ตอนที่ 355 ปะทะ
ไป๋จื่อเดินออกมาจากในเรือนแล้ว นางพูดกับหัวหน้าหมู่บ้านว่า “ท่านหัวหน้าหมู่บ้านมาหรือเจ้าคะ กินข้าวแล้วหรือยัง”
หัวหน้าหมู่บ้านส่ายหน้า “ยังไม่ได้กินเลย แต่ข้าไม่รีบ ตอนนี้ยังไม่หิว พูดเรื่องของพวกเจ้าก่อนเถอะ!”
ไป๋จื่อกำลังจะพูด ทว่าเจ้าใหญ่เจี่ยกลับแย่งพูดก่อน เขาพูดเสียงดังว่า “ลูกชายของข้าไปเก็บผลหงกั่ว ไป๋จื่อก็ไปเก็บผลหงกั่วเช่นกัน ลูกชายของข้าไปเร็วกว่า ปีนขึ้นต้นไม้ไปก่อนนางก้าวหนึ่ง เมื่อเห็นว่าตงจื่อของข้าเก็บผลหงกั่วที่เหลือบนต้นไปหมดแล้ว นางก็ยื่นกระบอกไม้ไผ่ไปตีเขา จนกระทั่งเขาตกลงมากจากต้นไม้ ตกลงมาแล้วก็บาดเจ็บหนัก ถึงขั้นขาหักเลยทีเดียว ตอนนี้เขานอนพักอยู่ในบ้านแล้ว หัวหน้าหมู่บ้าน ท่านต้องตัดสินให้พวกข้านะ ตงจื่อของข้าตัวเล็กขนาดนั้น นางลงมือกับเขาเช่นนั้นได้อย่างไร! ปล่อยนางไปไม่ได้เด็ดขาด!”
หัวหน้าหมู่บ้านไม่ได้ตอบรับเขา แต่ถามไป๋จื่อว่า “เจ้าจะว่าอย่างไร”
“เรื่องเป็นอย่างนี้เจ้าค่ะ ตอนที่ข้ายังไม่ได้เข้าป่า ข้าเห็นเด็กผู้ชายสองคนวิ่งออกมาจากในป่า ข้ารู้จักเด็กผู้ชายคนหนึ่งในนั้น เขาคือลูกชายคนเล็กของบ้านหวังต้าหนิวในหมู่บ้านของพวกเรา พวกเขาวิ่งหนีไปอย่างลุกลี้ลุกลน ข้าเรียกพวกเขาไว้ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ยิน หลังจากนั้นข้าได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ จึงตามเสียงนั้นไป ก่อนจะพบว่าตงจื่อนอนอยู่ใต้ต้นหงกั่ว ขาของเขาหัก ข้อต่อที่แขนก็หลุด ข้าทนเห็นเขาเจ็บไม่ได้ จึงช่วยเขาเชื่อมข้อต่อก่อน และดามขาให้เขาอย่างง่ายๆ ตอนที่ข้าจะแบกตงจื่อออกจากป่า เจ้าใหญ่เจี่ยและภรรยาก็พาคนในหมู่บ้านมาหลายคน พวกเขากล่าวหาข้าว่าทำร้ายตงจื่อ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ถามเรื่องราวให้ชัดเจนด้วยซ้ำ ตงจื่อเองก็บอกแล้วว่าเขาตกลงมาเอง แต่พวกเขากลับไม่เชื่อ จะให้ข้ารับผิดชอบเรื่องนี้ให้ได้”
หัวหน้าหมู่บ้านคิดในใจ ‘เจ้าใหญ่เจี่ยจะไม่พูดปดได้อย่างไร เขาขึ้นชื่อว่าเป็นคนขี้เกียจ ทั้งยังเป็นอันธพาลในหมู่บ้านนี้อยู่แล้ว’
เจ้าใหญ่เจี่ยชี้หน้าต่อว่าไป๋จื่อ “เจ้าพูดมั่วให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ ตงจื่อของข้าบอกเมื่อไรว่าไม่ใช่ฝีมือเจ้า เขาบอกชัดๆ ว่าเจ้าเป็นคนทำร้ายเขา เจ้ายังกล้าเถียงข้างๆ คูๆ อยู่อีกหรือนี่”
หูเฟิงยื่นมือไปปัดนิ้วของเจ้าใหญ่เจี่ยที่ชี้หน้าไป๋จื่อออก เขากล่าวเสียงขรึมว่า “พูดจาดีๆ ขืนยังกล้ายื่นมือออกมาอีก ข้าจะทำให้เจ้าพิการเสีย”
ชายหนุ่มปัดมือของเจ้าใหญ่เจี่ยออกด้วยท่าทางสบายๆ ทว่าฝ่ายเจ้าใหญ่เจี่ยกลับรู้สึกชาที่มือ แม้กระทั่งเจ็บจนไม่อาจทนไหว
เขาถลึงตามองหูเฟิง อยากจะพูดจาต่อว่าสักสองคำ แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงแววตาเย็นชาของชายหนุ่มแล้ว ก็ต้องกลืนคำพูดเหล่านั้นกลับลงคอไป
“เอาอย่างนี้แล้วกัน ฟังจากที่พวกเจ้าพูดแล้ว ข้าเองก็เริ่มรู้สึกสับสนแล้วเหมือนกัน ไม่รู้ว่าใครเอาเปรียบใครกันแน่ สู้ให้พยานของพวกเจ้าออกมาพูดเสียดีกว่า ทุกคนเผชิญหน้ากันซึ่งๆ หน้า ข้าว่าเรื่องราวน่าจะชัดเจนกว่านี้” หัวหน้าหมู่บ้านกล่าว
ไป๋จื่อพูดขึ้นมา “เช่นนั้นดีที่สุดเจ้าค่ะ หากสะดวกล่ะก็ เรียกตงจื่อออกมาด้วยเถอะ เขาเป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ตอนที่ข้าดามขาให้เขา เขามีสติสัมปชัญญะครบถ้วน ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ดีไปมากกว่าเขาแล้ว”
หัวหน้าหมู่บ้านพยักหน้า “ตกลง จัดการตามนั้น” เขาหันไปพูดกับเจ้าใหญ่เจี่ยว่า “ตงจื่อขาหัก คงไม่สะดวกจะลงจากเตียง เจ้าไปเรียกพยานมา แล้วไปเผชิญหน้ากับที่บ้านเจ้าดีหรือไม่”
มุมปากของเจ้าใหญ่เจี่ยยกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะคลี่ยิ้มลำพองใจออกมา “ได้ ทำตามที่ท่านว่า” เผชิญหน้ารึ เขาไม่กลัวการเผชิญหน้าเป็นที่สุด เขาคัดเลือกคนที่จะมาเป็นพยานแล้วเรียบร้อย กลัวก็แต่พวกเขาไม่ยอมเผชิญหน้านี่สิ
เจ้าใหญ่เจี่ยไปเรียกคน ส่วนไป๋จื่อนำหัวหน้าหมู่บ้านเข้าไปกินข้าวในเรือน หลังจากทุกคนกินข้าวเสร็จแล้ว คราวนี้ถึงจะขนขบวนไปยังบ้านของเจ้าใหญ่เจี่ย
บ้านของเจ้าใหญ่เจี่ยตั้งอยู่ทางตะวันตกของหมู่บ้าน มีเพียงคนที่ฐานะทางบ้านยากจนข้นแค้น ถึงจะสร้างบ้านอยู่ทางตะวันตกเช่นนี้ และมีเพียงเส้นทางมุ่งหน้าสู่ทางตะวันตกของหมู่บ้านเท่านั้นที่ไม่มีถนนสัญจร มีแต่ทางขรุขระอยู่เต็มบริเวณ
……….
ตอนที่ 356 บ้านสกุลเจี่ยทางตะวันตกของหมู่บ้าน
ในหมู่บ้านหวงถัว หากครอบครัวไหนมีฐานะสักหน่อย ก็จะลงทุนซื้อที่ดินอยู่อาศัยในพื้นที่ที่ดีขึ้นมา มีฮวงจุ้ยที่ดีและติดกับถนน เมื่อใช้รถเทียมวัวลากข้าวของกลับมาย่อมสะดวกกว่า สรุปแล้วมีแต่ข้อดีทั้งสิ้น
ทางด้านตะวันตกของหมู่บ้านในเวลานี้มีอยู่เพียงสามครัวเรือน สองครอบครัวในนั้นมีเพียงคนชราที่ไม่มีลูกหลานอาศัยอยู่ ส่วนคนหนุ่มสาวที่อยู่ที่นี่มีแค่บ้านของเจ้าใหญ่เจี่ยเท่านั้น
ในลานบ้านขนาดเล็กที่รกรุงรังของเจ้าใหญ่เจี่ยมีคนยืนอยู่สองสามคน เป็นชายสามคน หญิงสองคนที่ไปยังป่าผืนเล็กกับเจ้าใหญ่เจี่ยเมื่อเช้า
ไป๋จื่อเพิ่งเข้าไปในลานบ้าน หวังต้าหนิวก็พูดกับนางเสียงดังว่า “เจ้าสินะ ตีคนแล้วไม่ยอมรับผิด จะรอให้ข้ามาชี้ตัวเจ้าให้ได้สินะ หรือเจ้าเห็นว่ามีคนในที่ว่าการอำเภอคอยถือหาง ถึงได้คิดวางท่า วางอำนาจในหมู่บ้านแห่งนี้”
หวังต้าหนิวมีความสัมพันธ์อันดีกับเจ้าใหญ่เจี่ยมาแต่ไหนแต่ไร ทั้งสองคนนับว่าเป็นคนประเภทเดียวกัน คนหนึ่งขี้เกียจตัวเป็นขน คนหนึ่งตลบตะแลงปลิ้นปล้อน เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอย่างกับสวรรค์สรรสร้างมาให้ทีเดียวเชียว
เด็กสาวไม่สนใจหวังต้าหนิว นางมองไปทางเด็กชายที่ยืนอยู่ข้างกายเขาโดยตรง เด็กชายก็มองมาที่นางเช่นกัน ก่อนที่จะรีบก้มหน้าลง ไม่กล้าสบตากับนาง
คราวนี้ไป๋จื่อถึงจะตอบรับคำของหวังต้าหนิว “ข้าแค่รอความจริงถูกเปิดเผย แต่ข้าขอเตือนพวกเจ้าสักคำนะ พูดความจริงย่อมดีที่สุด หากวางแผนจะทำเรื่องชั่วช้าเช่นการใส่ร้ายข้า ข้าไป๋จื่อไม่ใช่คนที่จะให้ใครรังแกกันง่ายๆ ฝั่งของท่านนายอำเภอก็คงไม่ปล่อยคนที่พูดโกหกไปง่ายๆ เช่นกัน”
เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนแปลงไป สตรีนางหนึ่งในนั้นยิ่งหวาดกลัวจนพูดโพล่งออกมาทันทีว่ารู้สึกไม่สบาย แล้วหมุนกายจากไปทันที
คนที่เหลือก็คิดจะหนีไปเช่นกัน แต่เจ้าใหญ่เจี่ยที่ออกมาจากในเรือนกลับบังคับรั้งเอาไว้ “มาๆ เข้ามาเผชิญหน้ากันในเรือน ลูกชายของข้าตื่นพอดี ไปพูดต่อหน้าตงจื่อให้ชัดเจนกันดีกว่า”
ในเรือนรกยิ่งกว่าในลานบ้าน ทั้งยังมีกลิ่นเหม็นเตะจมูกเป็นระลอก ฉุนยิ่งนัก
ห้องที่ตงจื่อนอนอยู่นั้น นอกจากเตียงไม้ที่ทำขึ้นเองหลังหนึ่งแล้วก็ไม่มีอะไรทั้งนั้น ตรงมุมห้องมีถังไม้วางอยู่ถังหนึ่ง กลิ่นอุจจาระหลายสายโชยออกมาจากในนั้น คนที่เข้ามาในห้องจึงต่างก็พากันขมวดคิ้ว
เจ้าใหญ่เจี่ยราวกับได้กลิ่นจนชินแล้ว จึงไม่รู้สึกทรมานใจเลยสักนิด เขาตรงไปที่ข้างเตียงของตงจื่อ แล้วกล่าวกับบุตรชายว่า “ตงจื่อ เจ้าบอกท่านหัวหน้าหมู่บ้านสิ ว่าไป๋จื่อทำร้ายเจ้าอย่างไร”
บนใบหน้าจองตงจื่อมีรอยนิ้วมือประทับอยู่ชัดเจน ตรงแก้มบวมปูด เพิ่งโดนตบมาไม่นานนี้แน่นอน
เขามองไปทางไป๋จื่อด้วยแววตาขลาดกลัว เมื่อรับรู้ได้ถึงดวงตากระจ่างและสดใสของนาง เขาก็ถอนสายตากลับไปอย่างรวดเร็ว ไม่กล้ามองนางตรงๆ
“พูดสิ…เป็นใบ้รึ” เจ้าใหญ่เจี่ยขึ้นเสียง มองบุตรชายอย่างโหดเหี้ยม
ร่างกายของตงจื่อสั่นเทา ขอบตาแดงก่ำ เขาเอ่ยปากเสียงสั่นเครือ “ชะ…ใช่ ไป๋จื่อนาง…นางใช้กระบอกไม้ไผ่ ตี…ตีข้าตงลงมา”
ตงจื่อก้มหน้าลง สั่นทั้งกายทั้งวาจา น่าสงสารยิ่งนัก
เจ้าใหญ่เจี่ยแค่นหัวเราะ “ได้ยินแล้วใช่หรือไม่ ตงจื่อบอกว่าเจ้าตีเขา เขาถึงได้ตกลงมา เจ้ายังคิดจะปฏิเสธอีกหรือ”
ไป๋จื่อรู้อยู่แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ นางคาดเดาทุกอย่างไว้แล้ว จึงไม่รู้สึกแปลกใจเลยสักนิด
นางไม่สนใจเจ้าใหญ่เจี่ย กล่าวกับตงจื่อว่า “ตงจื่อ เจ้าบอกว่าข้าตีเจ้าจนตกลงมา เช่นนั้นก่อนที่ข้าจะตีเจ้า เจ้ากำลังทำอะไร และมีใครอยู่กับเจ้าหรือไม่”
ตงจื่อส่ายหน้า “ขะ…ข้าจำไม่ได้ มะ…มีแค่พวกเราสองคน ไม่…ไม่มีคนอื่น”
ไป๋จื่อชี้ลูกชายคนเล็กสกุลหวังที่ยืนอยู่ข้างหวังต้าหนิว “แล้วเขาล่ะ เขาก็อยู่ด้วยไม่ใช่หรือ”