คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา – ตอนที่ 351 ปล่อยข้าลง ตอนที่ 352 เป็นพี่น้องกับหูเฟิงหรือ

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

ตอนที่ 351 ปล่อยข้าลง

นางหลับตาพลางส่งเสียงร้อง คิดว่าต้องตกลงไปเจ็บแทบตายแน่ แต่ใครจะรู้ว่านางกลับตกลงสู่แผ่นอกกว้างและอบอุ่นของใครบางคนเข้า

เมื่อลืมตาขึ้น นางมองเห็นไฟโทสะวาวโรจน์ในดวงตาคู่งาม ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น ราวกับว่าเมื่ออ้าปากแล้ว เขาจะพ่นไฟแห่งความโกรธเกรี้ยวนั้นออกมาด้วย “แหะๆ…เจ้ามาได้ทันเวลาจริงๆ เจ้าคำนวณไว้แล้วว่าข้าจะพบเจออันตราย จึงมาปรากฏตัวอย่างพอเหมาะพอเจาะ เป็นวีรบุรุษช่วยหญิงงามใช่หรือไม่”

หูเฟิงกล่าวด้วยความโมโห “เจ้ายังมีอารมณ์มาล้อเล่นกับข้าอีกรึ เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากเมื่อครู่ข้ามาช้าไปเค่อเดียว ไม่สิ ช้าไปแค่อึกใจเดียวเท่านั้น เจ้าอาจจะตายไปแล้วก็ได้”

ไป๋จื่อมองหูเฟิงยิ้มๆ “แต่เจ้าก็ไม่ได้มาช้าไป ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นที่พึ่งพิงให้ข้าได้ มีเจ้าอยู่ ถึงแม้ข้าจะตกลงมาจากก้อนเมฆ เจ้าก็จะต้องรับข้าได้อย่างแน่นอน” หากไม่ตีก้นม้าเวลานี้ แล้วจะรอเวลาไหนกัน

ชายหนุ่มถลึงตามองนางอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็ถอนใจออกมา แล้ววางนางลง

“อย่าให้มีครั้งหน้าอีกก็แล้วกัน”

ไป๋จื่อยืดตัวตรง เหมือนทหารรับคำสั่งในทันที “รับทราบ!”

ท่าทางเย้าหยอกของนางพาให้อารมณ์โมโหในใจของเขาหายไปมากกว่าครึ่ง “เอาล่ะ กลับกันเถอะ”

ทว่าไป๋จื่อไม่ยอมไป นางชี้ไปยังผลหงกั่วที่อยู่บนต้นไม้เหล่านั้น “ยังไม่ได้เก็บผลหงกั่วเลย”

หูเฟิงมุ่นคิ้ว “เจ้าเกือบจะไม่รอดอยู่แล้ว ยังคิดถึงผลหงกั่วอยู่อีก? มันอร่อยขนาดนั้นเลยหรือไร”

ไป๋จื่อส่ายหน้า รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ จางหายไป ในดวงตาที่เดิมทีมีความสดใส บัดนี้มีความเศร้าโศกเพิ่มขึ้นมา “ข้าไม่อยากทำให้หรูเอ๋อร์ผิดหวัง เรื่องที่รับปากนางไว้แล้ว แน่นอนว่าต้องทำให้ได้ ในสายตาของนาง พวกเราเป็นผู้ใหญ่แล้ว และคำพูดย่อมต้องเป็นคำพูด ไม่เช่นนั้นต่อไปนางก็จะไม่เชื่อพวกเราอีก”

นางเติบโตผ่านวัยเด็กท่ามกลางการทอดทิ้งและการผิดคำสัญญา นางรู้จักความรู้สึกนั้นดี ความรู้สึกคาดหวังต่อสิ่งใดมากๆ แต่สุดท้ายมันก็แหลกสลายไปในที่สุด

หูเฟิงมองนาง มองความเสียใจที่พลันปรากฏขึ้นมาในแววตาของนาง เขาไม่รู้ว่าเบื้องหลังความเสียใจเหล่านี้มีเรื่องร้ายอะไร และไม่รู้ว่าควรจะปลอบใจนางอย่างไร ที่ทำได้ในเวลานี้มีเพียงช่วยเติมเต็มความปรารถนาของนางด้วยตนเอง ขจัดความโศกเศร้าในดวงตาของนางทิ้งไปเสีย

