ตอนที่ 357 ยังมีเกียรติอยู่หรือไม่
ตงจื่อเงยหน้าขึ้นมองลูกชายคนเล็กสกุลหวังครั้งหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว แล้วส่ายหน้าเป็นพัลวัน “ไม่อยู่ๆ!”
เจ้าใหญ่เจี่ยลำพองใจอย่างยิ่ง “ตอนนี้เจ้ายังมีอะไรอยากพูดอีกหรือไม่ ความจริงปรากฏตรงหน้าแล้ว”
ไป๋จื่อยิ้มเย็น “แน่นอนว่าข้ายังอยากพูดอีก ข้าแม้กระทั่งยังไม่ได้พูดอะไรเลยด้วยซ้ำ เป็นไร เจ้ารีบร้อนให้ข้ารับผิดชอบถึงเพียงนั้นเลยหรือ”
อีกฝ่ายอยากต่อว่านางสักสองคำ แต่ก็นึกขึ้นได้ว่ามีแววตาเย็นชาสองสายกำลังจ้องมองเขาอยู่ ทำให้เขารู้สึกขนลุกขนพองอยู่ตลอดเวลา จึงจำจ้องต้องอกลั้น กลืนคำพูดที่ติดอยู่ข้างปากกลับไป
เด็กสาวเดินไปถึงตรงหน้าหวังต้าหนิวและเด็กชายสกุลหวัง นางกล่าวถามหวังต้าหนิวว่า “พี่ใหญ่หวัง หากข้าจำไม่ผิด ในชื่อของพี่สะใภ้มีคำว่าอวิ๋นอยู่ด้วยใช่หรือไม่”
หวังต้าหนิวไม่รู้ว่านางต้องการถามอะไร จึงมองนางด้วยความลังเล “ใช่ ชื่อของภรรยาข้ามีคำว่าอวิ๋น แล้วอย่างไร”
ไป๋จื่อหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อ นางคลี่ผ้าเช็ดหน้าออก แกว่งตรงหน้าหวังต้าหนิว คำว่าอวิ๋นบนผืนผ้าเช็ดหน้าเตะตาเป็นอย่างยิ่ง “ท่านจำผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ได้หรือไม่”
ครั้นบุตรชายของหวังต้าหนิวเห็นผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปโดยพลัน
หวังต้าหนิวย่อมจำผ้าเช็ดหน้าของภรรยาได้ เพียงแต่เขาสงสัยว่ามันไปอยู่ในมือของไป๋จื่อได้อย่างไร “นี่เป็นของภรรยาข้า เหตุใดถึงไปอยู่กับเจ้าได้”
ไป๋จื่อมองไปยังบุตรชายคนเล็กที่อยู่ข้างกายเขา “เมื่อครู่ข้าบอกไปแล้ว ว่าก่อนข้าจะเข้าไปในป่า ข้าเห็นลูกชายของท่านวิ่งออกมาจากในป่ากับตาตัวเอง อีกทั้งเขาตื่นตระหนกจนเกินไป ถึงได้ล้มอยู่ในที่ดินปลูกถั่วลิสงด้วย”
นางพูดพลางเขย่าผ้าเช็ดหน้าในมือ “ข้าเก็บผลหงกั่วจำนวนหนึ่งข้างๆ ผ้าเช็ดหน้าได้ด้วย แต่ละผลใหญ่กว่าปกตินัก รสชาติดีทีเดียว”
ทันทีที่เด็กชายสกุลหวังได้ยินดังนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นในทันที “นั่นเป็นผลหงกั่วของข้า เจ้าต้องคืนให้ข้า”
เมื่อเขาพูดจบ สีหน้าของหวังต้าหนิวและเจ้าใหญ่เจี่ยก็พลันแปรเปลี่ยน
ไป๋จื่อยิ้มจาง “พูดเช่นนี้แสดงว่าไปที่ป่ามาสินะ”
เด็กชายจากสกุลหวังเพิ่งจะอ้าปาก แต่หวังต้าหนิวก็ยื่นมือมาปิดไว้แล้ว “อย่าพูดมั่วซั่ว เจ้าไม่ได้ไปที่ป่าเสียหน่อย จะพูดมั่วเพราะผลหงกั่วแค่ไม่กี่ผลไม่ได้”
ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ไม่มีคนโง่ ความจริงเป็นเช่นไร ทุกคนล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ โดยเฉพาะบุรุษสาม สตรีสองที่เจ้าใหญ่เจี่ยลากมาเป็นพยาน พวกเขายิ่งเก็บสีหน้าไว้ไม่อยู่ แต่ก็คงไม่ดีนักหากจะหนีไปในเวลานี้ ทำได้เพียงอดทนอยู่ต่อ ในใจพวกเขารู้สึกเสียดายอย่างยิ่งยวด ไม่น่ามีน้ำใจมาเป็นพยานให้เจ้าใหญ่เจี่ยเลย
เจ้าใหญ่เจี่ยกล่าวว่า “ไป๋จื่อ เจ้านำของกินมาหลอกล่อเด็กให้พูดโกหกชัดๆ เจ้ายังมีเกียรติอยู่หรือไม่”
ไป๋จื่อแค่นหัวเราะ “เรื่องนี้ข้าต้องถามท่านถึงจะถูก เพื่อหลอกเอาเงินจากข้าแล้ว ถึงกับตีลูกชายของตัวเองจนมีสภาพเช่นนี้ ทั้งยังบังคับให้เขาพูดโกหกคนอื่นอีก เจ้ายังมีเกียรติอยู่หรือไม่”
อีกฝ่ายกำลังจะตอบกลับ ทว่ามีเสียงใครบางคนเรียกจากด้านนอกเสียก่อน “เจ้าใหญ่อยู่หรือไม่”
เขาตอบรับอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ข้าอยู่ในเรือน นั่นใคร”
เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่องๆ ที่แท้เป็นลูจ่างชิงกับบุตรชายที่มาจากทางตะวันออกของหมู่บ้าน
ลู่จ่างชิงเป็นน้องชายของลู่จ่างชุน ทั้งสองหน้าตาคล้ายกันอย่างกับฝาแฝด แต่ลู่จ่างชิงตากแดดตากฝนมาเป็นเวลานาน ผิวหน้าจึงคล้ำกว่าหมอลู่เล็กน้อย ทำให้ดูเหมือนอายุเท่าๆ กัน แต่ความจริงแล้วเขาเด็กกว่าหมอลู่ถึงแปดปี
เจ้าใหญ่เจี่ยขมวดคิ้ว เขากับลู่จ่างชิงไม่เคยคบค้าสมาคมกันมาก่อน ลู่จ่างชิงเองก็ไม่ถูกชะตากับเขาอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้จะพบกันบนถนนในหมู่บ้านอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยกล่าวทักทายกันมาก่อน
“เจ้ามาทำอะไร” เจ้าใหญ่เจี่ยอย่างไม่ค่อยรับแขก
ลู่จ่างชิงกวักมือไปทางด้านนอก “ยังตะลึงอะไรอยู่ รีบเข้ามาสิ!”
……….
ตอนที่ 358 กัดไม่ปล่อย
เด็กชายคนหนึ่งที่อายุเท่าๆ กับตงจื่อเดินเข้ามา ไป๋จื่อตาเป็นประกายในทันที นี่ไม่ใช่เด็กคนที่นางเห็นตรงที่ดินปลูกถั่วลิสงก่อนหน้านี้หรือ
เด็กชายเห็นมีคนอยู่ในเรือนมากมาย เด็กชายสกุลหวังก็อยู่ด้วย เขาจึงฉีกยิ้มกว้างในทันที “หูจื่อก็อยู่ด้วยหรือ ตงจื่อเล่า เขาดีขึ้นบ้างหรือไม่”
หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวกับเด็กชาย “เถี่ยตั้น เจ้ารู้ว่าตงจื่อบาดเจ็บได้อย่างไร”
เจ้าใหญ่เจี่ยกับหวังต้าหนิวเห็นท่าไม่ดี จึงรีบเข้าไปหมายจะขัดขวาง ทว่าหัวหน้าหมู่บ้านกลับตะคอกใส่ “พวกเจ้าจะทำอะไร ข้าถามแค่คำเดียวไม่ได้เลยรึ ยังอยากให้ข้าตัดสินเรื่องนี้อยู่หรือไม่ หรือพวกเจ้าจะจัดการกันเอง”
หัวหน้าหมู่บ้านทำหน้าเคร่ง ทั้งสองคนจึงไม่กล้าพูดอะไรเอง ได้เพียงแต่ถอยหลังกลับไป
เขาก้มหน้าลงกามเถี่ยตั้น “รีบพูดมาเร็ว ตกลงแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
เถี่ยตั้นมองบิดาของตนเอง ครั้นเห็นเขาพยักหน้า ตนเองถึงจะมีความกล้าขึ้นมา “ข้าไม่ได้ตั้งใจทิ้งตงจื่อไว้จริงๆ ตอนนั้นข้าตกใจกลัว ก็เลยวิ่งหนีไป ไม่ได้ตั้งใจจะไม่สนใจตงจื่อนะ”
ไป๋จื่อถาม “เถี่ยตั้น ตกลงแล้วตงจื่อตกลงมาได้อย่างไร”
“ตงจื่อปีนต้นไม้เก่งมาก เขาตกลงกับพวกข้าไว้ว่าจะขึ้นไปเก็บผลหงกั่ว ส่วนพวกข้าคอยเก็บอยู่ข้างล่าง ต่อมาเขาเก็บผลหงกั่วจนหมดแล้ว เหลือก็เพียงบนยอดต้นไม้เท่านั้น ตงจื่อปีนขึ้นไป ทว่าเขายังตัวเตี้ยอยู่ เอื้อมมือไปอย่างไรก็ไม่ถึง จึงตกลงมาโดยไม่ทันระวัง ตอนนั้นพวกข้าตกใจกลัวจริงๆ ยังคิดอยู่เลยว่าตงจื่อตกลงมาตายแล้ว ก็เลยพากันวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต หลังจากนั้นข้าได้ยินท่านลุงบอกว่าตงจื่อแค่ขาหักเท่านั้น ข้าถึงได้บอกท่านพ่อ ท่านพ่อก็เลยพาข้ามาที่นี่” เถี่ยตั้นตอบ
เจ้าใหญ่เจี่ยทำหน้าง้ำ ถลึงตามองเถี่ยตั้นอย่างโหดเหี้ยม “เจ้าจะบอกว่าเจ้าผลักตงจื่อลงมาหรือ”
เถี่ยตั้นรีบส่ายหน้า “ไม่ใช่ๆ ข้าไม่ได้ทำ ข้าปีนต้นไม้ไม่เป็นด้วยซ้ำ จึงอยู่ใต้ต้นไม้ตลอดเวลา”
“เช่นนั้นเจ้าก็ต้องเขย่าต้นไม้แน่ ทำให้ตงจื่อตกลงมา” เจ้าใหญ่เจี่ยว่า
ขอบตาของเถี่ยตั้นแดงขึ้นมาแล้ว พลางส่ายหน้าอย่างเอาเป็นอย่างตาย “ไม่ใช่ ข้าไม่ได้ทำ!”
ไป๋จื่อถลึงตามองเจ้าใหญ่เจี่ยอย่างเย็นชา “เจ้าใหญ่เจี่ย เจ้าเป็นหมาบ้าหรือไร ถึงได้เอาแต่กัดไม่ปล่อยเช่นนี้ ดูบ้างสิว่าเจ้าทำให้ลูกชายกลัวจนมีสภาพเป็นเช่นไรแล้ว เจตนาของเจ้าคืออยากเอาเงินจากข้า แต่เมื่อเห็นว่าไม่มีทางได้เงินจากข้าแล้ว เพียงพริบตาเดียวก็เปลี่ยนเป้าหมายไปที่เถี่ยตั้น เจ้าไม่รู้จักอายเลยหรือไร”
ลู่จ่างชิงเองก็อึดอัดใจมาก เขาพาบุตรชายมาเยี่ยมตงจื่อด้วยเจตนาดี แต่เหตุใดถึงถูกขู่กรรโชกเช่นนี้ได้
เจ้าใหญ่เจี่ยอยากจะพูดอีก ทว่าหัวหน้าหมู่บ้านต่อว่าเขาเสียงดังเสียก่อน “เจ้าหุบปากไปเสียเถอะ ดูสิว่าเจ้าสร้างเรื่องอะไรขึ้นมา แม้แต่เด็กเล็กๆ ก็ไม่ปล่อย เจ้าอยากได้เงินจนเป็นบ้าไปแล้วหรือไร”
เจ้าใหญ่เจี่ยตอบด้วยความร้อนใจ “หัวหน้าหมู่บ้าน ปกติลูกชายข้าเป็นเด็กที่รู้ประสาและว่านอนสอนง่าย ไม่เคยไปทำเรื่องเสี่ยงอันตรายอะไร เด็กสองคนนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับการบาดเจ็บของเขาแน่ ท่านต้องตัดสินให้ข้า”
เด็กสองคน?
หวังต้าหนิวเบิกตาโพลง มองเจ้าใหญ่เจี่ยอย่างเหลือเชื่อ คนผู้นี้นำบุตรชายของเขาเข้าไปข้องเกี่ยวหรือนี่ แม้แต่เขาหวังต้าหนิวก็คิดจะขู่กรรโชกด้วยรึ
ในใจหวังต้าหนิวรู้สึกโกรธเคืองยิ่งนัก เขาปล่อยบุตรชายของตนเอง แล้วถามว่า “หู่จื่อ เจ้าบอกทุกคนไปสิ ว่าแท้จริงแล้วตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พูดให้ชัดเจนหน่อยนะ อย่าให้คนอื่นยัดเยียดความผิดให้เจ้าได้”
ถึงอย่างไรหัวหน้าหมู่บ้านก็อายุมากแล้ว ไหนเลยเขาจะตั้งใจจดจ่อตามบทสนทนาของพวกเขาได้ วาจาเปลี่ยนไปแปลงมาเช่นนี้ เขายิ่งฟังก็ยิ่งเวียนหัว “เอาล่ะๆ ยังต้องพูดอะไรกันอีก เรื่องราวจัดเชนแล้ว แยกย้ายกันไปเสีย บ้านใครบ้านมัน”