คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา – ตอนที่ 339 หนึ่งบ้านเก็บเกี่ยวหนึ่งหมู่ ตอนที่ 340 ไป๋เสี่ยวเฟิง

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

ตอนที่ 339 หนึ่งบ้านเก็บเกี่ยวหนึ่งหมู่

จางซื่อที่อยู่ข้างๆ โยนผักในมือทิ้ง ยืดตัวตรงเดินไปถึงด้านข้างสามี กล่าวต่อว่า “สะใภ้ใหญ่ หลายวันมานี้ฟู่กุ้ยของข้าไม่ค่อยสบายเช่นกัน กลัวว่าจะทำไร่นาไม่ไหว” ขณะพูดก็ชำเลืองมองไปทางเจ้ารองครั้งหนึ่ง

เจ้ารองรู้กัน เขายื่นมือทาบหน้าอก “วันนี้ข้าเองก็เดินตลอดทั้งวัน รู้สึกไม่ค่อยสบาย อึดอัดหน้าอกจนรู้สึกทรมาน เกรงว่าพรุ่งนี้คงทำไร่นาไม่ไหว”

หญิงชราได้ยินเข้าก็มีน้ำโห “เช่นนั้นไม่ได้หรอก ทำเสียวันนี้แหละ ขืนเสียวันอากาศดีๆ เช่นนี้ไป ยืดเยื้อออกไปอีกหลายวันแล้วมีฝนตกขึ้นมา เช่นนั้นก็ลำบากแล้ว”

เจ้ารองลูบหน้าอกพลางกล่าว “แต่ข้ารู้สึกไม่สบายจริงๆ ถึงแม้จะไปที่ดินแล้ว ก็คงทำงานอะไรไม่ไหว”

หลิวซื่อรีบกล่าว “น้องรอง เมื่อครู่ตอนออกจากบ้านเจ้ายังดีๆ อยู่เลย เหตุใดพอพูดว่าจะลงดินทำงาน ก็เจ็บหน้าอกขึ้นมาเสียอย่างนั้น”

จางซื่อแค่นหัวเราะ “แล้วไม่ได้หรือ ตอนที่กินข้าวกลางวัน ข้าเห็นฟู่กุ้ยก็ยังสบายดีอยู่เช่นกัน คนอื่นกินข้าวถ้วยเดียว ส่วนเขากินข้าวตั้งสองถ้วย ฟู่กุ้ยกินไม่อิ่ม อยากจะตักจากถ้วยของเขาสักสองคำ เขากลับต่อว่าฟู่กุ้ยเสียงดัง พวกเจ้าเองก็ได้ยิน เหมือนคนป่วยหรือไม่เล่า เกิดอะไรขึ้น ไม่เห็นหน้าแค่ไม่เท่าไร เขาก็ป่วยจนลงที่นาทำงานไม่ได้แล้วรึ เขาป่วยได้ แล้วไยคนอื่นจะป่วยบ้างไม่ได้”

หลิวซื่อมองตาขวาง ชี้หน้าจางซื่อ “จางซูเหมย เจ้าหมายความว่าอย่างไร เจ้าจะบอกว่าต้าเป่าของข้าแกล้งป่วยรึ”

จางซื่อแค่นหัวเราะอีกครั้ง แล้วยื่นมือไปดันนิ้วของหลิวซื่อออก กล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าไม่ได้พูดเช่นนั้น ข้าเพียงอยากบอกเจ้าว่า บุตรชายของเจ้าคิดอยากจะป่วยก็ป่วยได้ บุตรชายและสามีของข้าก็ทำเช่นนั้นได้เหมือนกัน อย่าเห็นว่าคนอื่นเป็นคนโง่ ส่วนเจ้ามีสมองอยู่คนเดียวสิ”

สีหน้าของหญิงชราเปลี่ยนไปแล้ว ในใจนางลำเอียงไปทางบ้านใหญ่ เอ็นดูหลานชายทั้งสองคนของบ้านใหญ่เป็นที่สุด ย่อมรู้ดีว่าต้าเป่าแกล้งป่วย จึงคิดแผนการเอาไว้แล้ว ทว่าตอนนี้บ้านรองไม่ยอมแพ้ แล้วนางจะทำอะไรได้

“เช่นนั้นพวกเจ้าว่าควรทำอย่างไรกับที่ดินสองหมู่ ไม่เก็บเกี่ยวหรือ หากไม่เก็บเกี่ยว ฤดูหนาวปีนี้ก็ต้องกินลมตะวันตกเฉียงเหนือกันทั้งหมด”

“ไม่ใช่ไม่เก็บเกี่ยว ทว่าต้องแบ่งกันเก็บเกี่ยวอย่างยุติธรรม บ้านใหญ่มีสี่คน บ้านรองมีสี่คน พอดีเลย บ้านหนึ่งเก็บเกี่ยวหนึ่งหมู่ ไม่มีใครเอาเปรียบใคร” จางซื่อกล่าว

หลิวซื่อพลันพูดด้วยความร้อนใจ “เช่นนั้นได้อย่างไร ขาของเจ้าใหญ่ยังไม่หายดี เขาลงดินทำงานไม่ได้ แล้วจะเก็บเกี่ยวอย่างไร”

จางซื่อมองหลิวซื่ออย่างเย็นชา ซ่อนความดูถูกในแววตาไว้ไม่มิด “เรื่องนั้นข้าไม่สนหรอก เจ้ายังมีบุตรชายอีกสองคนไม่ใช่หรือ แต่ละคนตัวสูงใหญ่อย่างกับม้า หรือคิดจะเลี้ยงให้หมกตัวอยู่ในบ้านอย่างกับคุณหนู”

หลิวซื่อโมโหจนกระทืบเท้า ชี้หน้าต่อว่าจางซื่ออีก “ชั่วช้านัก พูดมั่วอะไรของเจ้า เจ้าต่างหากที่เลี้ยงลูกชายเหมือนกับคุณหนู ต้าเป่าของข้าแต่ไหนแต่ไรไม่เคยกินแรง ทว่าเจออากาศร้อนๆ เข้าจึงไข้ขึ้น เสี่ยวเฟิงก็ต้องเรียนหนังสือ จะลงนาทำงานได้อย่างไร ต่อไปเสี่ยวเฟิงจะต้องเป็นขุนนาง เจ้าพูดจาสกปรกเช่นนี้ ระวังวันหน้าเขาจะจับเจ้าเข้าคุก”

จางซื่อหัวเราะเสียงดัง “ไอ้หยา ข้ากลัวเสียเหลือเกิน ไม่รู้เหมือนกันว่าครั้งนี้เสี่ยวเฟิงของเจ้าจะสอบได้ลำดับที่เท่าไร หากเขาอยากเป็นขุนนางตำแหน่งใหญ่ เช่นนั้นก็ต้องเป็นลำดับที่หนึ่งกระมัง”

หลิวซื่อตะลึงตาค้าง นางไม่รู้ว่าสอบแล้วยังต้องจัดลำดับด้วย เพราะเสี่ยวเฟิงไม่เคยพูดถึงมาก่อน นางเองก็ไม่เคยถามเขาเช่นกัน ว่าสอบจอหงวนมีการจัดลำดับอะไรหรือไม่

นางเชิดหน้า พลางตะคอกใส่จางซื่อ “ด้วยพรสวรรค์ของเสี่ยวเฟิง ย่อมได้ลำดับที่หนึ่งสิ เรื่องนี้แน่นอนอยู่แล้ว”

เดิมทีจางซื่อไม่อยากมีเรื่องกับนาง ทว่าเมื่อพูดกันมาถึงตรงนี้แล้ว หากไม่จู่โจมออกไปสักครั้ง นางก็คงจะกลั้นความโมโหนี้เอาไว้ไม่ได้จริงๆ

“ลำดับที่หนึ่งจริงๆ นั่นแหละ แต่ลำดับนี้อาจจะกลับตาลปัตรก็ได้”

หลิวซื่องงงัน “เจ้าหมายความว่าอย่างไร อะไรกลับตาลปัตร”

……….

ตอนที่ 340 ไป๋เสี่ยวเฟิงสอบได้ลำดับที่เท่าไร

เจ้ารองที่นั่งฟังอยู่บนเก้าอี้ชอบใจนัก เขากล่าวเสริม “สะใภ้ใหญ่ ยังฟังไม่เข้าใจอีกหรือ ลำดับที่หนึ่งกลับตาลปัตร ก็เป็นลำดับสุดท้ายอย่างไรเล่า!”