เขาส่งกระบอกไม้ไผ่ให้นาง “เจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าจะไปเก็บเอง”

นางเงยหน้ามองต้นหงกั่วที่สูงลิ่ว แสงอาทิตย์ลอดผ่านช่องใบไม้มา แยงตาเสียจนลืมตาไม่ขึ้น แต่ก็ยังมองเห็นผลไม้สีแดงสดส่ายไหวเพราะต้องลมบนยอดต้นไม้อยู่รางๆ

“ไม่รู้ว่างูตัวนั้นยังอยู่หรือไม่ เจ้าขึ้นไปอันตรายนัก พวกเราไปหากระบอกไม้ไผ่มาใหม่ดีกว่า สองท่อนต่อกันอาจจะสูงพอก็ได้”

หูเฟิงก็เงยหน้ามองผลหงกั่วที่อยู่บนยอดต้นไม้เช่นกัน เขากล่าวเสียงเรียบ “ไม่ต้องหรอก” ครั้นกล่าวจบ เขาก็ย่อตัวกระโจนไปทางลำต้นไม้ ปลายเท้าแตะบนลำต้นท่อนแรกเบาๆ ร่างกายเหยียดตรงพุ่งขึ้น ผ่านลำต้นท่อนที่สองไปอย่างง่ายดาย เมื่อเขาแตะปลายเท้ากับลำต้นอีกครั้ง แค่พริบตาเดียวเขาก็ยืนอยู่บนลำต้นท่อนสุดท้ายได้อย่างมั่นคงแล้ว และเพิ่งจะยืนได้มั่นคงไม่เท่าไร เขาก็พลันพลิกมือออกมากำเป็นหมัด ลมจากหมัดอันแข็งแกร่งพัดไปยังกิ่งไม้ที่มีผลหงกั่วขึ้นอยู่จนเต็ม ส่งผลให้กิ่งไม้นั้นหัก ตกลงเบื้องล่างในทันใด

จากนั้นเขาก็กระโดดตามลงไป ยืนอย่างมั่นคงตรงหน้าไป๋จื่ออย่างโดยพลัน

กระบวนการนี้ใช้เวลาไม่ถึงสามสิบวินาทีด้วยซ้ำ

“เจ้าหักมาทั้งกิ่งได้อย่างไร ไร้มนุษยธรรมเกินไปแล้ว!” แม้ปากจะพูดออกมาเช่นนั้น แต่บนใบหน้ากลับคลั่ยิ้มเบิกบานใจ ผลหงกั่วเหล่านี้ทั้งใหญ่ ทั้งเงางาม เติบโตบนยอดต้นไม้ ได้อาบแสงอาทิตย์เป็นเวลานาน ย่อมต้องเป็นผลหงกั่วที่ดีที่สุดบนต้นอย่างแน่นอน

หูเฟิงเก็บกิ่งไม้ขึ้นจากบนฟื้น แล้วหยิบงูตายตัวหนึ่งออกมาจากใบไม้กลุ่มหนา มันเป็นงูพิษตัวเดียวกับที่เพิ่งจู่โจมไป๋จื่อก่อนหน้านี้

เขาเห็นงูพิษตัวนี้ตั้งแต่เพิ่งขึ้นต้นไม้ จึงไม่มีทางปล่อยมันไปโดยเด็ดขาด

……….

ตอนที่ 352 เป็นพี่น้องกับหูเฟิงหรือ

“งูตัวนี้อ้วนทีเดียว เย็นนี้พวกเรากินน้ำแกงงูกันเถอะ!” ไป๋จื่อพูดกับหูเฟิง

หูเฟิงพยักหน้า “ดี!” เขาโยนงูลงบนพื้น ใช้กริชตัดหัวงูออก แล้วจึงใช้หญ้าแห้งบนพื้นมัดเป็นเชือก ผูกตัวงูส่งให้ไป๋จื่อ “เจ้าถือมันไว้ ข้าแบกกิ่งไม้เอง”

ไป๋จื่อรับเชือกหญ้ามา นางพิจารณาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะยิ้มถามว่า “ดูท่าทางสามปีมานี้เจ้าได้เรียนรู้อะไรเยอะเลยนะ แม้แต่เชือกหญ้าก็มัดเป็นด้วย”

ชายหนุ่มแบกกิ่งไม้เดินอยู่ข้างหน้า เขาไม่หันกลับไปมองนาง เพียงกล่าวเสียงเรียบว่า “สิ่งที่ควรทำได้และไม่ควรทำได้ ข้าล้วนได้เรียนรู้ทั้งหมด ในเมื่อใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ย่อมต้องปรับตัวให้เข้ากับที่นี่”

เงาหลังขณะแบกกิ่งไม้ของเขายังคงผึ่งผาย สูงใหญ่ดังเดิม แต่ในสายตาของไป๋จื่อในตอนนี้ เขากลับมีความโศกเศร้าเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน

เกิดอะไรขึ้นกับองค์ชายผู้สง่างามเช่นเขา เหตุใดเขาถึงตกมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้

เขาฟื้นความทรงจำกลับมาได้แท้ๆ แต่เหตุใดยังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังคงใช้ชีวิตเป็นชายหนุ่มธรรมดาในหมู่บ้านแห่งนี้

ตกลงแล้วเขาคิดอะไรอยู่กันแน่

หรือเขากำลังรออะไรบางอย่างอยู่

นางเร่งฝีเท้าไปข้างหน้า เดินเคียงข้างไปกับหูเฟิง หลังจากแน่ใจแล้วว่ารอบข้างไม่มีใครอื่น นางถึงจะเอ่ยปากถามว่า “เหตุใดเจ้าไม่ไปเมืองหลวง”

ฝีเท้าของหูเฟิงหยุดชะงักเล็กน้อย เขาเหล่มองนางครั้งหนึ่ง จากนั้นก็เดินต่อ แววตาที่หยั่งลึกดุจมหาสมุทรของเขาในตอนนี้ เหมือนกับมีใครโยนก้อนหินใส่ผิวน้ำทะเลที่เงียบสงบ พาให้เกิดระลอกคลื่นสาดกระเซ็น

“ไม่อยากไป!” เสียงของเขาเรียบเฉยนัก ทว่านางฟังออกว่าในสามพยางค์นี้ มีความรู้สึกต่อต้านและอึดอัดใจอยู่มากเพียงใด

ไป๋จื่อร้องอ๋อเสียงหนึ่ง แล้วถามอีกว่า “เมิ่งหนานเป็นคุณชายของสกุลเมิ่งจากเมืองหลวง เป็นลูกผู้รากมากดีเช่นเดียวกัน พวกเจ้าเคยเจอกันมาก่อนหรือไม่ แต่ข้าว่าเมิ่งหนานเหมือนจะไม่รู้จักเจ้าจริงๆ”

หูเฟิงส่ายหน้า “ไม่เคยเจอ ข้ากราบอาจารย์เรียนวรยุทธ์ตั้งแต่อายุสามขวบ ครบสิบสามปีสำเร็จวิชาถึงออกจากสำนัก ครั้นลงเขามาได้ยังไม่ถึงสามเดือนก็ถูกส่งไปปราบจลาจลที่ชายแดน เดินทางครั้งนั้นใช้เวลาถึงเจ็ดปี ในระหว่างเจ็ดปีนั้นข้าไม่เคยได้กลับเมืองหลวง อย่าว่าแต่เมิ่งหนานเลย แม้แต่พี่น้องหลายคนของข้า ข้ายังไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ”

เขาพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงหันไปถามไป๋จื่อว่า “ครั้งก่อนที่เมิ่งหนานโบยคนสกุลไป๋ พู่หยกที่อยู่บนคอของหญิงชราชิ้นนั้น เจ้าเคยเห็นหรือไม่”

ไป๋จื่อส่ายหน้า “ข้าเคยเห็นแค่ครั้งเดียวเท่านั้น” นับว่านี่เป็นความจริง นางเพิ่งเคยเห็นครั้งเดียวจริงๆ

“อืม” หูเฟิงตอบรับ

“เหตุใดจู่ๆ เจ้าถึงถามเรื่องนี้” ไป๋จื่อถามเขา

“พู่หยกเช่นนั้น ก่อนหน้านี้ข้าเคยเห็นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นสีสันหรือรูปทรงของมัน ล้วนคล้ายคลึงกันยิ่งนัก”

ไป๋จื่อพลันใจเต้นแรง รีบถาม “เจ้าเคยเห็นมันที่ไหน”

“ที่บ้านของข้า” หูเฟิงตอบ

เด็กสาวเบิกตากลมโตมองเขา “ที่บ้านเจ้า? เจ้าไม่ได้ล้อเล่นกระมัง”

หูเฟิงกวาดสายตามองนางอย่างเฉยชาครั้งหนึ่ง “เจ้าว่าข้าเหมือนกำลังล้อเล่นหรือไม่”

ไป๋จื่อมองเขาอย่างหมดคำพูด ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อ เขาก็มีพู่หยกนั่นชิ้นหนึ่งหรือ หากพู่หยกนั่นเป็นตัวแทนสถานะของคนผู้หนึ่งล่ะก็ เช่นนั้นแล้วนางเป็นพี่น้องกับหูเฟิงอย่างนั้นหรือ

พี่น้อง?

สองคำนี้เหมือนค้อนอันหนึ่ง ทุบใส่หัวใจของนางอย่างแรง

“เจ้าเป็นอะไรไป” เขาอดไม่ได้ที่จะถาม เมื่อเห็นสีหน้าของนางเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน

ไป๋จื่อกลืนน้ำลายที่ติดอยู่บริเวณคอหอยลงไป รีบถามว่า “พู่หยกนั่นหาซื้อได้ทั่วไปตามร้านค้าหรือไม่”

หูเฟิงส่ายหน้า “ไม่รู้สิ อาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้!” เขาสนใจสิ่งของนอกกายเช่นนี้น้อยนัก แม้กระทั่งลืมไปว่าที่บ้านได้พู่หยกชิ้นนั้นมาอย่างไร…

นางถามต่ออีกว่า “พู่หยกนั่นอาจจะเป็นสิ่งของแทนตัวก็ได้ เหมือนเช่นพู่หยกที่เมิ่งหนานมอบให้ข้าในวันนั้น ที่เพียงมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นของสกุลเมิ่ง เป็นของของคุณชายสกุลเมิ่ง”

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

Status: Ongoing
จู่ๆ แพทย์หญิงยอดฝีมือจากยุคปัจจุบัน ดันตื่นขึ้นมาในร่างของเด็กสาวชาวบ้านยุคโบราณที่ถูกย่าและป้าสะใภ้ตีจนตายทั้งเป็นครั้นรอดชีวิตมาได้ ก็ถูกโขกสับไม่ต่างกับสาวใช้ในบ้าน ทั้งยังจะถูกจับขายแลกเงินให้แต่งกับบุรุษอายุคราวพ่อแต่ไป๋จื่อคนใหม่นี้จะไม่ปล่อยให้พวกนางใช้งานข่มเหงรังแกได้ตามใจชอบอีกต่อไปแล้วให้ตายอย่างไรก็ต้องออกจากบ้านที่เหมือนกับขุมนรกแห่งนี้ไปให้ได้ จึงตัดสินใจสร้างอุบายทำให้ตนเองเสียชื่อเพื่อแยกบ้านกับเหล่าคนสกุลไป๋ได้อย่างสมบูรณ์ เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ เพื่อให้มีข้าวกินอิ่มท้องสักมื้อหญิงสาวที่เคยมีชื่อเสียงไปทั่วทั้งประเทศในยุคปัจจุบันต้องถกแขนเสื้อทำไร่ทำนา ใช้วิชาแพทย์แผนปัจจุบันรักษาคนไข้และจัดการกับเหล่าคนในหมู่บ้านที่เข้ามาเอารัดเอาเปรียบนางด้วยแต่ขณะเดียวกัน… ก็ต้องรักษาโรคความจำเสื่อมให้ชายหนุ่มกล้ามโตขี้น้อยใจอีก!เดิมทีคิดจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุข หาเช้ากินค่ำ เลี้ยงชีพให้ตนและท่านแม่มีชีวิตที่ดีแต่ความหวังพรรค์นั้นน่าจะไม่มีทางเป็นจริงได้ หนทางข้างหน้าไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเอาเสียเลย!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท