก่เฉินส่งจดหมายมาให้ข้า ขอเพียงข้าช่วยได้ ข้าจะช่วยเจ้าอย่างแน่นอน”
ไป๋จื่ออมยิ้ม พลางพยักหน้า “เจ้าค่ะ ขอบคุณพี่เมิ่งมาก”
จากนั้นเมิ่งหนานก็ถอนใจเสียงหนึ่ง แล้วกล่าวอีกว่า “พรุ่งนี้ไม่ต้องมาส่งข้าหรอก ข้าไม่ชอบการจากลาสักเท่าไร”
เด็กสาวพยักหน้าอีกครั้ง “ตกลงเจ้าค่ะ”
ตกลง? นางพูดคำว่าตกลงอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด ช่างเป็นเด็กที่ใจแข็งเสียจริง
เมิ่งหนานก็ไม่ได้พูดอะไรอีก สุดท้ายเขานำจินเสี่ยวอันจากไป
หลังจากเมิ่งหนานไปแล้ว ไป๋จื่อและหูเฟิงก็บอกลาเถ้าแก่เฉิน
ฝ่ายเถ้าแก่เฉินไม่อาจทนมองท่าทีของเมิ่งหนานได้จริงๆ ครั้นเห็นไป๋จื่อออกจากร้านอาหาร และกำลังจะขึ้นรถม้าไป ในที่สุดเขาก็ถลันเข้าไปหานาง เรียกนางไว้ “แม่นางไป๋ ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า”
ไป๋จื่อชักเท้าที่เพิ่งยกขึ้นกลับมา แล้วหมุนกายไปเผชิญหน้ากับเถ้าแก่เฉิน “เถ้าแก่เฉินอยากถามอะไรหรือเจ้าคะ”
“เจ้าไม่อยากไปเมืองหลวงกับใต้เท้าเมิ่งจริงหรือ” เถ้าแก่เฉินถาม
คิ้วได้รูปสวยของไป๋จื่อเลิกขึ้นเล็กน้อย นางยิ้มพลางถามกลับไปว่า “คำพูดนี้เถ้าแก่เฉินถามข้าเอง หรือเมิ่งหนานฝากท่านมาถามข้าเจ้าคะ”
เขารีบกล่าว “ข้าถามเจ้าเอง ใต้เท้าเมิ่งไม่รู้”
ไป๋จื่อพยักหน้า กล่าวเสียงเรียบ “เถ้าแก่เฉิน ในเมื่อท่านถามเช่นนี้ ข้าก็จะขอย้อนถามท่านสักคำ หากท่านเป็นข้า ท่านจะทำอย่างไร”
หากเขาเป็นนาง?
เถ้าแก่เฉินพิจารณาเด็กสาวตรงหน้า ผู้ที่มีอายุเพียงสิบสองสิบสามปีเท่านั้น ไม่ว่าจะฉลาดหลักแหลมเพียงใดก็สลัดภาพลักษณ์ของเด็กสาวชาวนาไปไม่ได้ หากนางไปเมืองหลวงกับเมิ่งหนานจริง ต่อไปนางจะมีสภาพเช่นไร
เมืองหลวงไม่เหมือนเมืองชิงหยวน ด้วยไป๋จื่อยากจน ไม่มีฐานะหรือผู้ใดอยู่เบื้องหลัง ทั้งยังไม่มีที่พึ่งพิงที่ไว้ใจได้ แล้วนางจะลงหลักปักฐานได้อย่างไร
อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องอื่นเลย สามนางหกแม่[1]ของสกุลเมิ่งเหล่านั้น เพียงแค่ฝีปากก็เพียงพอจะทำให้นางอับจนหนทางแล้ว เหตุใดนางต้องทิ้งชีวิตอิสระเสรีในเมืองชิงหยวน ไปรับชะตากรรมเลวร้ายเช่นนั้นในเมืองหลวงด้วย
อีกอย่าง นางเหมือนจะไม่ได้มีความรู้สึกลึกซึ้งระหว่างชายหญิงใดให้กับเมิ่งหนาน
กลับเป็นหูเฟิงผู้เงียบขรึม ไม่ชอบพูดจาข้างกายนาง ที่ดูเหมือนจะมีความเข้าใจลึกซึ้งต่อกันอยู่หลายส่วน
เถ้าแก่เฉินยิ้มกว้าง “ข้าเข้าใจความหมายของแม่นางไป๋แล้ว เจ้าเลือกถูกต้องแล้ว หากข้าเป็นเจ้า ข้าก็จะเลือกเช่นเดียวกับเจ้า”
ไป๋จื่อยิ้มจางๆ ก่อนจะหมุนกายขึ้นรถม้าไป แล้วหายไปจากถนนสายยาวเหยียดพร้อมกับหูเฟิง
หูเฟิงมองออกว่านางอารมณ์ดีทีเดียว ตอนที่เขาบังคับรถม้า มุมปากของเขามีรอยยิ้มเล็กๆ อยู่ตลอด
“นายท่านดูสิ นางไม่ใช่ชายหนุ่มที่ใช้กำลังต่อหน้านายท่านเมื่อวานหรือ” บุรุษฝีปากกล้าคนหนึ่งชี้ไปยังรถม้าที่ห่างออกไปเรื่อยๆ “เด็กสาวปากดีคนเมื่อวานก็อยู่ด้วย เป็นเขาไม่ผิดแน่”
เถ้าแก่เฉียนช้อนสายตามองไป เป็นชายหนุ่มคนนั้นจริงดังว่า ถึงแม้ตอนนั้นเขาจะไม่ได้พิจารณาอีกฝ่าอย่างละเอียด แต่หน้าตาของบุรุษเช่นเขา ไหนเลยจะลืมได้ง่ายๆ ภายในเวลาอันสั้น หลังจากมองแค่ครั้งเดียวกัน
……….
ตอนที่ 270 ท้องผูก
เถ้าแก่เฉียนแค่นหัวเราะเสียงเย็น “ตามไป สืบความจริงของพวกเขาสักหน่อย”
เขามีอายุจนปูนนี้แล้ว แต่ไม่เคยต้องเสียเปรียบเช่นนี้มาก่อน ความโกรธเคืองในครั้งนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องระบายออกไปให้ได้
รถม้าอ้อมไปถึงเส้นทางบนหุบเขา เคลื่อนตัวไปบนเส้นทางดินเลยที่ไม่รับว่าราบเรียบเป็นพิเศษ ส่วนไป๋จื่อกำลังง่วงหงาวหาวนอน
จู่ๆ รถม้าก็หยุดลง ความเฉื่อยทำให้ร่างกายของนางเสียสมดุล เกือบจะหน้าคว่ำเลยทีเดียว
“ถึงแล้วหรือ” นางลืมตากึ่งหนึ่งมองออกไปนอกตัวรถ แต่กลับเห็นรถม้าหยุดอยู่ระหว่างทาง ทั้งสองฟากฝั่งล้วนเป็นที่นา ส่วนหมู่บ้านหวงถัวอยู่ไกลออกไปสุดสายตา
หูเฟิงลงจากรถไปแล้ว ตอนนี้ไม่รู้ว่าเขาหายไปไหน
ไป๋จื่อบ่นอยู่ในใจ ‘เขาไปปลดทุกข์หรือ ไม่เช่นนั้นเหตุใดถึงจอดรถม้าไว้ที่นี่’
นางจึงไม่ได้ลงจากรถม้า ด้วยกลัวว่าจะเห็นอะไรที่ไม่สมควรเห็นเข้า
หลังจากรออยู่พักหนึ่ง หูเฟิงก็กลับมา บนหน้าผากมีเหงื่อเม็ดละเอียดซึมออกมาด้วย นางรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากอกเสื้อ แล้วยื่นให้เขา “เช็ดสักหน่อยเถอะ ดูสิเจ้าเหงื่อแตกเต็มหน้าแล้ว หรือช่วงนี้จะกินเนื้อสัตว์เยอะเกินไป เจ้าถึงได้ท้องผูกเช่นนี้”
หูเฟิงมองตาขวางใส่นาง “เจ้าพูดมั่วอะไร เป็นสาวเป็นนาง ช่างกล้าพูดจาตรงไปตรงมาเสียจริง”
ไป๋จื่อยักไหล่ “ก็แค่เป็นห่วงเจ้าตามหลักความเป็นมนุษย์เท่านั้น ท้องผูกไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร หลายๆ คนล้วนมีความกลัดกลุ้มเหมือนกับเจ้า ข้าเป็นหมอ ย่อมรู้วิธีรักษาอาการท้องผูกได้โดยเร็ว หากเจ้าต้องการ ข้าจะ…”
ชายหนุ่มพูดดักคอนางในทันที “เมื่อครู่มีคนตามพวกเรามา”
“เจ้าว่าอะไรนะ” ไป๋จื่อชะงัก
“มีคนตามพวกเรามา ทีแรกข้าคิดว่าเป็นเพียงคนที่ร่วมเส้นทางกันเท่านั้น แต่ตลอดทางมานี้ คนผู้นั้นขี่ม้า ว่ากันตามตรงแล้วฝีเท้าควรจะเร็วกว่าพวกเรา แต่เขากลับอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลพวกเราโดยตลอด ข้าจงใจเดินทางอ้อมเล็กน้อย เส้นทางนั้นมีคนสัญจรน้อยนัก แต่เขากลับตามพวกเรามาตลอดทาง ข้าจึงแน่ใจว่าเขากำลังตามพวกเรามา”
ไป๋จื่อไม่เข้าใจ “คนผู้นั้นเป็นใคร เหตุใดต้องตามพวกเรามาด้วย”
หูเฟิงส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เมื่อครู่ข้าคิดจะเข้าไปถามเขาให้ได้ความ แต่เขาเห็นข้าลงจากรถตั้งแต่ไกลแล้ว จึงกลับหลังหันไปในทันที ข้าไม่อาจตามทัน”
“ไร้สาระ เขาขี่ม้า เจ้ามีแค่สองขา ตามทันก็แปลกแล้ว” ไป๋จื่อกล่าวต่อทันควัน
ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ก่อนที่เขาจะพูดเสียงเรียบ “ช่วงนี้เจ้าระต้องระวังตัวให้มากหน่อย อย่าออกไปไหนมาไหนตามลำพัง ไม่ว่าจะไปที่ใดล้วนต้องบอกข้า”
ไป๋จื่อยิ้มกริ่ม “ไปห้องสุขาก็ต้องรายงานเจ้าใช่หรือไม่”
หูเฟิงกลอกตาขาวใส่นาง “เจ้าเป็นสตรี แต่พูดจาเหมือนกับบุรุษก็ไม่ปาน” แม้จะพูดเช่นนั้น แต่บนใบหน้าของเขากลับมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมา
“ไป” รถม้าเคลื่อนไปข้างหน้า มุ่งหน้าสู่หมู่บ้านหวงถัว
บุรุษที่เดิมทีตามมาแต่ไกล บัดนี้เขาเดินออกมาจากต้นไม้เก่าแก่ที่ตนซ่อนตัว หลังจากเห็นรถม้าเข้าไปในหมู่บ้านหวงถัวกับตาตนเองแล้ว เขาถึงจะจากไปด้วยความพึงพอใจ
เมื่อรถม้าเข้าไปในหมู่บ้าน ตอนที่ผ่านสกุลไป๋ พวกเขาพบหมอลู่ออกมาจากในลานบ้านสกุลไป๋พอดิบพอดี ในมือของเขาถือล่วมยาใบหนึ่งด้วย
หมอลู่ทักทายหูเฟิงและไป๋จื่อ “พวกเจ้ากลับมาแล้ว ขายแตงดินเรียบร้อยแล้วหรือ”
แม้หมอลู่จะไม่ค่อยได้เจอพวกเขานัก แต่เรื่องที่เกี่ยวกับพวกเขา เขาล้วนได้ยินข่าวใหม่ในทุกวันอยู่แล้ว
หูเฟิงและไป๋จื่อในตอนนี้กลายเป็นคนมีชื่อเสียงของหมู่บ้านไปโดยปริยาย ทุกการกระทำล้วนได้รับความสนใจ
ไป๋จื่อลอดออกมาจากในตัวรถ แล้วกล่าวกับหมอลู่ว่า “ขายได้ไม่เลวเลยเจ้าค่ะ แล้วเหตุใดท่านมาอยู่ที่นี่เล่า สกุลไป๋มีใครป่วยหรือ”
ท่านหมอลู่โบกมือ “ไม่ได้มีใครป่วยหรอก เจ้าใหญ่ล้มขาหักต่างหาก เขานี่จริงๆ เลย แขนสองข้างเพิ่งหายดีไม่นาน ขาก็มาหักอีกเช่นนี้ ดูท่างานในที่นาในปีนี้ เขาคงจะไม่สามารถทำได้แม้สักนิดเดียว”
[1] สามนางหกแม่ หมายถึง อาชีพต่างๆ ของสตรีในยุคโบราณของจีน ส่วนในปัจจุบันจะหมายถึงผู้หญิงในสังคมเมือง