สีหน้าของหลิวซื่อหม่นลงในทันที ส่ายหน้าพลางโบกมือ “เป็นไปไม่ได้ เสี่ยวเฟิงของข้าเฉลียวฉลาดนัก เวลาเรียนหนังสือก็ขยันขันแข็ง จะสอบได้ลำดับสุดท้ายได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ถึงแม้ไม่ใช่ลำดับที่หนึ่ง แต่ในสามลำดับแรกจะต้องมีเสี่ยวเฟิงของข้าอย่างแน่นอน”

จางซื่อรู้ดีว่านางไม่มีทางเชื่อ “เจ้าจะไม่เชื่อข้าก็ได้ เสี่ยวเฟิงอยู่ในเรือน เจ้าไปถามเขาดูสักหน่อยก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ สะใภ้ใหญ่ คนหมู่บ้านหวงถัวที่ไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนไม่ได้มีแค่เสี่ยวเฟิง ยังมีอีกตั้งหลายคน ผลสอบของเสี่ยวเฟิงเป็นอย่างไร ทั่วทั้งหมู่บ้านล้วนรู้ เกรงว่ามีแต่เจ้าเองที่ไม่รู้กระมัง!”

หลิวซื่อชี้หน้าต่อว่าจางซื่อด้วยความโกรธขึ้งสุดขีด “เจ้าอย่าหนีนะ เก่งจริงก็อย่าหนี ข้าจะให้เสี่ยวเฟิงมาโต้กับจ้าเดี๋ยวนี้ หากไม่ใช่ลำดับสุดท้าย คอยดูข้าฉีกปากของเจ้าได้เลย”

ไหนเลยจางซื่อจะกลัว แต่ไหนแต่ไรหลิวซื่อก็เป็นเหมือนไก่ตัวผู้ เอาแต่ร้องเท่านั้น หากลงมือขึ้นมาจริงๆ ก็มีแต่จะส่งเสียงร้องจริงๆ จะไปชนะใครได้อย่างไร!

“ตกลง เจ้าไปเรียกเขามา ถามเขาต่อหน้าทุกคน ว่าแท้จริงแล้วสอบครั้งนี้เขาได้ลำดับที่เท่าไร”

หลิวซื่อรีบร้อนวิ่งเข้าไปในเรือน ใจในทั้งโมโห ทั้งกังวล เสี่ยวเฟิงเป็นความหวังเดียวของนาง หากนางอยากมีชีวิตที่ดีในอีกครึ่งชีวิตที่เหลือ ก็ต้องหวังพึ่งเสี่ยวเฟิงแล้ว

หญิงชรารอหลิวซื่อเข้าไปในเรือนแล้ว ก็ถามจางซื่อทันที “เจ้าได้ยินคำพูดเหล่านี้มาจากที่ใด”

“ทั่วทั้งหมู่บ้านล้วนรู้แล้ว บุตรชายของท่านหมอลู่ ลู่ผิงอันสอบได้ลำดับที่หนึ่ง บุตรชายคนเล็กของซ่งเหล่าซานสอบได้ลำดับที่สาม ส่วนบุตรชายของสกุลจ้าวที่ใครต่อใครต่างก็ดูถูกสอบได้ลำดับที่เก้า คนในโรงเรียนที่เข้าร่วมการสอบมีทั้งหมดสามสิบสามคน ทว่าไป๋เสี่ยวเฟิงของสกุลเราสอบได้ลำดับที่สามสิบสามพอดี”

สีหน้าของหญิงชราไม่น่ามองขึ้นเรื่อยๆ จางซื่อพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ ให้ตายอย่างไรก็เชื่อข่าวลือเช่นนี้

บัดนี้หลิวซื่อจูงมือไป๋เสี่ยวเฟิงที่มีดวงตาเหม่อลอยออกมาแล้ว เขาดูไม่สดใสอย่างเห็นได้ชัด ครั้นเข้ามาในลานบ้านแล้วก็สะบัดมือผู้เป็นมารดาทิ้งในทันที กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ทำอะไร เหตุใดไม่ให้ข้านอน”

หลิวซื่อชี้ไปยังจางซื่อ “น้าสะใภ้รองของเจ้าบอกว่าเจ้าสอบได้ลำดับสุดท้าย เจ้าบอกกับนางสิ ว่าแท้จริงแล้วเจ้าสอบได้ลำดับที่เท่าไร”

ความง่วงในแววตาของไป๋เสี่ยวเฟิงหายไปทันใด เขาขมวดคิ้วมองจางซื่อ “สะใภ้รอง ท่านได้ยินใครพูดมา”

จางซื่อยักไหล่ “ข้าได้ยินตอนไปซักผ้าที่ริมแม่น้ำ ทุกคนล้วนพูดกันเช่นนี้ หรือว่าไม่ใช่”

ไป๋เสี่ยวเฟิงมองหลิวซื่อที่มีสีหน้าร้อนใจ แล้วมองท่านย่าที่มีสีหน้าลำบากใจ ก่อนจะกัดฟันพูดว่า “แน่นอนว่าไม่ใช่ ข้าจะสอบได้ลำดับสุดท้ายได้อย่างไร”

หลิวซื่อพลันถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วพูดด้วยความดีใจ “ข้ารู้อยู่แล้วว่าลูกชายของข้าเป็นคนเก่ง เจ้าบอกนางสิ ครั้งนี้เจ้าสอบได้ลำดับที่เท่าไร”

ไป๋เสี่ยวเฟิงกระแอม ยิ้มเจื่อนๆ “แม้จะสอบไม่ได้ลำดับที่หนึ่ง แต่ก็สอบได้ลำดับที่สาม ต้องโทษที่ข้าพักผ่อนไม่เพียงพอ ตอนสอบรู้สึกเหนื่อยล้านัก ไม่เช่นนั้นจะต้องเป็นลำดับที่หนึ่งแน่ น่าเสียดายจริงๆ”

หลิวซื่อรีบจับมือของบุตรชาย “เหตุใดถึงพักผ่อนไม่เพียงพอเล่า เพราะหิวตอนกลางคืนใช่หรือไม่ หิวจนนอนไม่หลับเลยสินะ หรือว่าเจ้าร้อน”

“ช่วงนี้ไม่ได้กินข้าวอิ่มสักมื้อ ตกกลางคืนข้าหิวจนกระวนกระวายใจ ทุกครั้งที่หิวจนตื่นขึ้นมาก็จะนอนไม่หลับอีก” ไป๋เสี่ยวเฟิงยิ้มกล่าว

หลิวซื่อขอบตาแดงก่ำทันควัน จับมือไป๋เสี่ยวเฟิงไว้ไม่ยอมปล่อย พูดเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ต้องโทษแม่ ต้องโทษแม่ที่ไม่เอาไหน แม้แต่ข้าวก็หาให้เจ้ากินอิ่มไม่ได้”

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

Status: Ongoing
จู่ๆ แพทย์หญิงยอดฝีมือจากยุคปัจจุบัน ดันตื่นขึ้นมาในร่างของเด็กสาวชาวบ้านยุคโบราณที่ถูกย่าและป้าสะใภ้ตีจนตายทั้งเป็นครั้นรอดชีวิตมาได้ ก็ถูกโขกสับไม่ต่างกับสาวใช้ในบ้าน ทั้งยังจะถูกจับขายแลกเงินให้แต่งกับบุรุษอายุคราวพ่อแต่ไป๋จื่อคนใหม่นี้จะไม่ปล่อยให้พวกนางใช้งานข่มเหงรังแกได้ตามใจชอบอีกต่อไปแล้วให้ตายอย่างไรก็ต้องออกจากบ้านที่เหมือนกับขุมนรกแห่งนี้ไปให้ได้ จึงตัดสินใจสร้างอุบายทำให้ตนเองเสียชื่อเพื่อแยกบ้านกับเหล่าคนสกุลไป๋ได้อย่างสมบูรณ์ เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ เพื่อให้มีข้าวกินอิ่มท้องสักมื้อหญิงสาวที่เคยมีชื่อเสียงไปทั่วทั้งประเทศในยุคปัจจุบันต้องถกแขนเสื้อทำไร่ทำนา ใช้วิชาแพทย์แผนปัจจุบันรักษาคนไข้และจัดการกับเหล่าคนในหมู่บ้านที่เข้ามาเอารัดเอาเปรียบนางด้วยแต่ขณะเดียวกัน… ก็ต้องรักษาโรคความจำเสื่อมให้ชายหนุ่มกล้ามโตขี้น้อยใจอีก!เดิมทีคิดจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุข หาเช้ากินค่ำ เลี้ยงชีพให้ตนและท่านแม่มีชีวิตที่ดีแต่ความหวังพรรค์นั้นน่าจะไม่มีทางเป็นจริงได้ หนทางข้างหน้าไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเอาเสียเลย!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท