ตอนที่ 379 ความรู้สึก
“โอ้? หรือเจ้ากำลังโกรธข้าอยู่” หูเฟิงเลิกคิ้ว
ไป๋จื่อร้องเชอะเสียงหนึ่ง “น่าขันนัก เหตุใดข้าต้องโกรธเจ้าด้วย”
“เพราะข้าจะเข้าร่วมกองทัพ ไม่อาจอยู่เคียงข้างเจ้าได้อีก เจ้าก็เลยโมโหข้า รู้สึกอารมณ์ไม่ดี และเพราะเจ้าอารมณ์ไม่ดี เจ้าจึงไม่สนใจข้า หรือว่าความจริงแล้วไม่ใช่เช่นนั้น”
เด็กสาวหยุดงานในมือ นางพูดเสียงดังในทันที “แน่นอนว่าไม่ใช่เช่นนั้น เจ้าคิดมากเกินไปแล้วกระมัง ข้าไป๋จื่อเป็นคนตื้นเขินขนาดนั้นหรือไร”
ก่อนหน้านี้นางคิดว่าตนเองไม่ใช่คนตื้นเขินพรรค์นั้น…
หูเฟิงลอบยิ้มในใจ ไม่เย้าแหย่นางอีก เขาก้าวไปข้างหน้า นั่งยองลงข้างๆ นาง ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาว่า “ยาโถว ค่ายทหารอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ขอเพียงมีเวลาว่าง ข้าจะกลับมาเยี่ยมพวกเจ้านะ”
ไป๋จื่อรู้สึกดีใจนัก ทว่าบนใบหน้ากลับทำเป็นไม่ยี่หระ “ตามแต่ใจเจ้าเถอะ แต่เจ้าเป็นแค่นายทหารชั้นผู้น้อย หากคนอื่นจับได้ เจ้าจะถูกลงโทษฐานหนีทัพหรือไม่”
ชายหนุ่มร้องเชอะเลียนแบบนาง “เชอะ…ฝีมือระดับข้า ใครจะจับข้าได้กัน”
นางหลุดหัวเราะเสียงดัง ปกติหูเฟิงมักจะทำหน้าบึ้งตึง ไม่ค่อยยิ้มแย้ม ครั้นจู่ๆ เขาทำท่าทีเช่นนี้ขึ้นมา ก็ทำให้นางรู้สึกขบขันทีเดียว
“ในที่สุดเจ้าก็ยิ้ม ข้าไม่ได้เห็นเจ้ายิ้มเช่นนี้มาหลายวันแล้ว” เขาอยากจะยื่นมือไปจับใบหน้าที่ยิ้มแย้มของนาง แต่สุดท้ายก็ลูบเพียงเรือนผมสีดำขลับและนุ่มลื่นของนางเท่านั้น
“ยาโถว ดูแลตัวเองให้ดี ข้าจะต้องกลับมาแน่นอน”
เสียงของเขาคล้ายกับมีเวทมนตร์ ลอดทะลุกำแพงทั้งหมด แทรกซึมเข้าไปในห้องหัวใจของนาง
นางถอนใจเสียงหนึ่ง รอยยิ้มบนใบหน้าจางลง ก่อนจะมองเข้าไปในดวงตาสีดำของเขาอย่างจริงจัง “หูเฟิง ไม่ว่าเรื่องที่เจ้าจะทำคืออะไร ไม่ว่าสุดท้ายแล้วเรื่องที่เจ้าทำจะสำเร็จหรือไม่ ข้าหวังว่าเจ้าจะจำไว้ ว่าชายแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือ ในหมู่บ้านหวงถัวแห่งนี้ พวกข้ารอเจ้ากลับมาอยู่เสมอ ดังนั้น เพื่อไม่ให้พวกข้าผิดหวัง เจ้าจะต้องดูแลตัวเองให้ดีที่สุด อย่าได้บาดเจ็บ และต้อง…กลับมา!”
เขาพยักหน้าอย่างหนักแน่น พลางจับมือมืออบอุ่นของนางเอาไว้ “ตกลง!”
ฝ่ามือที่ร้อนระอุของพวกเขาแนบชิดอยู่ด้วยกัน ความรู้สึกอันเลือนรางโอบล้อมอยู่รอบกายของคนทั้งสอง
ทันใดนั้นเอง หูจ่างหลินกับจ้าวหลานเข้ามาที่ลานด้านหลัง พวกเขาเห็นภาพนี้เข้าก็รีบทำเป็นมองไม่เห็นอะไร และถอยหลังกลับไปเงียบๆ
ไป๋จื่อชักมือของตัวเองกลับ กล่าวพร้อมใบหน้าแดงระเรื่อ “เจ้ายังทำอะไรอยู่ที่นี่อีก พรุ่งนี้จะไปแล้ว ยังไม่ไปเก็บกระเป๋าอีกหรือไร”
หูเฟิงเม้มปากยิ้ม พลางยื่นมือไปจับใบหน้าที่ทั้งแดงและร้อนของนาง ใบหน้านางนุ่มนิ่มนัก เหมือนกับก้อนแป้งก็ไม่ปาน
เขาหยัดกายลุกขึ้น ปาดรอยยับบนเสื้อ “เอาล่ะ ไม่แกล้งเจ้าแล้ว ข้าจะไปเก็บข้าวของสักหน่อย พรุ่งนี้ข้าจะไปตั้งแต่เช้า เจ้าไม่ต้องไปส่งข้าหรอก ข้าไม่อยากเห็นเจ้าร้องไห้ขี้มูกโป่ง”
…
เช้าวันรุ่งขึ้น หูจ่างหลินไปส่งหูเฟิงที่หน้าหมู่บ้าน จ้าวหลานก็อยู่ด้วย อาอู่และภรรยาก็มาด้วยเช่นกัน แม้แต่หรูเอ๋อร์ก็มา ขาดแต่เพียงเงาร่างของไป๋จื่อเท่านั้น
เขาบ่นอยู่ในใจ เกิดอะไรขึ้นกับเด็กสาวผู้นี้ เขาบอกไม่ให้นางมาส่ง นางก็ไม่มาจริงๆ หรือนี่
ยามเมิ่งหนานจะไป เพื่อไปส่งเขา นางเตรียมเสบียงอาหารอยู่ทั้งคืน ทว่าเมื่อเขาจะไปบ้าง นางไม่เพียงไม่ทำเสบียงให้เขา ทว่าแม้แต่หน้าก็ไม่ยอมโผล่มาให้เห็น
หัวหน้าหมู่บ้านเร่งเร้าอยู่ข้างๆ “เอาล่ะ ถึงเวลาแล้ว พวกเราควรจะออกเดินทางแล้วล่ะ”
เหล่าชาวบ้านที่มาร่วมส่งญาติพี่น้องของตนเองไป แต่ละคนต่างตาแดงก่ำ จับมือบุคคลอันเป็นที่รักด้วยความอาลัย จากกันครั้งนี้จะได้พบกันอีกครั้งหรือไม่นับว่าพูดยาก
จ้าวซู่เอ๋อดึงแขนเสื้อของจ้าวหลาน “ท่านน้าหลาน อาจื่อจะไม่มาจริงหรือ”
……….
ตอนที่ 380 หักแขน
จ้าวหลานส่ายหน้า “ข้าไม่รู้หรอก เมื่อวานนางไหว้วานให้คนไปซื้อเนื้อวัวมาจากตลาดชิ้นใหญ่ จับเนื้อวัวชิ้นนั้นง่วนอยู่ที่หน้าประตูเรือนทั้งคืน ไม่รู้เหมือนกันว่านางทำอะไร ทั้งยังไม่ให้ข้าช่วยอีกต่างหาก ตอนข้าออกมานางก็ยังคงยุ่งอยู่แล้ว ไม่รู้ว่านางจะมาหรือไม่เช่นกัน”
ครั้นหูเฟิงจะหมุนกายไป ไป๋จื่อก็ร้องเรียกมาแต่ไกล “เดี๋ยวก่อน…เดี๋ยว…”
ชายหนุ่มรีบหันกลับไป เห็นเงาร่างอันคุ้ยเคยห้อตะบึงมาหาเขา ในที่สุดใบหน้าที่เครียดเกร็งก็ผ่อนคลายขึ้นหลายส่วน ในดวงตาปรากฏรอยยิ้ม ‘เด็กสาวผู้นี้ เจ้ามาจนได้’
ไป๋จื่อวิ่งไปถึงตรงหน้าหูเฟิง หอบหายใจ ใบหน้าเล็กจ้อยแดงระเรื่อพร้อมกับเหงื่อเต็มศีรษะ นางยื่นห่อผ้าใบเล็กให้เขา “เอาไปด้วย นี่เป็นเสบียงที่ข้าเตรียมไว้ให้เจ้า กินระหว่างทางนะ”
หูเฟิงกะน้ำหนักอยู่ในมือ ขมวดคิ้วถามว่า “แค่นี้เองหรือ” ตอนเมิ่งหนานจะไป นางทำอาหารชุดใหญ่ทีเดียว แต่ทำให้เขาน้อยเท่านี้เองน่ะหรือ
เด็กสาวถอนใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะยิ้มกล่าว “นี่เป็นเนื้อวัวตากแห้ง หลังจากหมักเกลือแล้ว ข้าก็ตากมันจนแห้งตลอดทั้งคืน เก็บไว้กินได้นานนัก รสชาติดีกว่าซาลาเปา หมั่นโถว และแป้งทอดยิ่ง ทั้งยังประทังหิวได้ดีกว่า ข้ากลัวอยู่ว่ายังไม่ทันถึงค่ายทหาร เจ้าก็คงจะกินหมดแล้ว”
เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ หัวคิ้วที่ขมวดมุ่นของหูเฟิงถึงจะคลายออกจากกัน “ไม่เลว นับว่าเจ้ามีน้ำใจยิ่ง”
“เอาล่ะๆ ขืนชักช้าต่อไปคงจะสาย รีบไปเถอะ”
หูเฟิงจับห่อผ้าในมือไว้จนแน่น แล้วกล่าวกับหูจ่างหลินว่า “ท่านพ่อ รอข้ากลับมานะ ข้าจะกลับมาอย่างแน่นอน”
หูจ่างหลินพยักหน้าทั้งๆ ที่ตาแดง “ได้ ตกลง พ่อเชื่อเจ้า ลูกชายพ่อ เจ้าจะต้องดูแลตัวเองให้ดี อย่าได้ฝืนตนเองจนเกินไป จงจำไว้เสมอว่าไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไร เจ้าล้วนต้องปกป้องตัวเองก่อน จำไว้อยู่ตลอดเวลาว่าพ่อ น้าหลาน และไป๋จื่อล้วนรอเจ้ากลับมาอยู่ที่นี่”
หูเฟิงผู้ใจแข็งอยู่ตลอด เมื่อได้ยินประโยคนี้แล้ว เขาก็ตาแดงขึ้นมาเช่นกัน “ท่านพ่อ ข้าจะจำไว้!”
ชายหนุ่มไปแล้ว นั่งรถเทียมวัวอันเอื่อยเฉื่อย ค่อยๆ หายไปจากสายตาของพวกเขา หูจ่างหลินลอบเช็ดน้ำตาบนใบหน้าจนหมดสิ้น เขาฝืนยิ้มออกมาจางๆ “กลับเถอะ ทุกคนกลับกันไปหมดแล้ว”
ระหว่างทางกลับบ้าน พวกเขาพบกับเจ้าใหญ่พอดี วันนี้เขาเช่ารถเทียมวัวคันหนึ่ง ขนข้าวสาลีที่ตากแห้งดีแล้วของที่บ้านไปขายในเมืองพร้อมกับบุตรชาย และถือโอกาสแลกข้าวสารกลับมาสักเล็กน้อยด้วย
เจ้าใหญ่เห็นทุกคนมีสีหน้าโศกเศร้า บนใบหน้าของเขาจึงปรากฏความลำพองใจขึ้นมา “เป็นอะไรไป เกราะกำบังไม่อยู่แล้ว เลยรู้สึกทรมานใจหรือ”
จ้าวหลานพาหูจ่างหลินอ้อมไป “ไม่ต้องสนใจเขา”
แต่เจ้าใหญ่ย่อมไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป ขวางตรงหน้าของหูจ่างหลินไว้ในทันที
หูจ่างหลินถามอย่างมีน้ำโห “เจ้าใหญ่ เจ้าคิดจะทำอะไร”
เจ้าใหญ่เลิกคิ้วพร้อมยิ้มเย็น “คิดจะทำอะไร? แน่นอนว่าข้ากำลังจะคิดบัญชีระหว่างพวกเรา หรือเจ้าลืมไปแล้วหรือ ว่าตอนนั้นแขนสองข้างของข้าถูกบุตรชายของเจ้าหักอย่างไร”
ฝ่ายหูจ่างหลินแค่นหัวเราะ “นั่นเจ้าสมควรโดนแล้ว ทำไม หูเฟิงเพิ่งจะจากไป เจ้าก็คิดจะคิดบัญชีกับข้าแล้วรึ”
บุตรชายคนโตสกุลไป๋กอดอก ร่างสูงใหญ่ขวางอยู่เบื้องหน้าของหูจ่างหลิน ดูท่าทางน่าเกรงขามเสียจริงเชียว “มีให้เลือกสองทาง ชดใช้เงินที่ข้าจ่ายค่ารักษาไป ไม่ต้องมากนัก ห้าตำลึงเป็นอันใช้ได้ หรือไม่ก็ให้ข้าหักแขนข้างหนึ่งของเจ้า พวกเราจะได้เจ๊ากัน”
อาอู่เดินมาข้างหน้า หยุดยืนอยู่ข้างหน้าหูจ่างหลิน มองเจ้าใหญ่อย่างเย็นชา “เจ้าลองหักแขนข้าดูสิ ข้ากำลังอยากลิ้มรสชาติของการถูกคนอื่นหักแขนอยู่พอดี”
เจ้าใหญ่พูดด้วยโทสะ “โจวอาอู่ นี่เป็นความแค้นระหว่างข้ากับหูจ่างหลิน เจ้าไม่เกี่ยว ยุ่งเรื่องของคนอื่นให้น้อยๆ หน่อยเถอะ” ช่วงเวลาที่เขาแขนหักนั้น เขาอยากจะแก้แค้นอยู่ทุกขณะ แต่เขารู้ว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหูเฟิง จึงได้แก่กดอัดความคับแค้นใจไว้ชั่วคราว มาวันนี้หูเฟิงจากไปแล้ว ต่อไปจะกลับมาได้หรือไม่ก็พูดยาก นี่จึงเป็นโอกาสแก้แค้นที่ดีที่สุดของเขา แล้วเขาจะพลาดมันไปได้อย่างไรกัน