ตอนที่ 427 บ้านรองของาน
พลิกหน้าดินหนึ่งหมู่จะได้สองเฉียน?
สองสามีภรรยาที่ไม่ได้เห็นเงินถึงสองเฉียนอยู่เบื้องหน้ามานาน เมื่อได้ยินคำพูดนี้แล้ว จึงพากันดีใจจนแทบจะเต้นระบำ
ไป๋จื่อพูดอีกว่า “ข้ารีบใช้ที่ดินทีเดียว พวกท่านจึงต้องทำเวลาหน่อย เมื่อพลิกหน้าดินได้ดีจนข้าพอใจ ข้าถึงจะมอบเงินให้ แต่หากพวกท่านทำอย่างสุกเอาเผากิน ข้าก็ขอโทษด้วย เพราะข้าคงไม่มานั่งจ่ายเงินให้หรอก”
จางซื่อรีบตอบรับ “เจ้าวางใจเถอะๆ พวกข้าไม่มีทางทำให้เจ้าผิดหวังแน่นอน”
เด็กสาวพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี ตอนนี้พวกท่านกลับไปเตรียมตัวเถอะ อีกสองวันข้าจะต้องใช้ที่ดินแล้ว รีบทำงานให้เสร็จดีกว่า”
สองสามีภรรยาพยักหน้าหงึกหงัก กล่าวขอบคุณไป๋จื่อและจ้าวหลาน ก่อนจะหมุนกายออกจากลานบ้านไป
ระหว่างทางกลับบ้าน เจ้ารองรู้สึกลำบากใจทีเดียว “ที่ดินสามหมู่กับเวลาสองวัน เกรงว่าจะไม่ทันเอานะ! ข้าเร่งทำในหนึ่งวัน อย่างมากที่สุดก็ได้เพียงหนึ่งหมู่ สองวันคงจะไม่ทัน”
ลูกตาของจางซื่อกลอกกลิ้ง ยิ้มกล่าวว่า “เอาอย่างนี้ พวกเราไปหาน้องรอง ที่บ้านของพวกเขามีวัวอยู่ด้วย ให้เขาทำด้วยสักหนึ่งหมู่ แล้วให้เงินเขาสองเฉียน เขาจะต้องพอใจมากแน่”
เจ้ารองรีบพยักหน้าเมื่อได้ยินดังนั้น “ความคิดนี้ไม่เลว น้องรองทำงานว่องไว บางทีเขาทำส่วนของตนเองเสร็จแล้ว อาจจะมาช่วยข้าทำสักหน่อยก็เป็นได้”
จางซื่อมองตาขวางใส่สามีทันควัน “ตอนนี้เจ้ายังไม่เข้าใจแจ่มแจ้งอีกหรือ ต่อจากนี้พวกเรามีแต่ต้องพึ่งพาตัวเองแล้ว ไม่อาจหวังให้คนอื่นมาช่วยได้อีก หากน้องรองจะยื่นมือเข้ามาช่วยพวกเราด้วยความเต็มใจ นั่นย่อมเป็นเรื่องดีที่สุด แต่เจ้าจะคาดหวังเพียงเท่านั้นไม่ได้ เข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจแล้วๆ ข้าจะจำไว้ ต่อจากนี้ไปข้าล้วนฟังเจ้าทุกอย่าง” เจ้ารองพยักหน้ารัวๆ
ทั้งสองคนไปที่บ้านของจางซานสุ่ยด้วยความเบิกบาน จางซื่อเล่าเรื่องทั้งหมดออกไป ครั้นจางซานสุ่ยได้ยินว่าพลิกหน้าดินหนึ่งหมู่แล้วจะได้เงินสองเฉียน เขาย่อมตอบรับด้วยความยินดี ในใจกล่าวว่าก่อนหน้านี้ช่วยสองสามีภรรยาคู่นี้นับว่าไม่เสียเปล่า ครั้นมีเรื่องดีก็นึกถึงตนด้วย
ขณะเดินทางกลับบ้าน จางซื่อก็พูดกับเจ้ารองว่า “ตอนนี้พวกเราไปยืมวัวกันบ้างเถอะ เริ่มงานเร็ว เสร็จงานเร็ว จะได้นำเงินไปซื้อเสบียงอาหาร เสบียงที่ยืมน้องรองมาคราวก่อนเหลือเพียงน้อยนิดแล้ว ถึงแม้จะต้มเป็นน้ำแกงข้าวมากิน ก็เกรงว่าจะกินได้ไม่กี่วันเท่านั้น”
เจ้ารองพยักหน้า “ถูกของเจ้า เช่นนั้นข้าจะไปยืมวัวเดี๋ยวนี้แหละ”
“อีกเดี๋ยวข้าจะตามเจ้าไปที่ที่ดิน ข้าจะให้ฟู่กุ้ยไปด้วย พวกเราสามคนช่วยกันทำ ทำได้เท่าไรก็เท่านั้น ดีกว่าเจ้าทำคนเดียวเป็นไหนๆ ส่วนมือกลางวันข้าจะให้เจินจูนำผักป่าและโจ๊กใสมาส่งให้พวกเรา” จางซื่อกล่าว
สองสามีภรรยาตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มลงมือทำงานทันที
…
ใกล้จะถึงเที่ยงวันแล้ว ไป๋เจินจูออกมาจากในห้อง เตรียมต้มโจ๊กใสนำไปส่งให้พ่อแม่และน้องชาย แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากนางหยิบถุงข้าวออกมา กลับพบว่าข้างในนั้นว่างเปล่า ไม่มีข้าวเหลือแม้สักเมล็ด นางกับจางซื่อเป็นคนเครียมอาหารในทุกวัน ทั้งสองต่างก็รู้ดีว่าข้าวในกระสอบเหลืออยู่เท่าไร มันไม่มีทางไม่เหลืออะไรเช่นนี้แน่ เมื่อเช้าพวกนางเองก็ไม่ได้กินข้าว ฉะนั้นข้าวในกระสอบควรจะเหลือพอกินอีกสองวันถึงจะถูก แต่ตอนนี้กลับไม่มีอะไรเหลือเลย…
นางนึกขึ้นได้ว่าตอนที่เพิ่งออกจากห้องเมื่อครู่นี้ ไป๋ต้าเป่าเห็นนางเข้าก็หายตัวไปราวกับควัน
ไป๋เจินจูถือกระสอบที่ว่างเปล่าไปถึงนอกห้องของลุงใหญ่และป้าสะใภ้ บัดนี้ประตูห้องปิดสนิท แต่ข้างในกลับมีเสียงลอดออกมา
นางเคาะประตู “ท่านลุง ท่านป้าสะใภ้ ข้าเจินจู เปิดประตูหน่อยได้หรือไม่”
ในห้องพลันเงียบเสียงลง ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้ยินหลิวซื่อกล่าวว่า “พวกข้ากำลังนอน มีธุระอะไรก็ไว้ค่อยคุยกันตอนเย็นเถอะ”
ไป๋เจินจูแค่นหัวเราะเสียงเย็น นอนตอนกลางวันแสกๆ เนี่ยนะ? พวกเขาทำเรื่องอะไรไม่ดีแน่ๆ ถึงได้ไม่กล้าพบหน้านางเช่นนี้
“ท่านป้าสะใภ้ ข้ามีเรื่องอยากถามท่าน ท่านก็เปิดประตูหน่อยเถอะ” ไป๋เจินจูเคาะประตูอีกครั้ง
……….
ตอนที่ 428 ขโมยข้าว
หลิวซื่อตัดสินใจไม่เปิดประตู ต่อให้ไป๋เจินจูเคาะประตูต่อไปอย่างไร นางก็จะไม่ยอมเปิด
ไป๋เจินจูร้อนใจจนขอบตาแดงก่ำ พ่อ แม่ และน้องชายยังคงรอนางไปส่งข้าวกลางวันอยู่ในที่ดิน เดิมทีก็ไม่ได้กินข้าวเช้าอยู่แล้ว ตอนนี้หากไม่ได้กินแม้กระทั่งข้าวกลางวัน เช่นนั้นแล้วจะมีเรี่ยวแรงที่ไหนทำงานกัน
หญิงชราออกมาจากในห้องพร้อมใบหน้าซีดขาว เพราะไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เช้า วันนี้นางทั้งเหนื่อย ทั้งไร้เรี่ยวแรง ทำได้แต่เพียงรอสะใภ้ใหญ่และต้าเป่าไปหาผักป่าจากข้างนอกกลับมาให้กินสักหน่อย
“เอะอะอะไรกัน” หญิงชราถามไป๋เจินจู
ไป๋เจินจูนำถุงข้าวในมือให้หญิงชราดู “ท่านย่า ข้าวที่เหลือของพวกข้าหายไปจนหมดสิ้น ในบ้านก็ไม่มีใครอื่น ต้องเป็นท่านป้าสะใภ้แน่ๆ ที่ขโมยไป ท่านย่า พ่อแม่ของข้าลงที่ดินทำงานแล้ว พวกเขาท้องว่างรอข้านำข้าวไปส่งอยู่ หากไม่ได้กินข้าวมื้อนี้ ไหนเลยจะมีแรงทำงานเล่าเจ้าคะ”
หญิงชราทำหน้าง้ำในทันที หากข้าวของบ้านรองหายไปจริงๆ ย่อมต้องเป็นหลิวซื่อขโมยไปอย่างไม่ต้องสงสัย มิน่าเล่าเมื่อครู่นางถึงได้กลิ่นหอมของโจ๊กขณะอยู่ในห้อง นางเองก็หิวจนร้อนใจ ถึงขั้นเกิดภาพหลอนแล้ว
ลูกสะใภ้ที่ไร้น้ำใจผู้นี้ แม่สามีของนางยังไม่ตายเสียหน่อย ต้มโจ๊กแล้วก็ไม่รู้จักนำมาให้ ป่านนี้คงแอบกินอยู่ในห้องกระมัง ผักป่าก็ไม่ไปหามา คิดจะให้ยายแก่ผู้นี้อดตายให้ได้เลยใช่หรือไม่
หญิงชราไม่เคาะประตูห้อง นางเพียงกระทืบเท้าตะโกนว่า “รีบเปิดประตู ขืนยังไม่เปิดอีก ข้าจะไปนำขวานมาจามเสีย”
เมื่อนางกล่าวจบประโยคได้ไม่นาน ประตูห้องก็เปิดออก หลิวซื่อยิ้มกริ่ม ถามแม่สามีว่า “ท่านแม่ ท่านเสียงดังไปไยเจ้าคะ ท่านเชื่อคำพูดของเจินจูด้วยหรือไร”
หญิงชรามองตาขวางใส่นางครั้งหนึ่ง ก่อนจะผลักตัวนางออกไป แล้วสาวเท้าเข้าไปในห้อง ทันทีที่เข้าไปก็ได้กลิ่นหอมของโจ๊กลอยมาสายหนึ่ง นี่ยังจะผิดไปได้อีกรึ
เสี่ยวเฟิงเองก็อยู่ในห้อง ส่วนเจ้าใหญ่นอนอยู่บนเตียง ครั้นเขาเห็นผู้เป็นมารดาเข้ามา ก็รีบหลับตาทำเป็นแกล้งหลับทันที
ทันใดนั้น เสี่ยวเฟิงก็เช็ดปากพลางเดินออกไปข้างนอก
หญิงชรามองหม้อเล็กที่ซ่อนอยู่หลังโต๊ะด้วยแววตาเฉียบคม ในหม้อยังเหลือโจ๊กอยู่เล็กน้อย ไม่มาก น่าจะใส่ถ้วยได้น้อยกว่าครึ่งหนึ่งเสียอีก
เจ้าใหญ่ที่นอนอยู่บนเตียงพลันเรอออกมาเสียงหนึ่ง ทำเอาหญิงชราฉุนกึก เกือบจะด่าสาดเสียเทเสียออกไปแล้ว
ไป๋เจินจูคิดว่าหญิงชราโกรธแทนนางที่ได้รับความอยุติธรรม ถึงได้โมโหโกรธเกรี้ยวจนมีท่าทีเช่นนี้ นางจึงรีบพูดว่า “ท่านย่า ท่านเห็นแล้วใช่หรือไม่ เป็นท่านป้าสะใภ้ที่ขโมยข้าวของพวกข้า ท่านต้องจัดการให้ข้านะเจ้าคะ ให้พวกเขาชดใช้ให้ข้า ท่านพ่อ ท่านแม่ และน้องชายของข้ายังรอกินข้าวอยู่เลย”
ไหนเลยตอนนี้หญิงชราจะมีกะใจฟังสิ่งที่หลานสาวพูด หลังจากนางถลึงตามองหลิวซื่อและเจ้าใหญ่แล้ว นางก็ยกโจ๊กครึ่งถ้วยที่เหลือในหม้อกลับไปที่ห้องของตนเอง ไม่มองไป๋เจินจูแม้สักครั้ง
ไป๋เจินจูโมโหจนตัวสั่น บัดนี้ป้าสะใภ้ยิ่งมองนางเหมือนกับคนโง่ หวังให้ย่าตัดสินให้พวกเขาบ้านรองอย่างยุติธรรมนั้น ช่างเป็นเรื่องที่ไร้สาระสิ้นดี หญิงชราไม่ร่วมกับบ้านใหญ่รังแกพวกเขาก็นับว่าไม่เลวแล้ว
นางถามหลิวซื่อ “ท่านป้าสะใภ้ ยังมีข้าวเหลือหรือไม่ ท่านพ่อ ท่านแม่ และน้องชายของข้ายังรอกินข้าวอยู่นะ!”
หลิวซื่อแบมือ “ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร พวกข้าเองก็หิวมาสองวันแล้วเช่นกัน ไม่มีอะไรตกถึงท้อง ไหนเลยจะมีข้าวให้เจ้า”
เมื่อเผชิญหน้ากับสตรีเช่นหลิวซื่อ ไม่ว่าอย่างไรไป๋เจินจูก็ต่อกรด้วยไม่ไหว กล่าวเพียงไม่กี่ประโยคก็พ่ายแพ้เสียแล้ว
เวลานี้นางไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี ได้แต่ร้อนใจจนน้ำตาไหลอกมา
“ไปๆๆ ไม่ต้องมาร้องไห้อยู่ที่นี่ คนอื่นเห็นเขาจะคิดว่าป้าสะใภ้อย่างข้ารังแกเจ้านะ รีบออกไปเสีย” หลิงซื่อไล่ไป๋เจินจูออกจากห้องไป “ล้วนแยกบ้านกันแล้ว ต่อไปหากไม่มีเรื่องอะไรก็อย่ามารบกวนพวกข้าอีก”
ไป๋เจินจูเช็ดน้ำตาพลางเดินออกจากห้อง ถือถุงข้าวที่เบาหวิวไปฟ้องพ่อและแม่ในที่ดิน